เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 42945 หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
ต้นไผ่ใบว่าน
อสุรผัด
*
ตอบ: 32


 เมื่อ 11 ก.ค. 07, 13:35

สวัสดีพี่ น้อง ชาวเรือนไทย ค่ะ  บังเอิญได้ไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงประดิษฐ์ไพเราะมา เห็นว่าน่าสนใจ เลยนำมาฝากกันค่ะ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) พ.ศ. 2424 - 2497
 
เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสิน และนางยิ้ม ศิลปบรรเลง ท่านเป็นผู้มีความสามารถและรักทางดนตรีมาตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถตีฆ้องวงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ได้เริ่มหัดเรียนดนตรีจากบิดาในวิชาปี่พาทย์อย่างเอาจริงเอาจัง ท่านได้ออกงานใหญ่ครั้งแรกในงานโกนจุก เจ้าจอมเอิบ และเจ้าจอมอบ ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์ จังหวัดเพชรบุรี ท่านได้แสดงฝีมือ ระนาดเอก จนเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่นักดนตรี ใน พ.ศ. 2443 กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์ วรเดช เอาตัวไปเป็นมหาดเล็กเพราะทรงพอพระทัยในฝีมือการบรรเลง ในปี่ พ.ศ. 2451 หลวงประดิษฐ์ไพเราะนั้นคือ จางวางศร ศิลปบรรเลง ได้จำเพลงชวามาหลายเพลง (จากคราวที่ได้มีโอกาสไปชวา) ได้รำมาเรียบเรียงแต่งขึ้นเป็นเพลงตามหลักดุริยางค์ไทย เช่นเพลง "มูเซ็นซ๊อค) และ "ยะวา" เป็นต้น พร้อมกับได้นำอังกะลุง เข้ามาเล่นเพลงไทยเป็นคนแรกโดยนำมาฝึกมหาดเล็กในวังบูรพาภิรมย์จนสามารถนำออกแสดงครั้งแรกหน้าพระที่นั่งในงานกฐินพระราชทาน ณ วัดราชาธิวาส เป็นเหตุให้เกิดการเล่นอังกะลุงกันอย่างแพร่หลายตราบเท่าทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. 2458 จางวางศร ได้นำเพลง "เขมรเขาเขียว" 2 ชั้น ของเก่ามาประดิษฐ์เป็น 3 ชั้น ใช้ทำนองครออย่างอ่อนหวานผิดกว่าเพลงที่เคยบรรเลงโดยทั่วไป และเรียกชื่อเพลง "เขมรเลียบนคร" ใน พ.ศ.2467 จางวางศรได้ประดิษฐ์ เพลงรับและร้อง เพลงโอ้ต่าง ๆ เพื่อบรรเลงในการเล่นพิธีเปิดประตูน้ำท่าหลวง จังหวัดสระบุรี และในสมัยนั้นท่านได้ปรับปรุงเพลงไทยเดิมต่าง ๆ ให้เป็นเพลงเถาขึ้นหลายสิบเพลงพร้อมทั้งปรับปรุงวงดนตรีไทยให้ดีขึ้น การแสดงแต่ละคราวนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของรัชกาลที่ 6 เป็นอย่างยิ่ง ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระราชทินนามและบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงประดิษฐ์ไพเราะ" และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญราชรุจิด้วย ต่อมาได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นปลัดกรมปี่พาทย์หลวง กระทรวงวัง พอถึงรัชกาลที่ 7 หลวงประดิษฐ์ไพเราะร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดุริยชีวิน) ได้รับราชการเป็นผู้ถวายวิชาดนตรีไทยแด่รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระบรมราชินี และในคราวตามเสด็จไปอินโดจีน พ.ศ.2473 ก็ได้ศึกษาเพลงเขมรมาหลายเพลงเช่น เพลง "นกเขาขะแมร์" "ศรีโสภณ" "ซองซาประเค๊ป" "เดรอว" " อังโกเลี้ยก" ในปี พ.ศ. 2472 ได้เป็นหัวหน้าบอกทำนองในคราวบันทึกไทยลงเป็นโน้ตสากล ณ วังวรดิศ ท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ดนตรี มีสติปัญญา และฝีมือในทางดนตรี มีความขยันหมั่นเพียร จนมีฝีมือชื่อเสียงในวงการดนตรีไทย ท่านเป็นนักดนตรีที่มีโชคในทุก ๆ ทาง เป็นผู้ได้บรรลุแล้วซึ่งความสำเร็จในชีวิต นับแต่เกิดได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากบิดามารดาได้ศึกษาเล่าเรียน ครั้นเติบใหญ่ก็มีความสามารถพิเศษในการดนตรี เจ้านายทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงให้ได้บวชเรียน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 1 พรรษา ต่อจากนั้นก็ทรงพระกรุณาจัดการแต่งงานให้กับ นางสาว โชติ หุราพันธ์ ธิดาพันโท พระประมวล ประมาณผล ในด้านชีวิตครอบครัวท่านก็สามารถสร้างหลักฐานบ้านช่องได้อย่างมั่นคง เพราะมีภริยาที่ดีสามารถในการจัดการบ้านเรือนและอื่น ๆ โดยที่ท่านไม่ต้องมาเป็นกังวล จึงกล่าวได้ว่า "ชีวิตของท่าน คือดนตรี และ ดนตรีคือชีวิตของท่าน ท่านใช้เวลาของท่านอย่างเต็มที่ประมาณ 60 ปี สร้างสรรค์ ดุริยางศิลป์ให้แผ่ไพศาล กล่อมชาติไทยด้วยเพลงไพเราะ ท่านได้แต่งเพลงไว้มากมายจำนวนถึงกว่าร้อยเพลง ท่านเป็นนักดนตรีที่มีความคิดใหม่ ๆ แปลก ๆ ในการที่จะปรับปรุงการดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น เช่น เป็นต้นตำรับเพลงกรอที่มีลีลาอันไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งได้แก่ เพลงเขมรเลียบนคร , เขมรพวง, ไส้พระจันทร์ ฯลฯ เป็นต้นตำรับการเปลี่ยนแปลงเพลงเป็นทางต่าง ๆ ซึ่งได้แก่เพลงพราหมณ์ดีดน้ำเต้า , ลาวเสี่ยงเทียน, ช้างประสานงา และเพลงโอ้ต่าง ๆ เป็นต้นตำรับการเดี่ยวขิม 7 ตัว และเดี่ยวระนาด 2 ราง เป็นต้นกำเนิดเพลงที่มีลูกนำขึ้นต้น และเพลงที่แสดงความหมายของธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งได้แก่เพลง แสนคำนึง เพลงตับภมริน และนกเขาขะแมร์ ฯลฯ ท่านยังเป็นผู้นำเพลงไทยเข้าไปเผยแพร่ในกัมพูชา เป็นผู้นำอังกะลุงของชวาเข้ามาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใช้บรรเลงในประเทศไทยเป็นคนแรก เป็นผู้ริเริ่มการแต่งเพลง 3 ชั้น เพลง 4 ชั้น คือเพลงพม่าห้าท่อนสี่ชั้น พราหมณ์ดีดน้ำเต้า 4 ชั้น ดาวจระเข้ 4 ชั้น และเพลงเขมรไทยโยค 4 ชั้น นอกจากนี้ยังเคยนำทางเดี่ยวขิมเพลงแป๊ะ ให้นักเรียนนาฏศิลป์กรมศิลปากร บรรเลงด้วยขิมหลายสิบตัวพร้อมกัน เพลงทุกเพลงที่ท่านแต่งล้วนมีทำนองไพเราะน่าฟัง และมีลีลาพิศดารแปลกกว่าผู้อื่น ทำให้เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ท่านเป็นผู้มีความจำดี มีเชาว์และปฏิภาณในวิชาดนตรีอย่างล้ำเลิศ สามารถจำเพลงต่างๆ ได้เป็นพัน ๆ เพลงโดยไม่ต้องอาศัยโน้ต เพลงที่ท่านแต่งโดยใช้ปฏิภาณ เช่นเพลงอะแซหวุ่นกี้ ท่านเป็นครูสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชินี โรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และที่คุรุสภา การสอนการถ่ายทอดความรู้ของท่านเป็นยาอายุวัฒนะของท่าน ท่านสอนได้เกือบทุกเครื่องบรรเลงตลอดจนการขับร้อง ศิษย์ของท่านเป็นผู้มีฝีมือ เป็นต้นว่าครูบุญยง เกตุคง และครูประสิทธิ์ ถาวร มือระนาดเอกมือหนึ่งของไทย นอกจากนี้ยังมี ท่านศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ครูโองการคลับชื่น อาจารย์ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ศิษย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการประพันธ์ ประวัติศาสตร์และวรรณคดีเมื่ออายุย่าง 72 ปี ท่านมีสุขภาพทรุดโทรมลงตามวัย และได้ล้มเจ็บลงด้วยโรคลำไส้และโรคหัวใจ ท่านได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านศิลปบรรเลง ถนนบริพัตร พระนคร เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 เวลา 19.45 น. รวมอายุ 72 ปี 7 เดือน 2 วัน มรณกรรมของท่านเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชาติ ควรแก่การสรรเสริญ การทนุถนอม และนับถือว่าเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอันสูงส่ง
 ยิ้ม
บันทึกการเข้า
ต้นไผ่ใบว่าน
อสุรผัด
*
ตอบ: 32


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 11 ก.ค. 07, 13:39

เพิ่มเติมค่ะ  ยิงฟันยิ้ม
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ๒๔๒๔ - ๒๔๙๗ )(ศร ศิลปบรรเลง)  ****หลวงประดิษฐ์ไพเราะ นามเดิม (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรีว่า "ครูจางวางศร" เป็นบุตรคนสุดท้องของ ครูสิน ศิลปบรรเลง ครูปี่พาทย์ที่มีชื่อเสียงของ สมุทรสงคราม เป็นศิษย์เอกหนึ่งในสองคนของพระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) เมื่อยังอยู่ในวัยเยาว์มีชื่อเสียงในการตีระนาดเอก ได้เคยแสดงฝีมือในงานของเจ้านายหลายครั้งและเคยได้รับรางวัลจากสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ และนางโชติ***เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช เสด็จไปบัญชาการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสเขางู จังหวัดราชบุรี ได้ทรงทราบว่าหลวงประดิษฐ์ไพเราะหรือ นายศร มีความสามารถในการดนตรีก็ขอดูตัวและเมื่อได้ทรงฟังการบรรเลงเพลงแล้วก็ได้ทรงขอตัวจากบิดามารดา และโปรดชุบเลี้ยงให้อยู่ในวังบูรพาภิรมย์ และทรงแต่งตั้งเป็นจางวางมหาดเล็กในพระองค์ และทรงพระกรุณาให้อุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษา มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นอุปัชฌาย์ สอบได้นักธรรมเอกของสนามวัด ต่อมาโปรดให้แต่งงานกับ น.ส. โชติ หุราพันธ์ ธิดาพระประมวลประมาณพล    จางวางศร (รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในรัชกลที่ ๖ )ได้ปฏิบัติหน้าที่สนองพระกรุณาด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดความสามารถ ได้ปรับปรุงเพลงไทยเดิมต่างๆ เช่นเพลง ๒ ชั้น ปรับปรุงเป็นเพลงเถาหลายสิบเพลง จางวางศร มีความเห็นว่าเพลงไทยจะมีวิวัฒนาการได้นั้น ต้องมีการประดิษฐ์เพลงให้มีเพิ่มขึ้นโดยรักษาหลักเดิม และใช้ศิลปะในการประดิษฐ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดชีวิตของท่านจึงมีการประดิษฐ์เพลงใหม่ขึ้นอีกหลากหลาย
**** สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ (สมเด็จวังบูรพา )ทรงฉายพร้อมพระโอรสและพระธิดา***นอกจากการคิดประดิษฐ์เพลงใหม่แล้ว ท่านยังถือว่าการศึกษาเพิ่มเติมจากครูผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นของสำคัญ ประกอบกับท่านมีเจ้านายเป็นผุ้อุปถัมภ์คือสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ หรือเป็นที่รู้กันว่า "สมเด็จวังบูรพา" ทรงโปรดให้เรียนดนตรีเพิ่มเติมจากครูแปลก ประสานศัพท์  พระยาประสานดุริยศัพท์ (ครูแปลก ประสานศัพท์)ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็นพระยาประสานดุริยศัพท์ และได้เรียนเพลงมอญจากครูสุ่ม เจริญดนตรี ได้สร้างเครื่องดนตรีปี่พาทย์มอญ และได้แต่งเพลงมอญไว้หลายเพลง เช่น กรงทอง สองกุมาร เดินจ๊อด ตะละแม่ศรี เป็นต้น เนื่องจากเพลงมอญมีทำนองช้าชวนเศร้า ท่านจึงเป็นผู้นำปี่พาทย์มอญมาบรรเลงในงานศพเป็นคนแรก ต่อมามีผู้ทำตามอย่างกันทั่วไป
 
 
**** สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ในสมัยรัชกาลที่ ๖ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นอุปราชภาคใต้ ได้โปรดให้จางวางศร ปรับปรุงดนตรีไทยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลนครศรีธรรมราช จางวางศร ได้นำเพลงเขมรเขาเขียว ๒ ชั้น มาประดิษฐ์เป็น๓ ชั้น ให้ชื่อว่า "เขมรเลียบพระนคร" เพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น เพลงนี้เป็น เพลง "ทางกรอ" เพลงแรกและก็นับได้ว่าท่านเป็นผู้แต่งเพลงทางกรอ คนแรก เพลงนี้มีสำเนียงหวานไพเราะมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังแล้วพอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญราชรุจิทอง รัชกาลที่ ๕ และ ราชรุจิทองรัชกาลที่ ๖ ของพระองค์เอง ****ในพิธีเปิดประตูน้ำท่าหลวงในรัชกาลที่ ๖ มีการแสดงละครของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ จางวางศร ได้เป็นนายวงปี่พาทย์ ได้คิดประดิษฐ์ทำนองร้องและรับเพลงต่างๆ ประกอบการแสดงละคร เช่น พากย์โอ้ โอ้โลม โอ้ชาตรี เป็นต้น และได้บรรเลงระนาดเอกในงานที่เป็นที่พอพระราชหฤทัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชมเชยยกย่องความสามารถในศิลปะดนตรี ต่อมาได้ทรงฟังเพลงที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ในงานวันคล้ายวันเกิดของเจ้าพระยารามราฆพ ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงประดิษฐ์ไพเราะ" ****หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้เคยตามเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช เสด็จประพาสชวา ประเทศอินโดนีเซีย มีขลุ่ยเอาไปเพียงเลาเดียว ได้บรรเลงเพลงไทยให้เจ้าผู้ครองนครฟังเป็นที่พอพระราชหฤทัยในความไพเราะและศิลปะของเพลงไทยเป็นอย่างยิ่ง ในโอกาสนี้หลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็นคนแรกที่ได้นำอังกะลุงของชวาเข้ามาในประเทศไทย และได้จำเพลงชวามาด้วยหลายเพลง ต่อมาได้แต่งเพลงเลียนสำเนียงชวา เช่น โหมโรงชวา กะหรัดรายา สมารัง มูเซ็นซ้อค เป็นต้น****หลวงประดิษฐ์ไพเราะ เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายหลายพระองค์ เจ้านายไทยทรงพอพระทัยศิลปวิทยาอันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติโดยแท้จริง ทั้งๆที่พระองค์ทรงได้รับการศึกษาชั้นสูงจากต่างประเทศ และเชี่ยวชาญในวิชาการด้านต่างๆ แต่มิได้ทรงทอดทิ้งวัฒนธรรมไทย จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (๒๔๒๔-๒๔๘๗ )****ครั้งหนึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือที่ชาวบ้านมักกล่าวถึงพระองค์ท่านว่า ทูลกระหม่อมบริพัตร หรือทูลกระหม่อมวังบางขุนพรหม ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย แต่สนพระทัยและทรงเชี่ยวชาญในการดนตรีไทย ได้มีพระดำรัสสั่งให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะทำเพลงพม่าห้าท่อน ๓ ชั้น ให้เป็น ๖ ชั้น ทาง ๖ ชั้นนี้จึงเป็นพระดำริของพระองค์ท่านให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ประดิษฐ์เพลงพม่าห้าท่อน ๖ ชั้น และได้บรรเลงเป็นครั้งแรกในงานแลองพระชนมายุสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตที่วังบางขุนพรหม****นอกจากนั้นยังมีเจ้านายพระองค์อื่น อาทิ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ พระเจ้าน้องยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ ทรงส่งคนมาให้ปรับวงดนตรีและให้ทำเพลง ลาวดำเนินทรายทางเปลี่ยน สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาวุธ โปรดให้แต่งเพลง "ตับภูมิริน" ได้เลียนแบบ "ตับแม่ศรี" ของเก่า
 
*********เมื่อหลวงประดิษฐ์ไพเราะอายุประมาณ ๓๖ ปี ได้คิดเครื่องหมายแทนเสียงในการสอนดนตรีไทย โดยใช้ตัวเลขเป็นตัวโน้ตแทนเสียง เริ่มแต่เลข ๑ ถึงเลข ๗ เทียบให้เหมาะกับสายเปล่าแต่ตัวเลขนี้ใช้ได้เฉพาะซอด้วงและซออู้ เท่านั้น สำหรับจะเข้ต้องใช้ตัวเลข ๑ - ๑๑ การใช้ตัวเลขแบบนี้ทำให้สะดวกในการเรียนมากขึ้นแต่ไม่ได้แพร่หลายเพราะใช้สอนเฉพาะบุตร หลานและลูกศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น แบบโน้ตเพลงนี้ศิษย์ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะคนหนึ่งคือ ดร. เดวิด มอร์ตัน ผู้มาศึกษาดนตรีไทย และเป็นศิษย์อยู่ประมาณ ๒ ปี ได้นำไปตีพิมพ์ในหนังสือ Selected Reports in Ethnomusicology Vol. II ของแผนกดนตรี มหาวิทยาลัย U.C.L.A ในปี ๒๕๑๘ ****ในสมัยปลายรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าไปบรรเลงปี่พาทย์ร่วมกับการแสดงโขนบรรดาศักดิ์ ต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นหุ้มแพร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินี ****ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง สังกัดสำนักพระราชวัง ได้ถวายวิชาดนตรีไทย แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินี ได้กราบถวายบังคมทูลแนะนำวิธีแต่งเพลงไทยตามหลักดุริยางค์ไทย จนทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นที่ไพเราะยิ่ง ๓ เถา คือ๑. ราตรีประดับดาว มาจากเพลงมอญดูดาว๒. เขมรละอององศ์ มาจากเพลงเขมรเอวบาง๓. คลื่นกระทบฝั่ง มาจากคลื่นกระทบฝั่ง***พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานเหรียญดุษฏีมาลา และเข็มศิลปวิทยาให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่ได้รับพระราชทานในรัชกาลนี้ ด้วยทรงเห็นว่า หลวงประดิษฐ์ไพเราะเป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในทางดนตรี ทั้งการบรรเลงและการแต่งเพลง ได้ทรงทดลองให้บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด  ***เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสอินโดจีน และประเทศเขมร (พ.ศ. ๒๔๗๓)ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ตามเสด็จไปแสดงดนตรีไทยที่ นครวัด และพนมเปญ พระเจ้ามณีวงศ์กษัตริย์เขมร ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอันมากถึงกับทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตขอตัว หลวงประดิษฐ์ไพเราะไว้ช่วยสอนเพลงไทยให้แก่ครูดนตรีในราชสำนักเขมร หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ถือโอกาสนี้ศึกษาเพลงเขมร และได้นำมาประดิษฐ์เป็นเพลงเถา คือ นกเขาขะแมร์ และได้นำทำนองเพลงไทยเดิม คือ เขมรแดง เขมรขาว เขมรใหญ่ ให้มีสำเนียงเลียนเสียงเขมรมากยิ่งขึ้น เขมรแดงเป็นขะแมร์กะฮอม เขมรขาวเป็นขะแมร์ซอ และเขมรใหญ่เป็นขะแมร์ทม โดยเฉพาะเพลงนกเขาขะแมร์นี้ ศาสตราจารย์เดวิด มอร์ตัน ได้นำไปวิเคราะห์ตามหลักดนตรี และได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ Tradition Music of Thailand ของ Institute of Musicology มหาวิทยาลัย U.C.L.A. และมีเเผ่นเสียงเพลงนี้ประกอบด้วย
 
 ***ต่อมาในปี ๒๔๗๒ ได้ดำรงตำแหน่งปลัดกรมปี่พาทย์และโขนหลวง เมื่อกรมปี่พาทย์ และโขนหลวงโอนมาอยู่กรมศิลปากร หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้มารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกดุริยางค์ไทย ได้ช่วยราชการด้านนี้เจริญขึ้นเป็นอันมาก ได้เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายบอกทำนองเพลง บันทึกเพลงไทยลงเป็นโน้ตสากล ซึ่งได้เริ่มขึ้นโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เป็นกรรมการตรวจตราเพลงที่บันทึก นำความรู้ออกสู่วงการนี้เป็นอันมาก ****หลังจากเกษียณอายุทางราชการแล้ว หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ก็ยังช่วยราชการทุกครั้งที่มีการขอร้อง โดยเฉพาะงานไหว้ครูของโรงเรียนนาฏศิลป หลวงประดิษฐ์ไพเราะก็ได้มาเป็นประธานทุกปีมิได้ขาด หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้รับการยกย่องจากทางราชการว่า เป็นรอบรู้และสันทัดในการอ่านคำโองการถวายครูตามแบบแผนโบราณ ไม่ว่าจะมีการประกอบพิธีไหว้ครูที่ไหน หลวงประดิษฐ์ไพเราะมักจะได้รับเชิญเป็นผู้ช่วยร้องการถวายครูเสมอ ตลอดมาจนสิ้นอายุ ****หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ใช้ชีวิตของท่านอยู่กับการดนตรีไทยโดยแท้ ท่านรักที่จะถ่ายทอดความรู้ของท่านให้แก่ศิษย์ซึ่งกล่าวได้ว่ามีมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย *****ท่านจึงเป็น " ครูดนตรี " ที่สำคัญคนหนึ่งของชาติไทย ผู้สร้างผลงานอันหาค่ามิได้ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อ ๘ มีนาคม ๒๔๙๗ บรรณานุกรม๑. เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, สำนักงาน. สดุดีบุคคลสำคัญ เล่ม ๓. กรุงเทพฯ : บริษัท ประชาชน จำกัด, (๒๕๒๗).********(น.๑๒๓ - ๑๒๗)๒. อนุสรณ์คำนึงในวาระฉลองรอบร้อยปีเกิด หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง). กรุงเทพฯ : บัวหลวงการพิมพ์,******๑๔๑ หน้า. ภาพประกอบ.

บันทึกการเข้า
ต้นไผ่ใบว่าน
อสุรผัด
*
ตอบ: 32


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 11 ก.ค. 07, 17:25

ต่อนะคะ  อายจัง         จังหวัดสมุทรสงครามนั้นเป็นถิ่นทองของดนตรีไทยมาตั้งแต่ครั้งสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีครูผู้ใหญ่หลายคนหลายกลุ่มซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังและถือกำเนิดมาจากดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลองแห่งนี้อาทิเช่น ครูสิน ศิลปบรรเลง ครูกล้อย , ครูกล้ำ ณ บางช้าง ครูปาน, ครูปน นิลวงศ์ ครูสมบุญ สมสุวรรณ ครูโต(ไม่ทราบนามสกุล) คนฆ้องฝีมือดี ครูเหล่านี้มีลูกศิษย์ลูกหากระจายออกไปมากมาย ครูเนื่อง รัตนประดิษฐ์ (พ.ศ. 2439-2538) เล่าว่า สมัยที่ท่านไปเรียนปี่พาทย์ที่บ้าน ครูสมบุญ สมสุวรรณ นั้นจากแม่กลองไปจนถึงอัมพวามีวงปี่พาทย์มากกว่า 100 วง ส่วนมากเป็นเครื่องคู่

         ครูสิน ศิลปบรรเลง เป็นครูผู้ใหญ่คนหนึ่งของอัมพวา บุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาคนแรกชื่อ สุวรรณ เป็นคนระนาดฝีมือดี แต่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังหนุ่ม ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯ หรือนายศรเป็นบุตรชายคนเล็ก เกิดจากภรรยาคนที่สอง อายุห่างจากพี่ชายคนแรกถึงยี่สิบกว่าปี

         หลวงประดิษฐไพเราะฯเป็นคนมีพรสวรรค์ทางดนตรี สามารถตีฆ้องวงใหญ่ได้เองตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เริ่มเรียนปี่พาทย์จริงจังตั้งแต่อายุ 11 ปี และแตกฉานมีฝีมือดีอย่างรวดเร็ว ตีระนาดไหวจัดมาตั้งแต่เด็ก ท่านได้แสดงฝีมือจนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นครั้งแรกในงานโกนจุกเจ้าจอมผู้เป็นธิดาคนหนึ่งของเจ้าพระยาสุรพันธุ์ พิสุทธิ์ ที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีบุตรสาวถวายตัว ร.5 ถึง 5 คนคือ เจ้าจอมมารดาอ่อน เจ้าจอมเอียม เจ้าจอมเอ็ย (เกิด พ.ศ. 2422) เจ้าจอมเอี่ยม (พ.ศ. 2424) และเจ้าจอมเอื้อน (พ.ศ. 2430) ถ้าดูตามอายุน่าจะเป็นงานโกนจุกเจ้าจอมเอื้อน ซึ่งถ้าเป็นไปตามปกติก็ควรเป็นปี พ.ศ. 2441 หรือก่อนนั้น (ขณะนั้นนายศร อายุ 17 ปี) ในงานนั้นมีปี่พาทย์ 3 วง นายศรเป็นคนตีฆ้องวงเล็ก โขนเล่นตอนสุครีพหักฉัตร ปี่พาทย์บรรเลงเพลงเฉิดต่อตัวกัน คนระนาดเอกวงครูสินต่อวงอื่นไม่ทัน ครูสินจึงเรียกนายศรไปตีระนาดเอกแทน วงไหนส่งมานายศรก็รับส่งได้ไม่บกพร่อง พอถึงรอบสองตีไหวมากจนวงอื่นรับไม่ทัน นายศรต้องบรรเลงเพลงต่อไปเองจนจบ เจ้าพระยาสุรพันธุ์พิสุทธิ์ ถึงกับตบมือตะโกน ร้องว่า "นี่..ผู้ใหญ่แพ้เด็ก" ตั้งแต่นั้นมาชื่อ นายศร ก็ลือกระฉ่อนไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลอง

         ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ มีงานเปิดตลาดบ้านหม้อ มีปี่พาทย์ประชัน 3 วง คือ วงมหาดเล็กหลวง วงพระนายไวย และ วงเจ้าพระยาเทเวศรฯ ขณะนั้นนายแช่ม (พระยาเสนาะดุริยางค์)น่าจะเป็นคนระนาดเอกวงปี่พาทย์หลวงหรือไม่ก็วงปี่พาทย์ของเจ้าพระยาเทเวศรฯนายศรได้เข้ามาดูงานนี้ด้วยบังเอิญพระนายไวยซึ่งน่าจะรู้จักนายศรเหลือบมาเห็นเข้ารู้ว่าเป็นระนาดบ้านนอกฝีมือดี ก็เลยเรียกให้เข้าไปตีระนาดในวงของท่าน นายศรได้ตีระนาดหลายเพลงจนถึงเพลงเดี่ยวกราวในทำให้เจ้านายและผู้อยู่ในงานนั้นตะลึงในฝีมือ ได้รับรางวัลถึง 32 บาท ซึ่งนับว่ามากมายอักโขอยู่ในสมัยนั้น

         อีกครั้งหนึ่งในงานคล้ายวันเกิดของเจ้าคุณจอมมารดาสำลีชนนีของพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีในรัชกาลที่ 5 นายศรได้มีโอกาสมาร่วมบรรเลงปี่พาทย์ด้วยโดยได้เดี่ยวระนาดเอกเพลงกราวในเถาด้วยชั้นเชิงและฝีมืออันยอดเยี่ยมจนได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และเจ้านายพระองค์อื่นอีกหลายพระองค์ ชื่อเสียงของนายศรก็เริ่มเข้ามาโด่งดังในกรุงเทพฯ สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็นนักดนตรีเอก ทรงระนาดได้ดี โปรดระนาดที่ไหวจริง ชัดเจน การที่ประทานรางวัลนายศรแสดงว่าต้องตีได้เยี่ยมจริง ๆ

         ในปี พ.ศ. 2442 เป็นหัวเลี้ยวสำคัญในชีวิตของนายศรดังที่ท่านบันทึกไว้เองว่า "ปีกุน ร.ศ. 118 เจ้าเมืองสมุทรสงครามให้อำเภอคือ ขุนราชปุการเชย ไปหาบิดาที่บ้านบอกว่าสมเด็จวังบูรพาฯให้ไปตีระนาดถวายที่เขางู เมืองราชบุรี ออกจากบ้านมาก็เลยเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯทีเดียว ไปตามเสด็จเมืองพิษณุโลก หล่อพระพุทธชินศรีกลับลงมา รุ่งขึ้นปี ร.ศ. 119 เดือนยี่ ทำการสมรสที่บ้านหน้าวัง ในปีนี้ท่านบิดาก็ถึงแก่กรรม"

         เบื้องหลังและรายละเอียดอันเป็นต้นเหตุให้นายศรได้เข้ามาเป็นคนระนาดเอกวังบูรพาฯมีอยู่ว่า สมเด็จกรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช (ครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงฯ) เจ้าของวังบูรพาภิรมย์ทรงโปรดปี่พาทย์ยิ่งนักและไม่ยอมแพ้ใครในเรื่องนี้ ทรงมีวงปี่พาทย์ประจำวังของพระองค์เองแต่คนระนาดของพระองค์คนแล้วคนเล่า ก็ไม่มีใครสู้นายแช่ม (พระยาเสนาะดุริยางค์) ได้ จึงทรงเสาะหาคนระนาดที่จะมาปราบนายแช่มให้ได้ เมื่อเสด็จออกไปบัญชาการเตรียมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ที่จังหวัดราชบุรี ทรงทราบว่านายศรบุตรครูสินตีระนาดดีจึงให้หาตัวมาตีถวาย พอตีถึงเดี่ยวกราวในยังไม่ทันจบเพลง ก็ถอดพระธำรงค์ประทานและขอตัวจากครูสินให้ตามเสด็จเข้าวังทันที แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ต้องกลับไปเอาที่บ้านทรงแต่งตั้งให้นายศรเป็นจางวางมหาดเล็ก ซึ่งปรากฏชื่อในหมู่นักดนตรีว่า "จางวางศร"

         สมเด็จวังบูรพาฯโปรดให้จางวางศรเป็นคนระนาดเอกแทน ครูเพชร จรรย์นาฏ ซึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนฆ้องใหญ่ ครูเพชรผู้นี้เป็นศิษย์รุ่นเล็กของครูช้อย สุนทรวาทิน มีฝีมือทั้งระนาดและฆ้องวง ได้ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้กับจางวางศรเป็นอันมาก ส่วนครูคนสำคัญที่ทำให้ฝีมือระนาดของจางวางศรก้าวหน้ายิ่งขึ้นคือ ครูแปลก (พระยาประสานดุริยศัพท์) นอกจากนั้นจางวางศรยังได้เรียนและได้รับคำแนะนำจากครูผู้ใหญ่คนอื่นๆในยุคนั้นอีกหลายท่านด้วย

         สมเด็จวังบูรพาฯทรงหาครูมาฝึกสอนจางวางศรอยู่นานพอสมสมควรแล้วทรงจัดให้จางวางศรตีระนาดประชันกับนาย แช่ม (พระยาเสนาะดุริยางค์) คนระนาดเอกของกรมพิณพาทย์หลวง เมื่อราวปี พ.ศ. 2443 ขณะนั้นจางวางศรอายุ 19 ปี นายแช่มอายุ 34 ปี เป็นการประชันระนาดเอกอย่างเป็นทางการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการดนตรีไทยผลการประชันเป็นที่กล่าวขวัญกันมาอีกช้านาน รายละเอียดที่จะได้นำเสนอต่อไปนี้ได้ข้อมูลมาจาก คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ครูจำรัส เพชรยาง และศิษย์ครูจางวางศรซึ่งส่วนใหญ่ไปดูการประชันครั้งนั้นมี ครูถวิล อรรถฤกษณ์ ศิษย์ ครูเพชร จรรย์นาฏ

         เมื่อจางวางศรรู้ว่าสมเด็จวังบูรพาฯจะให้ตีประชันกับนายแช่มก็ตกใจมาก เพราะในขณะนั้นนายแช่มกำลังโด่งดังไม่มีใครกล้าสู้ อีกทั้งเป็นลูกครูช้อยครูของครูแปลกและครูเพชรด้วย จางวางศรจึงทั้งเคารพและยำเกรงในฝีมือ ท่านเล่าให้ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ฟังว่า "เพียงแต่ได้ยินชื่อก็ให้รู้สึกว่ามือเท้าอ่อนปวกเปียกไปเลยทีเดียว ความกลัวของท่านครูนั้นถึงกับทำให้หยุดซ้อมระนาดไปเลย ทั้งนี้เพราะเกิดความกังวลจนไม่เป็นอันกินอันนอน ในที่สุดท่านก็ชวนเพื่อนไปรดน้ำมนต์เพื่อทำให้จิตใจดีขึ้น" ด้วยความคร้ามเกรงฝีมือซึ่งกล่าวกันว่า "จะมีใครสู้นายแช่มได้" จางวางศรจึงไปกราบขอร้องให้ครูผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือท่านหนึ่งไปช่วยกราบขออภัยต่อนายแช่มว่า ที่จริงท่านไม่เคยคิดหาญจะประชันด้วย แต่ไม่อาจขัดรับสั่งสมเด็จวังบูรพาฯได้ โปรดออมมือให้ท่านบ้าง แต่ปกติวิสัยของการประชันดนตรีย่อมต้องเล่นให้ดีเต็มฝีมือ ประกอบกับนายแช่มเป็นคนระนาดของวังหลวงย่อมต้องรักเกียรติรักศักดิ์ศรีของตน จึงไม่ยอมรับคำขอร้องโดยบอกว่าต่างฝ่ายต่างต้องเล่นเต็มฝีมือ

         จางวางศรยิ่งวิตกกังวลถึงกับหนีไปอยู่กับพวกปี่พาทย์ที่คุ้นเคยกันตามต่างจังหวัด สมเด็จวังบูรพาฯทรงกริ้วมากสั่งให้เอาตัวนางโชติภรรยาจางวางศรมากักกันไว้ จนจางวางศรต้องกลับมา มุมานะฝึกซ้อม และคิดค้นหาวิธีตีที่จะทำให้ไม่แพ้คู่ต่อสู้ เข้าใจว่าท่านได้คิดวิธีจับไม้ระนาดให้ตีไหวรัวได้ดียิ่งขึ้นในตอนนี้ ตลอดจนเทคนิคต่างๆในการตีระนาดอีกมากมาย เช่น ตีให้ไหวร่อน ผ่อนแรง ไหวทน เพราะนายแช่มหรือพระยาเสนาะดุริยางค์นั้นทั้งไหวทั้งจ้าหาคนสู้ได้ยากจริงๆ จางวางศรเองก็เคยปรารภกับครูเพชรว่า "ตีให้จ้าน่าเกรงขามอย่างท่านยากต้องหาชั้นเชิงอื่นสู้" ความมุ่งมั่นมานะทำให้ท่านฝันว่าเทวดามาบอกทางเดี่ยวเพลง กราวในที่ดีที่สุดให้และประสาทพรให้ท่านว่า "ต่อไปนี้เจ้าจะตีระนาดไม่แพ้ใคร"

         การประชันครั้งนั้นใช้ปี่พาทย์เครื่องห้าเพราะต้องการดูฝีมือผู้ตีระนาดเอกเป็นสำคัญ วงปี่พาทย์หลวงไม่ทราบว่าใครเป็น คนฆ้อง คนปี่ และ คนเครื่องหนังแต่วงวังบูรพาฯครูเพชรเป็นคนฆ้อง ครูเนตรตีเครื่องหนัง ส่วนคนปี่ไม่ทราบนาม การประชันเริ่มตั้งแต่เพลงโหมโรงเพลงรับร้องเรื่อยไปจนถึงเดี่ยวระนาดเอกกันแบบ "เพลงต่อเพลง" เริ่มด้วยเพลงพญาโศก เชิดนอก (4 จับ) และเดี่ยวอื่นๆเรื่อยไปจนถึงเพลงกราวใน ผลปรากฏว่าฝีมือก้ำกึ่งคู่คี่กันตลอดจนกระทั่งถึงเพลงเดี่ยวกราวในก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะเด็ดขาด เพราะฝีมือเด่นกันคนละอย่างดังที่ ครูเพชร จรรย์นาฏ เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า "พระยาเสนาะดุริยางค์ไหวจัดจ้ากว่า แต่จางวางศรไหวร่อนวิจิตรโลดโผนกว่า" จึงต้องตัดสินกันที่เพลงเชิดต่อตัวซึ่งวัดความไหวทนเป็นสำคัญ

         พระยาเสนาะดุริยางค์หรือนายแช่มนั้นตีระนาดไหวแบบเก่า และคงจะใช้ไม้ตีปื้นหนา พันไม้แข็งนัก จึง "ดูดไหล่" คือกินแรง ประกอบกับท่านรักษาความเจิดจ้าชัดเจนของเสียงระนาดไม่ยอมตีระหรือเกลือกให้เสียงเสีย ยิ่งตีไหวจ้าขึ้นมากเท่าใดก็ต้องใช้กำลังแขนไหล่มากขึ้นเท่านั้น จึงย่อมจะล้าง่าย ส่วนจางวางศรคิดวิธีจับไม้ให้ไหวร่อนได้เร็วใช้การเคลื่อนไหวข้อมือช่วยผ่อนกำลังแขน จึงไหวร่อนได้เร็วกว่าแม้เสียงจะไม่จ้าเท่าตีด้วยกำลังแขนแต่ก็ไหวทนกว่า
ผลแพ้ชนะของการต่อตัวเชิดนั้นจะดูที่อาการ "หลุด" หรือ "ตาย" หลุดคือ รับเชิดตัวต่อไปจากคู่ต่อสู้ไม่ทันเพราะไม่สามารถตีให้ไหวเร็วเท่าคู่ต่อสู้ส่งมาได้ส่วน "ตาย" คือรับทัน แต่เมื่อตีด้วยความเร็วเท่าที่รับมาไปพักหนึ่งแล้วไม่สามารถรักษาความไหวเร็วในระดับนี้ต่อไปได้ ต้องหยุดตีหรือเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งจนมือตายเคลื่อนไหวต่อไปไม่ได้

         ผลการต่อตัวเชิดครั้งนั้นปรากฏว่าในที่สุดพระเสนาะดุริยางค์เกิดอาการ"มือตาย" จึงถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ในเรื่องความไหว แต่ครูจางวางศรเล่าว่าท่านเป็นระนาดชาติเสือแม้จะตีจนมือตายแต่เสียงระนาดยังคงเจิดจ้าสม่ำเสมอ ไม่มีเสียงเสียเลยจนผู้ที่นิยมระนาดเสียงเจิดจ้าแบบเก่าสรุปผลการประชันว่า "นายศรชนะไหว นายแช่มชนะจ้า"

         คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง (บุตรีคนโตของจางวางศร) เล่าเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีการประชันเปลี่ยนทางเพลงอีก ซึ่งจางวางศรก็มีไหวพริบเปลี่ยนทางเพลงได้รวดเร็วและไพเราะกว่า เรื่องนี้น่าแปลก เพราะขณะนั้นพระยาเสนาะดุริยางค์อายุ 34 ปีผ่านงานละครดึกดำบรรพ์ซึ่งใช้เพลงทางเปลี่ยนมากมาแล้วอย่างช่ำชอง แต่จางวางศรเพิ่งจะอายุ 19 ปี ด้อยประสบการณ์กว่ามาก แต่ที่ท่านเปลี่ยนทางเพลงได้รวดเร็วไพเราะคงเป็นเพราะท่านมีไหวพริบปฏิภาณความถนัดในเรื่องนี้สูง ดังปรากฏชัดในประวัติชีวิตและผลงานในยุคต่อๆมา

         ตั้งแต่นั้นมาทางระนาดแบบโลดโผนวิจิตรพิสดารคือการ สะบัด ขยี้ แบบต่างๆของจางวางศรก็ได้รับความนิยมแพร่หลายยิ่งขึ้น ทางระนาดแบบไหวลูกโป้งที่พระยาเสนาะดุริยางค์ถนัดค่อยๆเสื่อมความนิยม คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ให้ความเห็นว่าเป็นไปตามพัฒนาการของยุคสมัย พระยาเสนาะดุริยางค์ก็มีฝีมือเป็นเยี่ยมสุดยอดในยุคของท่าน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปสิ่งใหม่ที่ไม่ไร้คุณค่าทางศิลปะ ย่อมได้รับความนิยมมากกว่าผลการประชันครั้งนั้นเป็น "จุดเปลี่ยน" ครั้งสำคัญในวิชาดนตรีของพระยาเสนาะดุริยางค์ เพราะตั้งแต่นั้นมาท่านมุ่งเอาดีทางปี่ จนเป็นเอตทัคคะสุดยอดในทางนี้

         สมเด็จวังบูรพาฯได้หาโอกาสให้จางวางศรประชันปี่กับพระยาเสนาะดุริยางค์อีกหลายครั้ง แต่ผลโดยสรุปต้องถือว่าพระยาเสนาะดุริยางค์เหนือกว่าในเชิงปี่ ครูเทียบ คงลายทอง ศิษย์เอกของท่านเป็นคนปี่ที่ "ยอดเยี่ยม" จริงๆ และทางปี่ของพระยาเสนาะดุริยางค์ก็แพร่หลายในวงการดนตรีไทยเช่นเดียวกับที่ทางระนาดเอกของหลวงประดิษฐไพเราะฯแพร่หลายมากที่สุด ต่างฝ่ายต่างมีอัจฉริยภาพเด่นสุดยอดกันคนละอย่าง นอกจากนั้น 2 ท่านยังแตกฉานในการบรรเลงเครื่องดนตรีอื่นๆด้วย ทั้ง ฆ้องใหญ่ ฆ้องเล็ก ระนาดทุ้ม ตลอดจน เครื่องสาย มโหรี สม ดังที่ ครูประสิทธิ์ ถาวร กล่าวว่า "ท่านเหล่านี้เทวดาส่ง มาเพื่อพัฒนาดนตรีไทย เราควรยกย่องเทิดทูนท่านมาก กว่าจะเอาความสามารถของท่านมาเปรียบเทียบกัน"

         หลวงประดิษฐไพเราะ (จางวางศร) นั้น เลื่องลือมากในเรื่องการตีระนาดเอกไหว จางวางทั่ว พาทยโกศล เคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่าเมื่อท่านเป็นคนฆ้องเล็กในวงปี่พาทย์ฤาษีนั้นต้อง "ฝึกไล่" หนักมาก เพราะเกรงจะตีไหวไม่ทันระนาดเอก ครูขำ กลีบชื่น ซึ่งเป็นคนเครื่องหนังเคยตีกลองทัดรุกหลวงประดิษฐไพเราะฯในตอนตีระนาดเพลงเชิดโหมโรง แต่หลวงประดิษฐไพเราะฯเร่งความเร็วไหวจนครูขำกลองตีตามไม่ทัน ครูถวิล อรรถ อรรถกฤษณ์ เล่า ว่า เมื่อตอนที่ท่านเร่งฝึกซ้อม ครูเผือด นักระนาด (ศิษย์เอกคน หนึ่งของท่าน) ท่านตีเดี่ยวกราวในคู่ไปกับครูเผือด ครูเผือดตีไหวจนสุดตัวแล้ว ครูหลวงประดิษฐไพเราะฯยังเร่งไหวมากขึ้นอีกได้อย่างสบายทั้งๆที่ตอนนั้นท่านอายุเกือบ 50 ปีแล้ว

         หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้พัฒนาวิธีตีระนาดให้มีเทคนิคและชั้นเชิงมากยิ่งกว่าครูยุคก่อน และยุคหลังท่าน เมื่อตอนที่เตรียมตัวประชันกับพระยาเสนาะดุริยางค์ท่านใช้เทคนิคการตีสะบัดแบบต่างๆ ซึ่งช่วงแรกๆครูผู้ใหญ่ในยุคนั้นไม่ยอมรับ บางคนถึงกับกล่าวว่า "นายศรเธอตีระนาดแบบนี้จะไปสู้กับนายแช่มเขาได้อย่างไร" แต่ในที่สุดวงการปี่พาทย์ก็ยอมรับว่าการตีสะบัดแบบต่างๆอย่างพอเหมาะพอดี เช่น สะบัด 2 เสียง สะบัด 3 เสียง นั้น ช่วยเพิ่มรสชาติให้เพลงมากทีเดียว

         แต่เดิมนั้นระนาดเอกตีทำนองเก็บเป็นพื้น คนที่ไม่เป็นดนตรีฟังไม่ค่อยทันจะรู้สึกว่าเร็วเหมือนกันทุกเพลง ต่อมาจึงเริ่มมีเพลงทางกรอเช่น เพลงเขมรไทรโยค ของสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หลวงประดิษฐไพเราะฯได้พัฒนาการแต่งเพลงทางกรอล้วนขึ้นหลายเพลงเช่น เขมรเลียบพระนคร เขมรพวง ซึ่งล้วนอ่อนหวานไพเราะ ฟังง่าย คนเป็นดนตรีก็ฟังได้ คนไม่เป็นดนตรีก็ชอบฟัง การตีกรอจึงเป็นเทคนิคประการหนึ่งที่ท่านนำมาใช้ในการบรรเลงอย่างจริงจังตลอดทั้งเพลงเป็นคนแรก

         สิ่งที่ท่านพัฒนามากอีกอย่างหนึ่งคือ การจับไม้ระนาด เพื่อให้ตีได้เสียงต่างกัน เดิมการตีระนาดจับไม้แบบปากนกแก้วอย่างเดียว ท่านได้พลิกแพลงจับไม้แบบปากกาบ้าง ปากไก่บ้าง ครูประสิทธิ์ ถาวร กล่าวว่า "ความที่ครูคิดวิธีจับแบบปากกาจึงไม่มีใครตีระนาดรัวได้ดีเท่า" และได้เล่าถึงความเชี่ยวชาญในเชิงระนาดซึ่งท่านได้ถ่ายทอดแก่ศิษย์อย่างไม่ปิดบังอีกว่า
         "ท่านครูได้เมตตาถ่ายทอดวิธีการตีระนาดให้ผมมากมายหลายรูปแบบไม่ว่าจะเรื่อง แนวทีท่า ขึ้นลง สวมส่ง สอดแทรก ทอดถอน ขัดต่อ หลอกล้อ ล้วงลัก เหลื่อมล้ำ โฉบเฉี่ยว ที่ท่านเน้นเป็นพิเศษคือวิธีใช้เสียงและกลอนให้เกิดอารมณ์ต่างๆอันเป็นหัวใจสำคัญของ "ดนตรีที่ไพเราะ" เช่น กลอน (ทาง) สำนวนนี้ต้องใช้ เสียงกลม เสียงกลมหมายถึง ความเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง อารมณ์สุขุมรอบคอบ ไม่ล่อกแล่กหลุกหลิก มีความภาคภูมิสมเป็นผู้นำที่ดี เสียงแก้ว แก้วหมายถึงใสดุจแสงแก้ว แวววาวตระการตาสว่างไสวเมื่อได้ยิน เสียงนี้ใช้เฉพาะเจาะจงในการบรรเลงระนาดมโหรี ท่านว่านักระนาดใดตีเสียงแก้วไม่ได้ไม่ใช่นักระนาดมโหรี เสียงร่อนผิวน้ำ ร่อนผิวน้ำหมายถึงความเริงร่าระเริงใจ ปราดเปรียวตามประสาวัยรุ่น เสียงร่อนริดไม้ ร่อนริดไม้หมายถึงชั้นเชิงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเขี้ยวเล็บประดุจเสือลายพาดกลอน เสียงร่อนใบไม้ไหวหมายถึงอารมณ์อันอ่อนไหวระคนไปด้วยความอ่อนหวานอันชวนให้คลั่งใคล้ไหลหลง เหมือนหนุ่มสาวที่กำลังมีอารมณ์รักปล่อยอารมณ์ไปกับแสงจันทร์ ฉะนั้น เสียงร่อนน้ำลึกหมายถึงความเป็นผู้มีอำนาจเป็นเจ้าแห่งจอมพลัง เป็นที่หวาดเกรงของคู่ต่อสู้ ฯลฯ เสียงพิเศษที่ผมนำมากล่าวในที่นี้ นักระนาดต้องผ่านการฝึกหัดตีฉากเสียก่อนจึงจะสามารถตีประดิษฐ์เสียงเหล่านี้ได้ถูกต้อง"

         ครูประสิทธิ์ ถาวร ยังได้แจกแจงเรื่องเสียงระนาดแบบต่างๆที่ได้รับถ่ายทอดมาจากครูหลวงประดิษฐไพเราะฯไว้อีกแง่มุมหนึ่งว่า "ดนตรีก็มีภาษาโดยเฉพาะดนตรีไทย" เพียงระนาดเอกเครื่องมือเดียวก็สามารถประดิษฐ์เสียงสื่อความหมายได้ไม่น้อยกว่า 20 เสียง แต่ละเสียงให้ความหมายและความรู้สึกที่แตกต่างกันเอาทิช่น เสียงกลม - เสียงแก้ว - กรอ - กริก - กรุบ - กาไหล่ - กลอกกลิ้ง, กลิ้งเกลือก - ปริบ - โปร่ง - โปรย - โรย - รัว - ร่อน - ร่อนริดไม้ , ร่อนใบไม้ไหว - ร่อนผิวน้ำ - ร่อนน้ำลึก - โต - โตผิวน้ำ - โตน้ำลึก , โขยก - ขยอก - สะบัด เป็นต้น

         จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่าหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นผู้รวบรวมสัมฤทธิ์ภาพเรื่องระนาดเอกจากยุคก่อนมาไว้มากที่สุด ทั้งยังคัดสรรค์และสร้างเสริมวิธีตีระนาดเอกให้หลากหลายไพเราะยิ่งขึ้น จนได้รับยกย่องว่าเป็นนักระนาดเอก และครูระนาดเอกที่ยอดเยี่ยมที่สุดท่านหนึ่งของเมืองไทย

         หลวงประดิษฐไพเราะฯเป็นบุตรคนเล็กของ ครูสิน ศิลปบรรเลง และ นางยิ้ม เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2424 ที่บ้านตำบลคลองดาวดึงส์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม มีวิถีชีวิตและผลงานในเรื่องของดนตรีไทยสรุปได้ดังนี้

ปี พ.ศ. 2442 ได้เข้าเป็นจางวางมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ปี พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯโปรดเกล้าฯให้เข้าไปบรรเลงปี่พาทย์ร่วมกับการแสดงโขนบรรดาศักดิ์ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ
ปี พ.ศ. 2469 เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง โดยสังกัดสำนักพระราชวัง
ปี พ.ศ. 2473 ดำรงตำแหน่งปลัดกรมปี่พาทย์และโขนหลวงต่อมาโอนมาอยู่กรมศิลปากร ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 ศิริรวมอายุได้ 72 ปี 7 เดือน 2 วัน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.088 วินาที กับ 19 คำสั่ง