คราวนี้ขอหักคอ ๓ คนรวด
๑)คุณอาชา
๒)คุณ Bana
ไม่มีเหตุผลอะไรที่กวีจะมาเสียเวลาอธิบายว่า ขุนแผนแกนั่งสานกระทาย (ใช้เวลาเท่าไร ไม่รู้ ข้าพเจ้าขอไม่บอก) แต่เฉพาะถักขอบปากกระทายน่ะ ๖ นาที
เหตุการณ์ในกลอน เขาไม่ได้มาจับเวลาถักปากกระบุงแข่งกันนะคะ จะได้ต้องเน้นตอนนี้
คำว่า "บาท" ในที่นี้เป็นมาตราเงินแน่นอนค่ะ ลองอ่านตรงนี้ดูอีกทีนะคะ
อยู่เปล่าๆ
เล่าก็จนพ้นกำลัง อุตส่าห์นั่งทำการสานกระทาย
ให้นางแก้วกิริยาช่วยทารัก ขุนแผนถักขอบรัดกระหวัดหวาย
ใบละบาทคาดได้ด้วยง่ายดาย แขวนไว้ขายทั้งเรือนออกเกลื่อนไป
ก็ในเมื่อจน ไม่มีรายได้เพราะติดคุก ก็มาสานกระทายขาย เพื่อหาเงิน ขายใบละบาท
คำว่า ใบละบาท ก็บอกในตัวแล้วว่าเป็นราคาขายสินค้า ๑ หน่วย
ไม่ใช่ว่า
"จนเหลือเกิน เลยต้องมาสานกระทาย ขอบอกหน่อยนะว่าถักปากกระทายได้เสร็จใน ๖ นาที"
บอกทำไมกันล่ะคะ ?

๓) คุณพิพัฒน์ ดิฉันก็ต้องหักคอซ้ำ
ลูกผู้ดีสมัยรัชกาลที่ ๒ เกิดมาในคฤหาสน์เจ้าคุณพ่อ โตขึ้น เข้าทำงานในราชสำนัก เท้าไม่แตะดิน
ไม่รู้ว่าหุงข้าวเขาทำกันยังไง ในบ้านมีแต่บ่าวหุงให้
ถ้าโปรดเกล้าฯให้ท่านกวีขุนนางพวกนี้แต่งตอนขุนแผนหุงข้าว อาจจะเขียนว่าเอาข้าวสารใส่หม้อ ตั้งไฟจนสุก ลืมเขียนว่าต้องใส่น้ำด้วย
ยังงี้ดิฉันเชื่อว่าเป็นไปได้ค่ะ
แต่ว่าสิ่งที่ขุนนางทุกคนต้องรู้ คือค่าของเงิน
อย่างน้อยท่านต้องรู้ว่า เบี้ยหวัดขุนนางของตัวท่านได้ปีละเท่าไร ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ในรัชกาลที่ ๒ ท้องพระคลังสตางค์หมด ปิดหีบงบประมาณไม่ลง
ต้องติดเบี้ยหวัดขุนนาง จ่ายเป็นผ้าลายบ้าง ทองคำบ้าง ก็หมายความว่า ราคาทองและผ้านั้นเทียบเท่าราคาเบี้ยหวัด หรือไล่เลี่ย
ขุนนางย่อมบวกลบคูณหารออก ว่าเบี้ยหวัดข้าพเจ้าได้ปีละ ๕ ตำลึง ได้ทองมาแท่งนึง แทนเงิน
ทองแท่งนี้ จะซื้อกระบุงเล็กๆได้ ๒๐ ใบเท่านั้น ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
หรือถ้าท่านขุนนางท่านนี้เบลอ เวลาแต่งเสร็จ มันมีขั้นตอน เอามาอ่านกันดังๆ เพื่อตรวจสอบว่าใช้ได้หรือยัง ขุนนางอื่นจะเบลอตามกันไปหมดเชียวหรือคะ
เรื่องแต่งวรรณคดีพระราชนิพนธ์ แล้วจะมาโพสต่อ
ว่าแต่คุณพิพัฒน์ไม่รู้จริงๆ หรือถามเพื่อทดสอบว่าคนอื่นๆรู้หรือเปล่า ถ้ารู้ผิดจะได้แก้ไขให้ถูก...คะ