เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 11951 ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์
Malagao
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 09:51

 ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าไว้เรื่องหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) วัดบวรนิเวศฯ นอกจากเป็นพระอุปัชฌาย์ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้อาจารย์คุณชายคึกฤทธิ์ ท่านสนิทสนมคุ้นเคยกัน เฉกเช่นบุคคลที่ควรเคารพของอาจารย์คุณชาย อันเป็นมงคล 1 ใน 38 ประการ
บันทึกการเข้า
Malagao
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 09:53

 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระราชธิดาองค์ที่สองใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
                         -สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) พระราชอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ถวายพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร เทพรัตนสุดา กิติวัฒนากุลโสภาค”
บันทึกการเข้า
Malagao
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 09:55

 วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ย่านบางลำภู เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหารถึงจะเป็นวัดที่ไม่ใหญ่โตนักก็ตามวัดนี้สร้างมาช้านานแล้ว แต่ก่อนยังเป็นวัดเล็กๆ ต่อมาตอนหลังในรวมเอาวัดรังษีมารวมเข้าด้วยกันเลยทำให้วัดนี้ใหญ่โตขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดนี้ มีดังนี้

พระวชิรญาโณภิกขุ( พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวิริยาลงกรณ์( กรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธ์)

สมด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส(พระองค์เจ้ามนุสสนาคมานพ พระโอรสในรัชกาลที่4)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิญาณวงศ์(ม.ร.ว. ชื่น สุจิตโต นพวงศ์ป.ธ.7)

พระพรมมุนี(ผิน สุวโจ ธรรมประธีป ป.ธ.6)

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฒโน คชวัตร ป.ธ. 9 เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน)
เจ้าอาวาสวัดบวรฯนั้นส่วนมากจะเป็นพระเชื้อพระวงศ์ ในที่นี่จะขอเขียนถึงเจ้าอาวาสองค์ที่4 คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิญาณวงศ์ ทรงมีนามเดิมว่าหม่อมราชวงชื่น นพวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสของหม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ และหม่อมเอม นพวงศ์ ณ อยุธยาประสูติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ 2415 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก

เมื่อทรงพระเยาว์ ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฏราชกุมาร และได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2428 โดยมีพระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตโต) วัดบวรฯเป็นพระอุปัชฆาย์และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2435 ทรงเจริญพระชนมายุครบอุปสมบท จึงทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2435 โดยมีพระพรหมมุนี (แฟง กิตติสาโร) วัดมกุฏกษัตริย์ยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวดรรส ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ทรงได้รับพระนามฉายาว่า สุจิตโต ท่านสอบได้นักธรรมเอกครั้งที่ยังเป็นสามเณรและสอบได้เปรียญธรรมถึง 5 ประโยค หลังจากที่บวชเป็นพระสงฆ์แล้วทรงสอบได้เปรียญธรรมถึง 7 ประโยค ซึ่งถือว่าสูงแล้วในสมัยนั้นต้องเป็นผู้มีความรอบรู้และความสามารถอย่างมาก พ.ศ 2439 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญที่พระคุณคณาภรณ์ พ.ศ. 2446 ได้รับพระราชทานสมศักดิ์พระราชาคณะ ชั้นเทพพิเศษเสมอชั้นธรรมที่พระญาณวราภรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2455

ต่อมาเมื่อในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2471 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทาน สถาปนาพระญาณวราภรณ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์และดำรงตำแหน่งใหญ่ฝ่ายธรรมยุต

จนถึงปี พ.ศ.2487 สิ้นพระชนม์คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล ได้ประกาศสถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปี พ.ศ.2488 และเมื่อปี พ.ศ.2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาโดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ และถวายพระนามว่า ภูมิพโล และเสด็จประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 รวม 15 วัน

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาพระอิสริยยศพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงประกอบพระกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เป็นอเนกอนันต์ที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาเป็นที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นอย่างยิ่ง จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2501 เวลา 01.08 นาฬิกา ณ สามัคคีพยาบาล โรงพยาบาลจุฬลงการณ์สภากาชาติไทย สิริพระชนมายุได้ 85 พระชันษา 110เดือนกับอีก 19 วัน ยังความอาลัยแกประชาชนชาวไทยและพระสงฆ์สามเณรทั่วประเทศ

 
การสร้างพระเครื่อง ในวโรกาสที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ 2495 ได้มีการจัดกิจกรรมถวายพระเกียรติทั้งพระราชพิธีและรัฐพิธี เช่นพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุถวาย การขัดกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาลเช่นการออกร้านค้า แสดงกิจกรรมเผยแพร่ผลงานของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การเปิดปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานต่างๆ ที่สำคัญของวัดบวรฯ เช่นพระอุโบสถ พระวิหารพระศาสดา พระเจดีย์ พระไพรีพินาศ ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสักการะบูชาเป็นกำหนดเวลาถึง 3 วัน

ครั้นเมื่องานฉลองพระชนมายุครบ80 พรรษาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ได้มีการประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัย(พุทธลักษณะเหมือนพระพุทธชินสีห์) เพื่อเป็นที่ระลึกแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า มีขนาดหน้าตัก 100 ซม. พระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามว่า พระพุทธทีฆายุมหมงคล หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหลวงพ่อดำที่ประดิษฐานอยู่ในซุ้มวิหารพระศาสดา ว่ากันว่าหลวงพ่อดำนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงพ่อพระไพรีพินาศและพระศาสดา
บันทึกการเข้า
Malagao
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 09:57


คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน


พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น นภวงศ์)

วัดบวรนิเวศวิหาร

พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


คัดลอกจาก http://mahamakuta.inet.co.th/buddhism/somdet/somdet13.htm



ภูมิลำเนาเดิม
เป็นพระโอรสในหม่อมเจ้าถนอม และหม่อมเอม

วันประสูติ
๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ วันศุกร์ แรม ๗ ค่ำเดือน ๑๒


ปีวอก จ.ศ. ๑๒๘๔ ในรัชกาลที่ ๕

วันสถาปนา
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชกาลที่ ๘

วันสิ้นพระชนม์
๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระชนมายุ
๘๕ พรรษา   ๑๑ เดือน


ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี ๑๐ เดือน




พระประวัติเบื้องต้น

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระนามเดิมหม่อมราชวงศ์ชื่นทรงเป็นโอรสหม่อมเจ้าถนอม และหม่อมเอม ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา จึงทรงเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฏพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทรงเนื่องในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เพราะกรมหมื่นมเหศวรวิลาสและพระอนุชา คือ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร (พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ วรฤทธิราชมหามกุฏ บุรุษยรัตนราชวโรรส) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นธิดาของพระอินทรอไภย (เจ้าฟ้าทัศไภย) โอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ราชพัสดุของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีบางอย่างที่ทรงได้รับสืบต่อมา เช่น พระแท่นหินอ่อนยังอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร) ส่วนหม่อมเอมเป็นธิดาพระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ (จุ้ย) ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (พญาเจ่ง) ต้นสกุลคชเสนี

เมื่อมีพระชนมายุพอจะเป็นมหาดเล็กได้ ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ฯ สยามมกุฏราชกุมารในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็น “คะเด็ด” ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ มีหน้าที่ตามเสด็จรักษาพระองค์ทำนององครักษ์ เวลาอยู่ประจำการตามหน้าที่ ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน ได้พำนักอยู่ ณ ตำหนัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ (ชั้น ๔) พระองค์เจ้าศรีนาคสวาดิ ซึ่งทรงเป็นผู้อุปการะและอบรมสั่งสอน

ทรงบรรพชา

เมื่อมีพระชนมายุเจริญขึ้นแล้ว ได้ทรงออกจากวังและได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระพรหมมุนี (สุมิตฺตตฺเถร เหมือน) วัดบรมนิวาส เป็นพระอุปัชฌายะในขณะที่ทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ปรากฏในหนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร

ว่า ในระยะหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ไม่ค่อยได้ทรงเป็นพระอุปัชฌายะ แม้ในวันนี้ก็ไม่ทรงรับเป็น พระอุปัชฌายะ แต่โปรดให้บวชอยู่ในวัดได้ต้องถือพระอุปัชฌายะอื่น ในระหว่างที่ทรงเป็นสามเณร ได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไปประทับอยู่ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งในขณะนั้น ม.ร.ว.ชุบ (พระยานครภักดีฯ) ผู้เป็นพี่ได้อุปสมบทอยู่ที่วัดมกุฏฯ และต่อมาได้ตามเสด็จ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร ในปลายสมัย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อทรงบรรพชาแล้ว ได้ทรงศึกษาพระปริยัติธรรม กับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และทรงศึกษาจากพระอาจารย์อื่นบ้าง เช่น หม่อมเจ้าพระปภากร, พระสุทธสีลสังวร (สาย) ได้ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ สอบไล่ได้เปรียญ ๕ ประโยค เมื่อยังทรงเป็นสามเณร

ทรงอุปสมบท

ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระพรหมมุนี (กิตฺติสารตฺเถรแฟง) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระอุปัชฌายะ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อทรงดำรงพระยศเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทั้งการบรรพชาในครั้งก่อนและการอุปสมบทในครั้งนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานพระราชูปถัมภ์และได้พระราชทานพระราชูปถัมภ์ตลอดมา

ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๖ เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมชั้นสูง และเป็นที่ประชุมแปลสอบไล่ เรียกว่าเป็นส่วนวิทยาลัยแผนกหนึ่งจัดโรงเรียนขึ้นตามพระอารามเป็นสาขาของวิทยาลัยอีกแผนกหนึ่ง ฉะนั้น การสอบไล่พระปริยัติธรรมจึงสอบได้ ๒ แห่ง คือ สนามหลวงแห่ง ๑ สนามมหามกุฏราชวิทยาลัยแห่ง ๑ (ต่อมา ทรงเลิกสนามมหามกุฏ ฯ) เปรียญผู้สอบได้ ทรงตั้งให้เป็นเปรียญหลวงเหมือนกัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (เวลานั้นทรงเป็น ม.ร.ว.พระชื่น เปรียญ) ได้ทรงเป็นครูรุ่นแรกของโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นสาขาที่ ๑ ของวิทยาลัย ที่เปิดพร้อมกันทุกโรงเรียน และพร้อมกับเปิดมหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ นั้น.

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้เคยรับสั่งเล่าว่า มีพระประสงค์จะสอบไล่เพียง ๕ ประโยคเท่านั้น จะไม่ทรงสอบต่อ ทรงตามอย่างสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ซึ่งทรงสอบเพียงเท่านั้น เพื่อมิให้เกินสมเด็จพระบรมชนกนาถ แต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯโปรดให้สอบต่อไป และทรงคัดเลือกส่งเข้าสอบสนามหลวง หลังจากที่ทรงอุปสมบทแล้ว จึงทรงสอบต่อได้เป็นเปรียญ ๗ ประโยค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เมื่อทรงอุปสมบทได้ ๓ พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระสุคุณคณาภรณ์

ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงเริ่มจัดการพระศาสนา ทั้งการศึกษา ทั้งการปกครอง ทั้งการอื่น ๆ ดังที่ปรากฏผลอยู่ในปัจจุบันนี้ ในเบื้องต้น เมื่อยังไม่ทรงมีอำนาจที่จะจัดในส่วนรวม ก็ได้ทรงจัดในส่วนเฉพาะคือ ได้ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น อันนับเป็นส่วนเฉพาะคณะธรรมยุต

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงมีส่วนร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ มาตั้งแต่ต้นในการงานหลายอย่าง กล่าวคือ

พระภารกิจในการคณะสงฆ์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์บำรุงการศึกษามณฑลหัวเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ทรงเป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษา โปรดให้บังคับพระอารามในหัวเมือง ซึ่งเป็นส่วนการพระศาสนา และการศึกษาได้ ทั้งในมณฑลกรุงเทพฯ ทั้งในมณฑลหัวเมือง ตลอดพระราชอาณาจักร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็นเจ้าหน้าที่จัดการอนุกูลในกิจที่ฝ่ายฆราวาสจะพึงทำ มีจัดการพิมพ์แบบเรียนต่าง ๆ ที่จะพระราชทานแก่พระภิกษุสงฆ์ไปฝึกสอน เป็นต้น ตลอดจนการที่จะเบิกพระราชทรัพย์จากพระคลังไปจ่าย ในการที่จะจัดตามพระราชประสงค์นี้ และโปรดเกล้า ฯ ให้ยกโรงเรียนพุทธศาสนิกชน ในหัวเมืองทั้งปวง มารวมขึ้นอยู่ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ เพื่อจะได้เป็นหมวดเดียวกัน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ทรงเลือกสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระสุคุณคณาภรณ์ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลจันทบุรีในศกนั้น

พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕)

อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดการพระศาสนา และการศึกษาในหัวเมือง

พระภารกิจทางการศึกษา

ส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาทั้งแผนกธรรมและบาลี ในสมัยพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงเลือกพระเถระ ให้เป็นแม่กองสอบไล่ธรรม และบาลีตามวาระ ทั้งในมณฑลกรุงเทพฯ และมณฑลหัวเมือง ก็ได้ทรงรับเลือกให้เป็นแม่กองสอบไล่พระปริยัติธรรมหลายคราว เช่น ทรงเป็นแม่กองสอบไล่มณฑลปัตตานี ได้ทรงเป็นแม่กองสอบไล่มณฑลอยุธยา ทั้งระหว่างที่ทรงเป็นเจ้าคณะมณฑลนั้น และทรงได้รับเลือกเป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ แม่กองบาลีสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗

พระภารกิจในคณะธรรมยุต

เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงมีพระชราพาธเบียดเบียน ไม่เป็นการสะดวกที่จะทรงปฏิบัติพระภารกิจในฐานะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้ทรงมอบหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ให้ทรงบัญชาการแทน ด้วยลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๗๗ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้น สิ้นพระชนม์ ใน พ.ศ. ๒๔๘๐ จึงได้ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติกา ตามแบบปกครองในคณะธรรมยุตสืบมา

เมื่อทรงรับหน้าที่ปกครองคณะธรรมยุตแล้ว ได้ทรงจัดการปกครองคณะธรรมยุต ที่สำคัญหลายประการ

สมเด็จพระมหาสังฆปริณายก

พ.ศ. ๒๔๘๗ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศน์ สิ้นพระชนม์ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามเดิม

ถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเฉลิมพระนามให้เต็มพระเกียรติยศ ตามราชประเพณี เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๙๓

ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์

การปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งดำเนินมาเป็นลำดับเกิดความ ขัดข้องในการปกครองหลายประการ เป็นเหตุให้การคณะสงฆ์ดำเนินไปไม่เรียบร้อย เพื่อแก้ไขข้อข้องต่าง ๆ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ในฐานะองค์สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระบัญชา เรียกประชุมพระเถระทั้ง ๒ ฝ่าย มาพิจารณาตกลงกันที่พระตำหนักเพ็ชร เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ พระเถระทั้ง ๒ ฝ่าย ได้ตกลงกัน

ทรงกรม

พ.ศ. ๒๔๙๙ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาพระสมณศักดิ์และฐานนันดรศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระภารกิจด้านมหามกุฏราชวิทยาลัย

ในทางมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็ได้ทรงมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรม ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง กล่าวคือ ได้ทรงเป็นกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานอาราธนาบัตรทรงตั้งมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๘ ขณะทรงเป็นหม่อมราชวงศ์พระชื่น เปรียญ พรรษา ๒

ต่อมาได้ทรงเป็นอุปนายกกรรมการ ในสมัยที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นนายกกรรมการ

พ.ศ. ๒๔๗๖ ทรงได้รับมอบหน้าที่การงานในตำแหน่งนายกกรรมการ จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๗๖) เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงได้รับเลือกเป็นนายกกรรมการ ตลอดมา

ในสมัยที่ทรงเป็นนายกกรรมการ ได้ทรงฟื้นฟู และปรับปรุงกิจการของมหามกุฏ ฯ หลายอย่างเป็นต้นว่า

ในด้านการบริหาร ได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายบรรพชิตเป็นผู้ปฏิบัติงานอำนวยการต่าง ๆ เกี่ยวแก่ธุรการทั่วไปบ้าง เผยแผ่ปริยัติธรรมบ้าง ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ปรับปรุงเจ้าหน้าที่ฝ่ายคฤหัสถ์ วางระเบียบต่าง ๆ ให้เหมาะสมและตราสารมูลนิธิ ซึ่งได้จดทะเบียนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๗๖ ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วัดราชบพิธ) ทรงเป็นนายกกรรมการ ได้จดทะเบียนแก้ไขอีกหลายคราว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้บัญญัติประมวลระเบียบบริหารมูลนิธิ ตามความในตราสาร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงแสดงพระประสงค์ให้คฤหัสถ์เป็นผู้จัดการในเรื่องทรัพย์สินของมูลนิธิให้พระเป็นแต่ผู้ควบคุมเท่านั้น ตามควรแก่กรณี

ในด้านการบำรุงและอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ได้วางระเบียบบำรุงการศึกษา อบรม แก่สำนักเรียนต่าง ๆ รับอบรมนักเรียน ครู นักเรียนปกครอง ที่ส่งเข้ามาจากจังหวัดนั้น ๆ ส่งครูออกไปสอนในสำนักเรียนที่ขาดครูบ้าง บำรุงสำนักเรียนต่าง ๆ ด้วยทุนและหนังสือตามสมควร กำหนดให้มีรางวัลเป็นการส่งเสริมสำนักเรียนที่จัดการศึกษาได้ผลดี

จัดตั้งหอสมุดมหามกุฏ ฯ (ตามคำสั่ง วันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘) ตั้งสภาการศึกษามหามกุฏ ฯ เป็นรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา (ตามคำสั่ง วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘) เปิดเรียนเป็นปฐม เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙

ในด้านการเผยแพร่ ฟื้นฟูการออกหนังสือนิตยสารธรรมจักษุรายเดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๖ จัดตั้งโรงพิมพ์มหามกุฏ ฯ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๗๘ จัดพิมพ์คัมภีร์พระธรรมเทศนาใช้กระดาษแทนใบลานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ บัดนี้เรียกว่า “มหามกุฏเทศนา” จัดส่งพระไปทำการเผยแผ่ในส่วนภูมิภาคตามโอกาส

ในด้านต่างประเทศ ได้จัดส่งพระไปจำพรรษาที่ปีนัง ในความอุปถัมภ์ของ ญาโณทัย พุทธศาสนิกสมาคม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๒ ได้ส่งพระไปร่วมสมโภชฉลองพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุของพระสารีบุตรเถระ และพระโมคัลลานเถระ ตามคำเชิญของเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้ให้อุปการะส่วนหนึ่งแก่พระที่เดินทรงไปสังเกตการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศอินเดีย และลังกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘

พระกรณียพิเศษ

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้เสด็จไปบูชาปูชนียสถาน และดูการพระศาสนาที่ลังกา อินเดีย และพม่า ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ กลับถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๗๘

ผลงานพระนิพนธ์

พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้ชำระพระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ แล้วโปรดให้จัดพิมพ์ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาทรงพระราชอุทิศพระกุศลถวาย สนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงชำระ ๒ เล่ม

ทรงชำระอรรถกถาชาดก ที่สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้ชำระพิมพ์ ในโอกาสที่มีพระชนมายุ ๖๐ พรรษาบริบูรณ์ รวม ๑๐ ภาค

ส่วนหนังสือทรงรจนา หรือที่บันทึกจากพระดำรัสด้วยมุขปาฐะ เป็นต้นว่า

ศาสนาโดยประสงค์ (พิมพ์หลายครั้ง)

พระโอวาทธรรมบรรยาย ๒ เล่ม (พิมพ์หลายครั้ง)

ตายเกิดตายสูญ (พิมพ์หลายครั้ง)

ทศพิธราชธรรม พร้อมทั้งเทวตาทิสนอนุโมทนากถา และ สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และขัตติยพละ ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์ในงานฉลองพระสุพรรณบัฏ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. ๒๔๙๓

พุทธศาสนคติ คณะธรรมยุต พิมพ์ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐

บทความต่าง ๆ รวมพิมพ์เป็นเล่มตั้งชื่อว่า “ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น” (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา พ.ศ. ๒๕๐๑)

พระธรรมเทศนา ทศพิธราชธรรม ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลปัจจุบัน พระธรรมเทศนาศราทธพรต ในคราวถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล และพระโอวาทในโอกาสต่าง ๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระสังฆราชเจ้าครั้งนี้ด้วย

พระธรรมเทศนา “วชิรญาณวงศ์เทศนา” รวม ๕๕ กัณฑ์ คณะธรรมยุตพิมพ์เป็นเล่มและมหามกุฏ ฯ พิมพ์เป็นคัมภีร์ “มหามกุฏเทศนา” ในคราวพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ครั้งนี้

ทีฆาวุคำฉันท์ (พิมพ์หลายครั้ง)

ประชวรใหญ่ครั้งแรก

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ประชวรโรคนิ่วในถุงน้ำดี ต้องเสด็จไปประทับ ณ

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ได้ถวายการผ่าตัด ๒ ครั้ง ตัดถุงน้ำดีออก ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ คณะศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ ได้ดำเนินการสร้างตึกสำหรับพระภิกษุสามเณรผู้อาพาธขึ้น ๑ หลัง ให้แก่โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ เป็นที่ระลึกในการหายประชวรครั้งนั้น แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ประทานนามว่า “ตึกสามัคคีพยาบาร” โปรดใช้คำว่า “พยาบาร” ซึ่งเป็นศัพท์บาลีที่มีอยู่แล้ว (พยาปาร หรือ วฺยาปาร แปลว่า ขวนขวาย, ช่วยธุระ, กิจกรรม) แทนคำว่า “พยาบาล” ซึ่งเป็นศัพท์ผูกใหม่

พระราชปัธยาจารย์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ เยี่ยมพระอาการในคราวประชวรนี้หลายครั้งและได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์โดยตลอดทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชปาณิธานอย่างแน่นอนว่า เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าหายประชวร จะทรงผนวชและสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็หายประชวรได้อย่างน่าประหลาด จึงได้ตกลงพระราชหฤทัยจะทรงผนวช ด้วยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่ทรงถือว่า ได้ทรงมีคุณูปการส่วนพระองค์มามาก เป็นพระอุปัชฌายะ สนองพระเดชพระคุณพระราชบุรพการี ตามคตินิยมราชประเพณี ได้เสด็จฯ มาเฝ้าถวายเครื่องสักการะ แสดงพระองค์เป็นอุปสัมปทาเปกข์ (ผู้ประสงค์อุปสมบท) ในสำนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๙๙

ครั้นถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ ได้เสด็จทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในสังฆสมาคม ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระราชอุปัธยาจารย์เป็นประธานในการอุปสมบทกรรม เสร็จเวลา ๑๖.๒๓ นาฬิกา แล้วเสด็จฯ พระอุโบสถ พระพุทธรัตนสถาน ทรงประกอบการทัฬหีกรรมตามขัตติยราชประเพณี ในสังฆสมาคมฝ่ายธรรมยุต ๑๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นประธาน เสร็จเวลา ๑๗.๔๓ นาฬิกา แล้วเสด็จฯ โดยรถพระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สู่วัดบวรนิเวศวิหาร ในท่ามกลางประชาชน ที่มาเฝ้าพระบารมีอย่างแน่นขนัดสองฟากถนนตลอดถึงวัด ได้ทรงดำรงสมณเพศ ประทับทรงปฏิบัติพระธรรมวินัย อยู่ในสำนักสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอด ๑๕ ราตรี ทรงลาผนวช ณ วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙

ทรงกรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรด ฯ สถาปนาสมณศักดิ์ และฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระราชอุปัธยาจารย์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๙๙ ได้ถวายพัดมหาสมณุตมาภิเษก ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เศวตฉัตร ๓ ชั้น ได้เปลี่ยนเป็นฉัตรตาดเหลือง (หรือฉัตรตาดสีทอง) ๕ ชั้น สำหรับฐานันดรศักดิ์ กรมหลวงฯ

อภิธชมหารัฏฐคุรุ

รัฐบาลแห่งสหภาพพม่า ได้ถวายเฉลิมพระสมณศักดิ์ “อภิธชมหารัฏฐคุรุ” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์สูงสุดของสหภาพพม่า แด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า นายกรัฐมนตรีพม่า ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในประเทศไทย ได้มาประกอบพิธีถวาย ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๐

พระกรณียะพิเศษในรัชกาลปัจจุบัน

ถวายศาสโนวาทและเบญจศีล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๘๙

ทรงเป็นประธานพระสงฆ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ ๔-๘ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ในพระราชพิธีนี้ ได้ถวายพระครอบพระกริ่งกับพระครอบยันต์นพคุณ ณ มณฑปพระกระยาสนาน ถวายพระธรรมเทศนาทศพิธราชธรรม

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ซึ่งประสูติ ณ วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินทรเทพรัตนสุดา ซึ่งประสูติ ณ วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๔๙๘

ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ซึ่งประสูติ ณ วันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐

ถวายพระนาม พระพุทธนาราวันตบพิตร ที่ได้ทรงสถาปนาและโปรดให้นำมา เมื่อเสด็จ ฯ ถวายพุ่ม

วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๐๐ เพื่อประดิษฐานไว้ ณ พระปั้นหยา อันเป็นที่เสด็จประทับบำเพ็ญสมณปฏิบัติ ในระหว่างทรงผนวช

ถวายพระนาม พระโพธิ์ใต้แม่ว่า “พระโพธิมหัยยาเขตสุชาตภูมินาถ รัฐศาสนสถาวรางกูร” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ (หมายเหตุ - พระโพธิ์ต้นนี้เกิดมาจากพระโพธิ์ที่อันเชิญมาจากศรีลังกามาประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาได้ตายลง แต่ก่อนจะตายได้มีพระโพธิ์ต้นใหม่เกิดขึ้นมา เรียกว่า พระโพธิ์ใต้แม่)

ประชวรครั้งอวสาน

หลังจากประชวรครั้งใหญ่ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ประชวรกระเสาะกระแสะ พระวรกายทรุดโทรมเรื่อยมา แต่อาศัยที่ได้ถวายการรักษาพยาบาล และประคับประคองเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับมีพระหฤทัยเข้มแข็งปล่อยวาง จึงทรงดำรงพระชนม์มาได้โดยลำดับ จนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๑ จึงปรากฏพระอาการประชวรมาก มีพระโลหิตออกกับบังคลหนัก ต้องรีบนำเสด็จสู่ตึกสามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๐๑ เริ่มปรากฏพระอาการเป็นอัมพาต แพทย์สันนิษฐานว่า เส้นพระโลหิตในสมองตีบตัน แต่ต่อมาพระอาการค่อยดีขึ้นบ้าง แล้วก็กลับทรุด

ปัจฉิมกาล

ครั้นเวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ ๑๐ นับเป็นวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ฯ ประทับหน้าพระแท่นบรรทมในห้องประชวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา ๐๑.๐๘ น. มีพระชนมายุ ๘๕ พรรษา ๑๑ เดือน และ ๑๙ วัน

ย่อความจาก "ธรรมจักษุ"

นิตยสารทางพระพุทธศาสนารายเดือน

จัดทำโดย มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 10:06

 คุณ malagao  ย่อความบ้างก็ดีนะคะ  ถ้าอยากตอบ

ระดมเก็บข้อความในเว็บอื่นมาโพสต์เมามันติดๆกันหลายกระทู้ แบบนี้   ดิฉันตาลายค่ะ
อาจจะต้องลบบ้าง
บันทึกการเข้า
Malagao
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 10:09

 William Penn (ค.ศ. 1644-1718)
(บทแปลประพันธ์ โดย อดีตองคมนตรี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ ม.ล. จิรายุ นพวงศ์)


ฉันจะผ่านโลกนี้ แต่เพียงหน
จึงกุศล ใดใด ที่ทำได้
หรือเมตตา ซึ่งอาจให้ มนุษย์ใด
ขอให้ฉัน ทำหรือให้ แต่โดยพลัน
อย่าให้ฉัน ละเลย เพิกเฉยเสีย
หรือผลัดผ่อน อ่อนเพลีย ไม่แข็งขัน
เพราะตัวฉัน ต่อไป ไม่มีวัน
จรจรัล ทางนี้ อีกทีเลยฯ

I shall pass through this world but once;
Any good, therefore, that I can do,
Or any kindness that I can show
To any human being, let me do it now.
Let me not defer it, nor neglect it;
For I shall not pass this way again.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 10:14

เจ้าของกระทู้เขาถามเรื่องท่านผู้หญิงพูนทรัพย์นะคะ
ราชสกุล นพวงศ์ เป็นนามสกุลของท่านองคมนตรี ม.ล. จิรายุ  
ส่วนนามสกุลเดิมของท่านผู้หญิง  เป็นภาษาเยอรมัน

น้องสาวของท่านในรูปถ่าย  คือคุณหญิงโรส บริบาลบุรีภัณฑ์
บันทึกการเข้า
ศิษย์มารบูรพา
อสุรผัด
*
ตอบ: 31



ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 11:26

 ขอบคุณครับ อ.เทาชมพู พอจะทราบประวัติคร่าว ๆ ของท่านผู้หญิงมั้ยครับ ท่านเป็นลูกครึ่งเหรอครับ ผมพยายามหามาหลายเว็บแล้วแต่ไม่เจอ
บันทึกการเข้า
OBORO
ชมพูพาน
***
ตอบ: 158

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมเจอร์ฟิสิกส์


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 14:55

 คุณ Malagao ครับ ชื่นชมจังที่คุณเสียสละเวลาช่วยหาข้อมูลให้ผมได้อ่านความคิดเห็นคุณหลายกระทู้แล้วถ้าทำเป็นลิ้งค์จะดีกว่านะครับ ถ้าเนื้อหามันมีมาก เชื่อว่าผมและหลายๆคนอ่านแล้วคงมีอาการตาลายกันบ้าง


หรือจะย่อความสรุปมาก็จะเป็นพระคุณยิ่ง

ด้วยความปรารถนาดีและชื่นชมในความอุตสาหะ

และติดตามอ่านอยู่เช่นกัน
บันทึกการเข้า
motor
อสุรผัด
*
ตอบ: 2


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 10 ต.ค. 06, 18:44

 ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ มีนามสกุลเดิมว่า ไกรเยอร์ ถ้าจำไม่ผิดนะครับเพราะมีคุณพ่อเป็นชาวเยอรมันซึ่งสมัยนั้น เป็นพ่อค้าเพชรพลอยนำไปขายในวัง
พอท่านผู้หญิงโตหน่อยก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่ยังเล็กเสียดายหาหนังสือไม่เจอแล้วไม่งั้นจะบอกได้ละเอียดกว่านี้ครับ
บันทึกการเข้า
ศิษย์มารบูรพา
อสุรผัด
*
ตอบ: 31



ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 11 ต.ค. 06, 09:01

 ขอบคุณอีกครั้งครับ
บันทึกการเข้า
ritti018
พาลี
****
ตอบ: 210


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 22 พ.ค. 09, 17:29

คุณหญิงโรส  บริบาลบุรีภัณฑ์ เป็นน้องสาวของท่านผู้หญิงพูนทรัพย์เหรอครับ......เท่าที่ทราบมาปัจจุบัน ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์มีอายุ ถึง 98 ปีแล้วนะครับ ท่านยังคงสวยและดูมีสง่าอยู่มากเลยครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.098 วินาที กับ 19 คำสั่ง