เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11
  พิมพ์  
อ่าน: 56914 นิราศเมืองเพชร
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 13 ก.ค. 07, 22:20

เรื่องสึกตอนออกพรรษา  ตีความจากเพลงยาวถวายโอวาท ค่ะ

แต่ในช่วงนี้  เรื่องพ.ศ. ยังสับสนอยู่   ยังเรียงลำดับในสมองได้ไม่แจ่มแจ้ง จะตรวจสอบวันเดือนปีเองก็ยังไม่มีปัญญา   
ดังที่เคยบอกแล้วว่าเกลียดตัวเลขการนับพ.ศ. เป็นอันดับหนึ่ง  เมื่อมาเจอคุณพิพัฒน์ที่ยึดการนับพ.ศ. เป็นหลัก  ดิฉันจึงปวดหัวพอสันฐานประมาณ
เอาเป็นว่า มีการสึกก่อนไปนิราศเมืองเพชร  ถ้าจะยืนยันว่าสุนทรภู่บวชระยะยาวไม่เคยสึกเลยจนถึง พ.ศ. ๒๓๗๕
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 13 ก.ค. 07, 22:30

ถ้าไม่ชอบตัวเลข งั้นผมเสนอตัวหนังสือแทน อย่างนี้ครับ

ผมจะเรียงเรื่องเกี่ยวกับขุนนางกวีนิรนามแห่งพริบพรี ดังนี้
หนุ่มคนหนึ่ง มีวิชาหนังสือพอตัวจนได้เป็นครูสอนหนังสือแก่คนทั้งหลาย สำนักอยู่แถววัดพลับ
แกมีเพื่อนสนิทเป็นคนมีชื่อ เอ่ยนามว่าขุนรอง(คงเป็นตำแหน่งเมื่อหนุ่มแล้ว) เป็นน้องขุนแพ่ง

ขุนรองนี้ เคยมีเหตุขัดแย้งกับเจ้าเมือง ถึงหนีไปอยู่นอกเมือง กวีก็ตามไปอยู่เป็นเพื่อน
เมื่อเป็นหนุ่มพอจะมีคู่ได้ มีผู้หลักผู้ใหญ่เมตตา จะหาคู่ให้ แต่ไม่สำริดผล ถึงกับมองหน้าสาวเจ้าไม่ติด
ระหว่างแตกเนื้อหนุ่ม แกก็ผาดโผน จนออกอาการที่เรียกว่า "บ้า"
เดาว่าบ้าวิชา ไม่ใช้บ้าบอ เพราะตอนที่บ้าอยู่ ยังมีสาวมาให้นอนหนุนแขน
คนวิกลจริตคงทำอย่างนั้นมิได้ และคงจำเรื่องมิได้ด้วยซ้ำ

นิสัยเจ้าชู้นี้ เป็นเอกลักษณ์ แกจึงมีความหลังกับสาวหลายคน
แกเป็นคนเมืองเพชรแน่ แม้ไม่มีกลอนที่บอกว่าไปหาถิ่นฐานบ้านเรือนบรรพบุรุษ
แต่รายละเอียดชีวิตที่เก็บออกมาได้ พบว่าแกหัวหกก้นขวิดชนิดที่เป็นคนต่างถิ่น คงกระทำมิได้

อยู่มาวันหนึ่ง แกก็ต้องจากบ้านเข้ายางกอก
ไปบางกอกได้ไม่นาน ขุนแพ่งตาย อาจจะเพราะไปทำศึกลาวบาดเจ็บมา แกก็มาเยี่ยมศพ
ขุนรองเพื่อนรักได้รับแต่งตั้งแทนที่พี่ ข้อนี้บ่งว่า อายุต้องมากพอแล้วล่ะ จึงรับงานต่อได้
ช่วงที่แกไปบางกอกและกลับมาเยี่ยมศพ จนมาถึงวันที่รับอาสา "เสด็จ" พระองค์หนึ่งมาหาของต้องประสงค์
ซึ่งเป็นของที่อยู่กับขุนรอง แกจึงมาเจรจาสำเร็จโดยง่าย เสร็จงาน แกก็อวดกร่าง
คงเป็นระยะเวลาไม่นานนัก ไม่น่าจะเกินสี่ห้าปี
หากเป็นเช่นนั้น วันที่แกจากพริบพรีไปบางกอก แกก็ต้องมีลูกเด็กแล้วล่ะ
เพราะมาคราวนี้ แกเอ่ยถึงเด็กที่มาด้วย ล้วนแต่รู้ความแล้วทั้งนั้น
อย่างต่ำก็เกี้ยวสาวได้ ก็คง 16 ขึ้นไป คนเล็กก็เล่นนับคุ้งคลองได้ น่าจะอายุราวๆ โกนจุก
เรารู้ด้วย ว่าแกไร้คู่ การมาเจาะจงหาแต่สาวๆ จึงออกจะซ่อนนัยยะอยู่นา....

คนที่แกแวะไปหาก็ล้วนแต่คุ้นเคยกันเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ทั้งนั้น
อ่านกลอนแล้ว เดาได้ว่า แกน่าจะมาเมืองเพชร ปีเว้นปีเสียด้วยซ้ำ
เพราะแกเย้าสาวคนหนึ่งว่า มาทีไรท้องทุกที.....
ดังนั้น ผมจึงใคร่ปรึกษาท่านนักเดาอดีตานุศาสตร์ว่า
กวีผู้นี้ จะจากมาบางกอกปี 2356 หรือ 2368 ดีครับ

ทีนี้เป็นคำถาม แก้เบื่อ
1 หนุ่มเมืองเพชรคนนี้ จะใช่คนเดียวกับที่เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาวได้หรือไม่
คนนั้น วัยหนุ่มก็โชกโชนเรื่องหญิงไปทั่วคุ้งน้ำแห่งบางกอกเหมือนกัน
2 แล้วหนุ่มคนนี้ จะกลายมาเป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เป็นครูสอนเจ้าฟ้าตั้งแต่ปลายรัชกาลที่สอง
บวชเมื่อสิ้นรัชกาล แล้วได้เป็นครูสอนเจ้าฟ้าอีกสององค์ ได้หรือไม่

ตอบได้ ผมจึงจะยอมเชื่อว่าสุนทรภู่มีสามชีวิต ดำเนินไปพร้อมๆ กัน เป็นอัจฉริยะแห่งจอมแปลงกาย....ฮิฮิ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 13 ก.ค. 07, 22:58

ถ้าพูดเป็นตัวหนังสือ  ก็พอจะเจรจาความกันได้

เอาศึกลาวที่ขุนแพ่งตาย เป็นหลัก  ว่าท่านขุนนางกวีกลับมาเมืองเพชรในนิราศเมืองเพชร หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี  ก็แปลว่ามาเมื่อ พ.ศ. 237... กว่าๆ
มีลูกชายเป็นหนุ่มแล้ว พอหาสะใภ้ได้    พ่อต้องอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี  ตีเสียว่า 40-45 ขวบ
ตอนคึกคะนองกับสาวๆเห็นจะประมาณ 20-25   ปี   มีเมียเป็นตัวเป็นตน  หลังจากนั้น  ไปได้เมียชาวเมืองหลวงหรือไงไม่ทราบ
จึงคิดว่าไปบางกอกปีระกา 2356 มากกว่า 2368 ค่ะ   แต่ว่ากลับมาเยี่ยมหลังจากนั้น ไม่ได้หายสูญไปเลย 
ก่อนมาครั้งเขียนนิราศเมืองเพชร  น่าจะทิ้งช่วงหลายปี  เพราะจำหนทางไม่ค่อยจะได้

จึงขอเรียงเรื่องเสียใหม่ อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง

-หนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวเมืองหลวงแต่ว่ามีญาติระดับปู่ย่าตายายอยู่เมืองเพชร   เรียนหนังสือจบจากวัดชีปะขาว  พ่อแม่แยกทางกัน
-เป็นคนเก่งเรื่องหนังสือหนังหา แต่งหนังสือได้แต่วัยหนุ่ม
-มีเหตุอะไรสักอย่างทำให้ออกจากเมืองหลวงมาอยู่กับญาติที่เพชรบุรี   ยึดอาชีพครู มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตา   
-คบเพื่อนหนุ่มลูกคนไฮโซในเมือง ชื่อขุนรอง น้องขุนแพ่ง   พื้นเพที่ดีทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูหาคู่ให้
- ก่อเหตุอะไรบางอย่างที่เพชรบุรี  อาจจะเนื่องจากผู้หญิง  ที่ไปวุ่นวายอยู่หลายบ้าน ก็เลยจากเพชรบุรีไปเมืองหลวง
- จากนั้นไปเป็นอาลักษณ์   แต่งงานมีลูก
- คนเก่งอยู่ที่ไหนก็ย่อมมีคนเห็นแวว   จึงเลื่อนจากอาลักษณ์วังธรรมดาไปเป็นอาลักษณ์วังหลวง
- ชะตาลดลงบ้าง เมื่อสิ้นวังหลวง แต่ก็ไม่ถึงกับตก  เมื่อบวช ก็ได้ถวายพระอักษรเจ้าฟ้า ขณะบวช
- อาจจะกลับมาเมืองเพชรบ้าง บางครั้ง เพราะออกหัวเมืองบ่อย
- ชีวิตในผ้าเหลือง ค่อนข้างขรุขระ  วันหนึ่งก็สึก เมื่ออายุมากแล้ว กลับเป็นโสดอีกครั้ง(พูดแบบใหม่ แบบเก่าคือเป็นพ่อม่ายเมียทิ้ง)
- กลับมาเยี่ยมเมืองเพชรอีกครั้ง  มีลูกชายมาด้วยคนหนึ่ง อีกคนอาจจะหลานชาย
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 13 ก.ค. 07, 23:14

เรื่องบวชยาวผมยังข้องใจครับ ผมไม่ได้อ่านนิราศพระแท่น แต่เท่าที่อ่านจากรำพันพิลาป
แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ     บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา
ผมว่ากวีไม่ได้บอกว่าบวชยาวนะครับ แค่บอกว่าปีวอกออกจากราชกิจไปบวชแค่นั้นเอง

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ อาจจะระบุปีได้
ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง            เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่     สถิตที่ทับนาพออาศัย

ยามนั้นกับขุนรองต้องมาสถิตที่ทับนา คนที่ต้องมานอนทับนาสถานภาพการงานจะเป็นอย่างไร
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง        เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ         เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอนฯ

เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นทีหลังแน่ แต่เมื่อไหร่?

ผมคุ้ยได้ลิงก์นี้มา http://www.bizascorp.com/dika/index.php?master_id=70&lang_id=1 มีความน่าสนใจดังนี้ครับ
๔. ศาลความนครบาล หรือกระทรวงนครบาล พิจารณาความนครบาล เช่น ปล้น ฆ่า ยาแฝดยาเมาถึงตาย ทำแท้งถึงตายเป็นต้น ถ้าเป็นเรื่องไม่ถึงตายและจำเลยเป็นสมใน ให้ขุนพรหมสุภาเป็นผู้พิจารณา ถ้าความนครบาลเกิดในหัวเมือง ขุนแขวงเป็นผู้พิจารณา
๖. ศาลแพ่งกลาง พิจารณาความแพ่งที่จำเลยเป็นสมนอกและเป็นคดีที่กล่าวหา ในสถานเบา เช่น ด่าสบประมาท แทะโลม ข่มขืนมิได้ถึงชำเรา ทุบถองตบตีด้วยไม้หรือมือไม่ถึงสาหัส กู้หนี้ยืมสิน เป็นต้น ถ้าความแพ่งสถานเบาและจำเลยเป็นสมนอกเกิดในหัวเมืองรองแพ่งเป็นผู้พิจารณา
๗. ศาลแพ่งเกษม พิจารณาความแพ่งที่จำเลยเป็นสมนอกและเป็นคดีที่กล่าวหา ในสถานหนัก เช่น บุกรุกที่ดินเรือกสวน ทำชู้หรือข่มขืนกอดจูบเมียหรือลูกหลานผู้อื่นถึงชำเรา เป็นต้น ถ้าความแพ่งสถานหนักและจำเลยเป็นสมนอกเกิดในหัวเมือง ขุนแพ่งเป็นผู้พิจารณา 

ตำแหน่งขุนแพ่ง รองแพ่ง(ที่บางแห่งเรียกขุนรองแพ่ง จะมีคนเรียกไปขุนรองได้ไหม?) ควรจะใหญ่โตแค่ไหน ดูจากที่กวียกย่องก็ไม่เบาอยู่ ย้อนหลังกลับไปแค่ไม่กี่ปี (๒๓๖๘) จะให้ยำ่แย่ถึงต้องไปนอนทับนาผมว่าเกินไปหน่อยครับ

ถึงตรงนี้ รู้สึกว่าปีระกาไปบางกอกน่าจะไกลถึง ๒๓๕๖ วันที่ขุนรองยังเป็นแค่ไอ้หนุ่มที่ต้องไปนอนทับนากับเพื่อนอยู่ครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 13 ก.ค. 07, 23:38

ท่านอาชาฯ เกิดไม่ทัน จึงไม่รู้ว่าคนรวยครั้งรัชกาลที่สามเขาเป็นอยู่อย่างไร
ขุนรองไปอยูทับนา ไม่ได้แปลว่าจนครับ แปลว่ารวยต่างหาก
คือผู้ดี เขาจะอยู่กลางเมือง อย่างแถววัดพลับนั่นละถิ่นไฮโซ แต่มีที่ดินอยู่นอกเมือง จ้างเขาทำนา
ได้ข้าวก็นำส่งเจ้าที่ดิน ผู้เช่าแบ่งหางข้าวไปเป็นค่าแรง

เมื่อไอ้หนุ่มห้าว มีเรื่องกับเจ้าเมือง ก็เผ่นซีครับ
หนีไปซ่อนตัวที่ปลายนาพอให้เรื่องสงบ แล้วจึงกลับมาฉุยฉายใหม่

สำหรับความเห็นของอาจารย์นั้น มีข้อแย้งเพียงว่า ถ้าปักหลักที่ปีขุนแพ่งตาย ซึ่งหนีไม่พ้น 2370 กว่าๆ
เราต้องนับถอยหลังจากปีนี้ลงไป
และนับจากปีนี้ขึ้นมาจนถึงเมื่อกวีมาพริบพรีคราวแต่งนิราศ
ประเด็นของผมยังคงเดิม คือไม่นานเป็นสิบปี แต่เพียงสองสามปีเท่านั้น
มิเช่นนั้นเรื่องทักน้องว่า เฝ้าแต่ท้อง จะเกิดมิได้

พูดอีกอย่างก็ได้ว่า คดีความกับสาวเจ้านั้น เกิดคาบเกี่ยวกับปีขุนแพ่งตาย
และน่าจะสดๆร้อนๆ ต่อจากคราวเยี่ยมศพเสียด้วยซ้ำ (ยกเว้นคราวที่อ้างว่าบ้า นั่นคงนานแล้ว)
ถ้าเช่นนั้น พระภู่จะถอดจีวรมาเกี้ยวสาวได้อย่างไร
แกบวชปีวอก 2367 จนถึงปี 2375 เณรกลั่นยังรายงานว่าเป็นมหาเถร
ความจริงถ้ารวมนิราศวัดเจ้าฟ้า ที่ผมสอบได้ว่าแต่งราว 2382 ก็เป็นเวลายาวนานถึง 15 ปี
ที่ท่านภู่บวช

จะนับปียังไง ท่านภู่ก็ลอดผ้าเหลืองไปแร่ดที่พริบพรีมิได้ครับ

ยังยืนยันว่านิราศเมืองเพชร ไม่ใช่ของสุนทรภู่....อยู่น่านแหละ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 01:10

เรื่องใครแต่งขอพักไว้ก่อนครับ ขอรวบรวมพยานหลักฐานก่อน
เรื่องไปอยู่ทับนา มิได้เกี่ยงเรื่องจนรวยครับ ขอยกมาเต็มๆอีกครั้ง
ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง                    เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่             สถิตที่ทับนาพออาศัย
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ      จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง                 เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ                  เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน
โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก                 เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร
เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน               ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง                       ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย            แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย

กลอนตรงนี้ความแปลกชอบกล ไม่รู้ว่าผมมึนเองหรือกลอนผิดความขาดตรงไหน พยายามใช้วิชาอ่านเอาเรื่องได้ดังนี้
- กวีกับขุนรองเคยมาอาศัยสถิตที่ทับนาบ้านโพธิ์นี้ (ก่อนเกิดเรื่องผู้หญิง)
- กวีเกิดหมางใจกับขุนรองเรื่องผู้หญิง (แต่คงไม่นาน)
- ขุนรองสร้างเรือนหอที่ทับนา (อาจจะอยู่กับผู้หญิงคนนี้)
- เจ้าเมืองโกรธถึงตัดรอน อันนี้สงสัยว่าเจ้าเมืองมาพรากเอาสาวเจ้าไปหรือเปล่า แม่สาวคนนี้เป็นลูกสาวหรือเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเมืองหรือ?

ถ้าเหตุการณ์ตรงนี้เกิดก่อนปีระกาไปบางกอกเล็กน้อย ขุนรองคนนี้ตอนนั้นเป็นขุนรองหรือยัง?
หากรุ่นเดียวกับกวีที่มีลูกโตทะลึ่งจีบสาวได้น่าจะราวสี่สิบเศษ หกเจ็ดปีก่อนหน้า ๒๓๖๘ ต้องอายุสามสิบกว่า จะมานอนทับนาเล่นกับกวีหรือ? ระยะเวลาขนาดนี้ ถึงยังไม่ได้เป็นขุนรองก็น่าจะเข้ารับราชการแล้ว จะทำอะไรห่ามๆอย่างนี้ดูแปลกๆครับ

ถ้าเป็นเหตุการก่อนปีระกา ๒๓๕๖ ตอนเป็นหนุ่มห้าว ไม่ได้มีการงานอะไรเป็นเรื่องเป็นราว น่าจะสมเหตุสมผลกว่าครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Bana
องคต
*****
ตอบ: 439



ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 01:19

เป็นตุลาการแล้วจะไปรบเมืองลาวทำไม
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 01:33

พระยาจักรีเทียบสมัยนี้ก็ รมต.มหาดไทย ยังรบร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ

ไทยไม่เคยมีทหารอาชีพ เวลามีศึกก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม

จนสมัยร.๔ ถึง "เริ่ม" มีกองทหารอาชีพครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Bana
องคต
*****
ตอบ: 439



ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 01:53

เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ      จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
ไม่ต้องคิดมากครับ  อันนี้ท่านกับเพื่อนหมางใจกันเพราะนางนวลแน่นอน

ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง                    เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
อันนี้ก็เคยมาพักที่บ้านโพธิ์กับเพื่อนคนนี้  (แต่ก่อนไร)  คงจะเคยไปไปมามาแบบว่าคุ้นมานาน

นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง                 เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ  (น่าจะเป็นน้องท่านแพ่งนะครับ)
บวกกับ
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่             สถิตที่ทับนาพออาศัย
คงหมายถึงทับนาที่เคยมานอนเล่นด้วยกัน  เพื่อนก็แปลงกลายเป็นเรือนหอ (คงจะกับแม่นวลคนนี้กระมังครับ)

นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง                 เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ                  เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน
อันนี้ผมก็ลองใช้วิชาอ่านแบบไม่คิดมากนะครับ  ว่าไปตามกลอน
ท่านกวีมาถึงบ้านโพธิ์แล้วนึกถึงความหลังอันลึกซึ้งที่นี่  ที่ที่เคยไปมาหาสู่กับเพื่อนรัก  เคยมานอนด้วยกันอยู่ที่ทับนา  แต่ก็ต้องมาหมางใจกันกับเพื่อนเพราะแม่นวล  แต่เพื่อนมีบุญที่ได้แม่นวลไปครอง  (คงจะที่ทับนาแห่งความหลังนี่หละที่กลายมาเป็นเรือนหอ)  จนท่านเจ้าเมืองรู้เรื่องเพราะการได้แม่นวลเหมือนการล้วงคองูเขียว  เลยพรากแม่นวลจากเพื่อนไป  เมื่อท่านกวีที่จากไปบางกอกกลับมาอีกที  เห็นถิ่นฐานที่คุ้นเคย  เลยนึกอาลัยถึงครับ  อิอิ  เป็นเรื่องเป็นราวดีไม๊ครับ  คุณ CH... ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 03:16

ถึงบ้านโพธิ์ เคยมาพึ่งพักร้อนกับขุนรอง ที่ทับนาพออาศัย
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
นึกชมบุญขุนรอง เธอแปลงทับเป็นหอจนเจ้าเมืองเคืองเพราะล้วงคอ ถึงตัดรอน
สงสารท่านรองเคยครองรัก บ้านโพธิ์ เคยร่วมใจ ร่วมนวมที่นอน ร่วมร้อนร่วมสุข
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง                       ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย            แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย

แปลกใจครับ ผมอ่านได้ว่า ความตรงนี้ ประธานคือขุนรอง กวีเป็นเพียงผู้ร่วมในเหตุการณ์
1 ขุนรองหนีมาที่บ้านโพธิ์เพราะเรื่องผู้หญิง
2 น่าจะขัดแย้งกับเจ้าเมือง คำว่าล้วงคอ เป็นสำนวนที่หมายถึงเอาของหวงของอีกฝ่ายออกมาครอง
3 เรื่องจึงสรุปได้ว่า ขุนรองพานางนวลมาแปลงทับ(คือกระท่อมปลายนา) ให้กลายเป็น(เรือน)หอ
4 ผู้หญิงต้องมีศักดิฐานะสูงอยู่ กวีจึงชมบุญขุนรอง

ไม่ทราบว่า สองสหายจะมาแย่งผู้หญิงกันได้อย่างไร
เนื้อความล้วนแต่ชมเชยและเข้าข้างขุนรอง ผิดวิสัยศึกชิงนาง
แถมปิดท้ายว่า ใจหายเพราะต้องลาจากไปบางกอกอีก
ตีความว่าใจหาย เพราะจากเพื่อน มิใช่เพราะจากนาง

อย่างไรก็ดี เนื้อหาตอนนี้ไม่ส่องให้เห็นชีวิตกวีว่าจะเป็นผู้ใดไปได้
อ้างเพียงว่าตนสนิทกับขุนรองอย่างยิ่งมาก่อนเท่านั้น จึงไม่น่าสนใจนาน

ผมสนใจปีระกานิราร้างมากกว่า
ท่านอ่านแล้วคิดว่า กลอนเล่าย้อนหลังนานสักแค่ใหนครับ
15 ปี หรือ 5 ปี
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 11:14

ความตรงนี้ ขุนรองจะหมางกับเจ้าเมือง หรือ หมางกับกวีก่อนแล้วค่อยไปหมางกับเจ้าเมืองก็ไม่เกี่ยวกับเงื่อนเวลาครับ คุยกันพอสนุกๆ แต่สาระอยู่ที่
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่             สถิตที่ทับนาพออาศัย
เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นเรื่องต่อเนื่องขุนนางมีปัญหากับเจ้าเมืองเรื่องผู้หญิงถึงตัดรอน จนถึงกวีไปบางกอกปีระกา

ตัดรอนอะไร?
- ตัดรอนตัวขุนรองเอง? ถ้าขุนรองรับราชการเป็นเรื่องเป็นราวเจ้าเมืองคงตัดขุนรองไม่ได้ งานราชการยังต้องทำอยู่
- ตัดรอนเอาผู้หญิงไป จนกวีต้องสงสารขุนรอง ผมก็ว่าระดับขุน ไม่ใหญ่ แต่ไม่กระจอก ท่านเจ้าเมืองจะทำกันอย่างนี้ง่ายๆเชียวหรือ

ผมถึงคิดว่าตอนนั้นขุนรองยังเป็นโนบอดี้
เมื่อเป็นโนบอดี้ มันควรจะเป็นปี ๒๓๖๘ หรือ ๒๓๕๖ ล่ะครับ?
ถ้านิราศเมืองเพชรเขียน ๒๓๗๔ ย้อนไป ๒๓๖๘ ก็แค่ ๖ ปี
ราวปี ๗๑-๗๒ ขุนแพ่งตาย ขุนรองขึ้นมาเป็นขุนแพ่งแทน
ย้อนไปแค่อีก ๓-๔ ปี ขุนรองจะเป็นใครก็ไม่รู้ที่โดนเจ้าเมือง "ตัดรอน" เอาง่ายๆอย่างนั้นเลยหรือครับ?

ชอบกลครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 18:35

ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง                    เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่             สถิตที่ทับนาพออาศัย
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ      จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ
นึกชมบุญขุนรองน้องท่านแพ่ง                 เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ                  เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน
โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก                 เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร
เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน               ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง                         ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย            แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย

เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ  เคยอธิบายไว้ในอีกเว็บหนึ่งแล้ว

ตอนยังหนุ่มๆ  ท่านขุนนางกวีนิรนามคนนี้เคยไปอาศัยพักพิงกับขุนรอง น้องชายขุนแพ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนที่รักใคร่นับถือกัน   ก็ไปพักอยู่ที่กระท่อมปลายนาของขุนรองนี่แหละ
ไฮโซสมัยนั้นเขามีบ้านอยู่กลางเมือง และมีกระท่อมที่พักเล็กๆอยู่ปลายนา  (อย่างที่คุณพิพัฒน์อธิบาย) ทำนองคล้ายๆเศรษฐีกรุงเทพ มีคอนโดเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แถวชะอำ เพชรบูรณ์ เชียงราย อะไรพวกนี้
พักอยู่ได้ไม่นาน ตัวเองก็กลายเป็นก้างขวางคอ  เมื่อขุนรองพาสาวคนหนึ่งชื่อนางนวล หนีพ่อแม่มาอยู่ที่กระท่อมปลายนา   แล้วตกแต่งปรับปรุงกระท่อม ทำเป็นเรือนหอ ร่วมหอลงโรงกันที่นั่นกับหล่อน
เพื่อนหนุ่มที่อยู่มาก่อนก็เลยกระเด็นออกไป    จะอยู่กันยังไงสามคนล่ะคะ  ผัวเมียเขาข้าวใหม่ปลามัน  ตัวเองก็กลายเป็นก้างขวางคอไปน่ะซิ   
จะมานอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน (เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน               ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย) เหมือนเมื่อยังโสดกันอยู่ก็ไม่ได้
แน่ละว่า ขุนรองก็เลือกเมีย ไม่เลือกเพื่อน   เพื่อนก็น้อยใจตัดพ้ออยู่ในกลอน แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเคืองกัน  เพราะไม่ได้แย่งผู้หญิงกันนี่คะ   
 ยังคงนึกถึงความหลังครั้งเป็นเพื่อนรัก  กลมเกลียวกันดี  อยู่เสมอ

แม่นวลไม่ใช่ลูกสาวชาวบ้านธรรมดา  แต่เป็นสาวในปกครองของท่านเจ้าเมืองเฒ่า
จะเป็นว่าที่อนุภรรยาที่ท่านเจ้าเมืองหมายตาอยู่  หรือเป็นลูกหลานสาวๆของท่านก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า
รู้แต่ว่าขุนรองล้วงคองูเห่า   พาแม่นวลหนีมา ทำให้เจ้าเมืองยัวะเอามากๆ  ถึงขั้นตัดรอนทั้งคู่    ประกาศก้องไม่รับขอขมา  ไม่คบค้า  ไม่ให้อภัย ตัดขาดไปเลย
แต่ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามกว่านั้น   เพราะตระกูลขุนรองคงไม่ใช่ย่อยอยู่ในเมืองเพชร   พ่อต้องเป็นขุนนาง  ลูกชายสองคนถึงได้เป็นขุนนางทั้งคู่
เจ้าเมืองถึงระดับบิ๊ก ก็ไม่กล้าฆ่าฟันขุนนางด้วยกันเอาง่ายๆ   โดนถวายฎีกาจะลำบาก   

เกิดเรื่องตอนนี้ อาจจะปีระกา หรือปีวอกก่อนหน้าเล็กน้อย   พอเดือนสี่ขุนนางกวีก็มาเมืองหลวง

เรื่องนี้น่าจะเกิดตั้งแต่วัยหนุ่ม     ยังไม่มีลูกเมีย   เพราะบอกว่ามาอาศัยเพื่อน กินอยู่ นอนร่วมเตียงกันอยู่ที่กระท่อมปลายนา    ถ้ามีลูกเมียแล้วก็ควรมีบ้านของตัวเองเป็นหลักแหล่ง

อยากจะคิดว่าหลายปี   ๑๕ ปีก็สมเหตุสมผลดี   เพราะว่าจากครั้งหนุ่มมาจนถึงวัยกลางคนลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว   ควรจะยาวนานกว่าสี่ห้าปี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 18:58

เรื่องนี้  ดิฉันลองใช้กล้องส่องมองที่มุมใหม่   แบบที่คุณพิพัฒน์เสนอความเห็นว่าเป็นกวีอื่น ไม่ใช่สุนทรภู่
กวีอื่นก็กวีอื่นค่ะ
กวีนิราศเมืองเพชร เป็นศิษย์สุนทรภู่  สำนวนกลอนคล้ายกัน ยึดแบบแผนการแต่งเหมือนกัน     แต่คุณพิพัฒน์บอกว่าจืดชืด
ข้อนี้ค้าน  แต่เอาไว้ก่อน  มาพิจารณาความเป็นไปได้ดีกว่า
ว่ากวีคนที่ไม่ใช่สุนทรภู่   แกอุตส่าห์มีลูกชายชื่อพัดเหมือนกันละหรือ   ซ้ำยังเรียกหนูพัดเหมือนกันด้วย
ไม่น่าเป็นไปได้  บังเอิญอะไรขนาดนั้น

ถ้าเป็นนายพัดบุตรสุนทรภู่   มากับกวีที่ไม่ใช่พ่อ   กวีจะไปและเล็มอยากเกี้ยวแม่ค้ามาให้นายพัดทำไม   จะว่ายกให้หนูนิล  คุณพิพัฒน์ก็บอกว่ายังเด็ก  นับคุ้งคลองเล่นอยู่
ก็เหลือนายพัดที่โตเป็นหนุ่มแล้ว   กวียังเรียกเต็มปากว่าบุตรชาย    ไปจัดธูปเทียนเพื่อเวียนเทียนกัน
ก็ต้องเป็นพ่อลูกกัน   ข้อนี้คุณพิพัฒน์ยังแก้ไม่ตก

ส่วนสำนวนที่ว่าจืดชืดนั้น  ไม่จืดนะคะ  บรรยายพื้นน้ำเค็มชายฝั่งยามกลางคืน ลื่นไหลแบบคนเจนบทกลอน  ไม่มีคำไหนใส่เข้ามาเกิน หรือขาด หรือผิดความหมาย
ถ้าเทียบกับนิราศเดือนและนิราศพระแท่นดงรังของนายมี    นายมีบรรยายเรียบร้อยจืดชืดกว่าแยะ

สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยม          ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา        แสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม      แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย
เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย              ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก                 หวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย               ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น
จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง                 เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น
ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น           ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม

ถ้ายังไม่เห็นด้วย  เอาบทนี้ไปอีกบทก็ได้ค่ะ  คารมกวีบทนี้ ห่างไกลจากคำว่าจืด

ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่น                   จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน

ถ้าอยากอ่านจืดๆ แต่งให้ดูก็ได้  จืดของแท้ต้องแบบนี้

คิดถึงลูกจันน้องของพี่ยา                     ยามนิทราหนุนแขนแทนหมอนรอง

บอกกันตรงๆแบบนายมีชอบบรรยาย  ไม่มีคารมโวหาร


บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 19:59

ขอแย้งเรื่องสำนวนกลอนก่อนครับ

ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน ขอประทานโทษาอย่าราคี
ด้วยขอบคุณทูลกระหม่อมถนอมรัก เหมือนผัดพักตร์ผิวหน้าเป็นราศี
เสด็จมาปราศรัยถึงในกุฎี ดังวารีรดซาบอาบละออง
ทั้งการุณสุนทราคารวะ ถวายพระวรองค์จำนงสนอง
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา
-----------------------------
ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าว
อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยม
ยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด
ไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวน
มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน
-------------------------
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
รับกฐินภิญโญโมทนา ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาครฯ

----------------------
ผมอ่านกลอนเหมือนฟังเพลง
สามท่อนข้างบนนั้น สาระเทียบเท่าซิมโฟนี่มโหฬาร คำน้อย แน่น ลึก โอ่อ่า และสะเทือนอารมณ์
ไม่ได้รับความรู้สึกอย่างนี้เลย ในนิราศเมืองเพชร เห็นแต่ผ้าลูกไม้โอ่อวด ปะติดปะต่อกันพอให้ใช้ห่มได้
ห่มแล้วก็ไม่อุ่น ไม่มีคำที่ทำให้อารมณ์ดิ่งวูบ ไม่มีความที่ทำให้อึ้ง
หากเป็นจดหมายรักก็ระดับจีบแม่ค้า ไม่อาจจีบเจ้าหญิงได้

นี่ก็บ่นบ้าตามประสาคนไม่รู้ภาษาไทย

กลับมาที่ตัวนิราศ
ถ้าไม่มีคนมาชี้ว่านี่คืองานของท่านสุนทร เราจะหาตรงใหนที่บ่งบอกได้ว่า
เป็นสุดยอดกลอนนิราศจากสุดยอดฝีมือ
กลอนที่บอกว่าเป็นของสุนทรภู่ ต้องลบออกจากบัญชีไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว
ไม่เคยลบออกเพราะพิสูจน์ทราบสำนวนกลอนเลย ลบออกเพราะไปเจอหลักฐานภายนอกทั้งนั้น
ผมจึงไม่ใคร่ศรัทธาเรื่อง อ่านปุ๊บรู้ปั๊บว่าดีอย่างนี้ ต้องเป็นของท่านก. ท่านข.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 14 ก.ค. 07, 20:37

ถ้าคุณพิพัฒน์อ่านกลอนเหมือนฟังซิมโฟนี ดิฉันก็จนปัญญาไม่รู้จะเถียงยังไง เพราะไม่รู้จักซิมโฟนี
ส่วนตัว   อ่านกลอนจากอ่านภาษา
ภาษาแตกต่างกันไปสำหรับคนหัดแต่งมือใหม่  คนมือเก่า คนมือเก่าด้วยจัดเจนด้วย 
ใครมีคารมมากน้อย  ใครประลองฝีมือตัวเองกับกลอนที่แต่ง ว่าจะหาคำได้เก่งขนาดไหน ทั้งหมดอยู่ในภาษา
ก็เลยเห็นว่านิราศเมืองเพชร แต่งโดยฝีมือชั้นครูกลอน   ตามวิสัยครู เมื่อแต่งให้คนทั้งหลายอ่าน ย่อมจะรวมลูกศิษย์ลูกหาด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงฝีมือจากสัมผัสระหว่างบท
ส่วนอารมณ์  เมื่อล่วงเข้าวัยกลางคนจนลูกโตเป็นหนุ่ม    หนักไปในทางเศร้า มากกว่าหวือหวา  แต่คารมก็ยังจัดเจน

นิราศที่รู้ว่ายืนยันจากหลักฐานภายนอก เท่าที่นึกออกตอนนี้คือนิราศพระแท่นดงรัง ตอนแรกนึกว่าฉบับนายมีเป็นของสุนทรภู่ จนกระทั่งมาค้นพบนิราศพระแท่นดงรังอีกฉบับหนึ่ง  ก็เลยตัดสินได้ว่าของใครเป็นของใคร
อีกเรื่องก็คือกลอนอะไรที่อ.ล้อมบอกว่าค้นพบใหม่ว่าเป็นของสุนทรภู่    ดิฉันอ่านจากสำนวนกลอนแล้ว เป็นได้แค่ศิษย์เท่านั้น

แต่ขอถามหน่อยนะคะ   ตอนที่สมเด็จกรมดำรงฯ ทรงรวบรวมงานของสุนทรภู่    ในหอพระสมุดน่ะ มีนิราศเท่านี้เองหรือว่ามีมากกว่านี้อีกแยะ  เอามาสกรีนหางานของสุนทรภู่จนได้มาเท่าที่เห็น 
ถ้ามีนิราศเยอะแยะ ท่านทรงคัดเลือกจากหลักฐานในนิราศ หรือว่าดูสำนวนกลอนด้วย
คุณธนิต ล่ะคะ ทำแบบไหน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.085 วินาที กับ 19 คำสั่ง