ดูจากคำวิเคราะห์ของอาจารย์เทาชมพูก็ยังไม่ชัดเจนครับ นิราศเมืองเพชรที่เชื่อกันว่าเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายที่ท่านแต่ง มีคำกล่าวอ้างถึงเจ้านายอย่างชัดเจนเพียงบทเดียวเท่านั้น
โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ อธิษฐานถึงคุณกรุณา
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อยฯ
อาสาเสด็จ ในที่นี่จะคิดไปได้ไหมครับว่า เป็นคำเรียกสั้นๆที่นิยมเรียกเจ้านายชั้นสูง เช่น "เสด็จในกรมฯ" อย่างเรื่องสี่แผ่นดิน ที่ชุบเลี้ยงแม่พลอยก็เห็นเรียกกันว่า"เสด็จ"
ที่ท่านอาจารย์ว่าประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๓ พร้อมลูกชายวัยหนุ่ม (คงหมายถึงหนูพัด+หนูนิล) เดินทางจากกรุงเทพไปธุระที่เพชรบุรี นั้น ผมเกรงว่าไม่น่าจะใช่ครับเพราะปี ๒๓๗๓ น่าจะเป็นปีที่ท่านบวชแล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง เป็นพระที่อยู่ใความอุปัฏฐากจากเจ้าฟ้าปิ๋วและเจ้าฟ้ากลาง และได้ลาสิกขาบทหลังจากจำพรรษาที่วัดเทพธิดาราม ๓ ปี ในปี พ.ศ.๒๓๘๕ ต่อจากนั้นท่านจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ ที่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ซึ่งตอนนี้ท่านน่าจะอายุ ๕๕-๕๖ ปี แล้ว ในช่วงนี้น่าเป็นช่วงที่ท่านแต่งนิราศพระประธม นิราศเมืองเพชร แม้แต่เรื่องพระอภัยมณี ที่แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ คือแต่งต่อจากของเดิม
ที่ท่านจะเรียกว่า "เสด็จ" เป็นไปได้ไหมที่จะหมายถึงพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา
ผู้ที่ชุบเลี้ยงท่านหลังจากลาสิกขาบทก็เห็นจะมี แต่พระเจ้าน้องยาเธอฯ พระองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นเจ้านายฝ่ายชายที่เปรียบดังพ่อ อันนี้ผมอาจจะวิเคราะห์ผิดก็ได้ พอดีไปเที่ยววัดเทพธิดารามมา เห็นข้อความของอาจารย์เทาชมพู เลยขออนุญาตร่วมคิดด้วยครับ
นิราศเมืองเพชรผมชอบตอนนี้ที่สุด พอไปเที่ยวเขาหลวงทีไรนึกถึงบทนี้ทุกที
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ รุกขชาติช่อดอกออกไสว
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง
เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจงฯ .........
