เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 15618 ไม้มงคลเป็นอย่างไร
กระต่ายปังตอ
อสุรผัด
*
ตอบ: 9

เรียนอยู่ที่ อาชีวะศึกษาลำปาง


 เมื่อ 23 ก.ค. 06, 19:23

 ขึ้นชื่อว่าของมงคล ใครๆก็สนใจอยากจะได้ไว้เป็นเจ้าของ ยิ่งเป็นวัตถุมงคลที่มีเกจิอาจารย์หลายๆท่านมาทำพิธีปลุกเสกด้วยแล้ว ก็จะเป็นที่ต้องการเสาะแสวงหากันมาไว้ครอบครอง  แต่ของมงคลใช่ว่าจะต้องเป็นวัตถุมงคลแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งของอื่นๆก็เป็นมงคลได้ เช่น ด้ายมงคล , งานมงคล, สถานที่อันเป็นมงคล, สัตว์อันเป็นมงคล, ทิศอันเป็นมงคล, ไม้อันเป็นมงคล, เดือน วัน เวลาอันเป็นมงคล, โอกาสอันเป็นมงคล, พิธีการอันเป็นมงคล, วาจาอันเป็นมงคล, ชื่ออันเป็นมงคล, ธรรมอันเป็นมงคล ฯลฯ สุดแต่ว่าจะนับเนื่องเป็นประเพณีกันมาอย่างไร
   สำหรับเรื่องที่จะเอามาคุยกันในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของไม้มงคล ที่ไม่ใช่เอาไม้ไปปลุกเสก แล้วไม้นั้นกลายเป็นไม้มงคล แต่เป็นการนำเอาชื่อของไม้มาแปรความให้เป็นไปในทางที่เป็นสิริมงคล
   มารู้จักไม้มงคลที่เขาใช้วางศิลาฤกษ์กันก่อนว่า เขาใช้ไม้อะไรกันบ้าง  ไม้ที่นิยมนำมาใช้กันในการวางศิลาฤกษ์มีอยู่ 9 ชนิด คือ
   1. ไม้ชัยพฤกษ์  มีความหมาย จะได้เกิดโชคชัย มีชัยชนะ
   2. ไม้ราชพฤกษ์  มีความหมาย จะได้เป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจวาสนา มีคนนับหน้าถีอตา
   3. ไม้ทองหลาง  มีความหมาย จะมีเงินมีทองอุดมสมบูรณ์
   4. ไม้ไผ่สีสุก  มีความหมาย จะมีความสุขกายสบายใจตลอดเวลา
   5. ไม้กันเกรา  มีความหมาย จะช่วยป้องกันภัย อันตรายต่างๆไม่ให้มากล้ำกราย
   6. ไม้ทรงบาดาล  มีความหมาย จะมีอานุภาพบันดาลให้เกิดสิ่งที่ปรารถนา
   7. ไม้สัก  มีความหมาย จะเกิดความมีศักดิ์ศรี เกียรติยศชื่อเสียง
   8. ไม้พะยูง  มีความหมาย จะช่วยพยุงฐานะให้ดีขึ้น
   9. ไม้ขนุน  มีความหมาย จะมีผู้ให้การเกื้อหนุนในทุกสิ่งทุกอย่าง
   ต่อไปก็มารู้จักไม้มงคลกันอีกงานหนึ่ง  งานนี้ก็คืองานในการฝังรากอาคาร(ตึก)ที่จะก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความสวัสดีมีชัย ไม้ในงานนี้ใช้อยู่ 11 ชนิด ดังนี้
   1. ไม้ชัยพฤกษ์
   2. ไม้ราชพฤกษ์
   3. ไม้ทองหลาง
   4. ไม้ไผ่สีสุก
   5. ไม้กันเกรา
   6. ไม้สัก
   7. ไม้พะยูง
   8. ไม้ขนุน
   9. ไม้รัก
           10. ไม้นาค
           11. ไม้กัญชา
   จะเห็นว่าไม้ที่ใช้ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ชนิดเดียวกันกับไม้ที่ใช้วางศิลาฤกษ์ โดยใช้ถึง 8 ชนิด ที่ไม่ใช้ก็คือ ไม้ทรงบาดาล  แต่จะมีอีก 3 ไม้มาทดแทน นั่นคือ
   1. ไม้รัก มีความหมาย มีคนรักใคร่นับถือ
   2. ไม้นาค มีความหมาย มีความประเสริฐ ดีเลิศ
   3. ไม้กัญชา หาความหมายไม่เจอ ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นไม้ต้องห้าม เพราะเป็นไม้ที่ใช้เอาไปทำยาเสพติดชนิดหนึ่ง คือเอาใบไปสูบแล้วทำให้เกิดความมึนเมา ผู้เขียนไม่เข้าใจว่า ทำไมคนโบราณจึงถือเอาไม้กัญชามาเป็นไม้มงคล จะเอาคำว่า "กัญชา" มาแปรความให้มันเป็นมงคลในแง่ไหน จะว่าเป็นการ "กัน" ภัย ก็คงจะไม่ใช่ เพราะการช่วยป้องกันภัยอันตรายต่างๆก็ใช้ "ไม้กันเกรา" ในความหมายนี้อยู่แล้ว ผู้เขียนก็เลยงง ผู้อ่านก็คงจะงงตามไปด้วย เอาเป็นว่าใครรู้ช่วยบอกผู้เขียนด้วยก็แล้วกัน
   นอกจากจะฝังไม้มงคลลงไปในอาคารบ้านเรือนแล้ว คนโบราณยังจะเอาไม้มงคลมาปลูกในบริเวณบ้านด้วย หากว่ามีที่ดินกว้างขวางพอที่จะปลูกเพื่อให้เกิดความร่มรื่น สวยงาม เป็นสง่าราศรีแก่ตัวบ้าน  แต่ก็ใช่ว่าคิดจะปลูกไม้อะไรลงตรงไหน ก็ปลูกๆกันไป  คนโบราณจะต้องดูทิศทางกันก่อนว่า ไม้อะไรจะปลูกกันทิศไหน  ปลูกวันอะไร และไม้อะไรที่ห้ามไม่ให้ปลูก
   ดังนั้น  เรามาทำความรู้จักกับเรื่องทิศของคนโบราณกันก่อน เพราะคนโบราณมีคำเรียกทิศที่ไม่เหมือนกับที่เราใช้เรียกกันในปัจจุบัน เวลาไปอ่านเจอที่อื่นจะได้ไม่งงว่า เอ๊ะมันทิศอะไรของมันวะ ตูละไม่รู้เรื่องเลย
   คนโบราณเรียกทิศทั้ง 8 ทิศ ดังนี้
      1. ทิศเหนือ         เรียกว่า   ทิศอุดร
      2. ทิศใต้            เรียกว่า   ทิศทักษิณ
      3. ทิศตะวันออก         เรียกว่า   ทิศบูรพา
      4. ทิศตะวันตก                    เรียกว่า   ทิศประจิม
      5. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ      เรียกว่า   ทิศอีสาน
      6. ทิศตะวันออกเฉียงใต้      เรียกว่า   ทิศอาคเนย์
      7. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ      เรียกว่า   ทิศพายัพ
      8. ทิศตะวันตกเฉียงใต้                        เรียกว่า   ทิศหรดี   
   พอรู้จักทิศของคนโบราณดีแล้ว ทีนี้มาดูกันว่าเขาเอาต้นไม้อะไรไปปลูกลงทิศไหน ถึงจะเป็นมงคล ดังนี้                     1. ทิศอุดร(เหนือ)                              ปลูก พุทรา, หัวว่านต่างๆ
      2. ทิศทักษิณ(ใต้)                    ปลูก มะม่วง, มะพลับ
      3. ทิศบูรพา(ตะวันออก)       ปลูก มะพร้าว, กุ่ม, ไผ่
      4. ทิศประจิม(ตะวันตก)       ปลูก มะขาม, มะยม
      5. ทิศอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ)        ปลูก ทุเรียน
      6. ทิศอาคเนย์(ตะวันออกเฉียงใต้)         ปลูก ยอ, สารภี
      7. ทิศพายัพ(ตะวันตกเฉียงเหนือ)          ปลูก มะกรูด
      8. ทิศหรดี(ตะวันตกเฉียงใต้)                ปลูก ชัยพฤกษ์, สะเดา, ขนุน, พิกุล
   ส่วนต้นไม้ที่ห้ามไม่ให้เอามาปลูกในบริเวณบ้าน ก็มีดังนี้
      1. ต้นโพธิ์
      2. ต้นไทร
      3. ต้นตาล
      4. ต้นมะกอก
      5. ต้นระกำ
      6. ต้นมะงั่ว
      7. ต้นสำโรง
      8. ต้นหวาย
      9. ต้นสลัดได
   เมื่อรู้ว่าต้นไม้อะไรควรปลูกทิศไหนถึงจะเป็นมงคลไปแล้ว ก็มารู้กันต่อไปว่า คนโบราณนั้นยังถือเคล็ดในเรื่องของ วัน ที่จะเอาพืชลงปลูกอีกด้วย ถ้าเอาไปปลูกผิดวันจะไม่งอกงาม ดังนี้
      วันอาทิตย์          ให้ปลูก  ขิง, ข่า, เผือก, มัน
      วันจันทร์             ให้ปลูก  อ้อย
      วันอังคาร           ให้ปลูก  แมงลัก, ผักชี, ตะไคร้, พลู    
      วันพุธ             ให้ปลูก  บัว, มะลิ, กระดังงา
      วันพฤหัสบดี       ให้ปลูก  บัว, มะลิ, กระดังงา (เหมือนกับวันพุธ)
      วันศุกร์              ให้ปลูก  ข้าว, ฟัก, แฟง, แตง, ถั่ว, งา, ไม้มีผลต่างๆ
      วันเสาร์           ให้ปลูก  แมงลัก, ผักชี, ตะไคร้, พลู (เหมือนกับวันอังคาร)              คนโบราณยังถือต่อไปอีกว่า คนเรานั้นเมื่อเกิดมาในปีใด ก็สมควรที่จะมีไม้มงคลไว้ประจำปีเกิดของตนเองด้วย ดังต่อไปนี้                    
                 1. ปีชวด      ต้นไม้ประจำปี คือ   มะพร้าว, กล้วย
                           2. ปีฉลู      ต้นไม้ประจำปี คือ   ตาล
      3. ปีขาล      ต้นไม้ประจำปี คือ   ขนุนสำมะลอ, รัง
      4. ปีเถาะ      ต้นไม้ประจำปี คือ   มะพร้าว, งิ้ว
      5. ปีมะโรง            ต้นไม้ประจำปี คือ   งิ้ว, กอไผ่
                 6. ปีมะเส็ง   ต้นไม้ประจำปี คือ   กอไผ่, รัง
                 7. ปีมะเมีย             ต้นไม้ประจำปี คือ   กล้วย
      8. ปีมะแม             ต้นไม้ประจำปี คือ   ปาริชาติ, ไผ่ป่า
      9. ปีวอก                ต้นไม้ประจำปี คือ   ขนุน
               10. ปีระกา              ต้นไม้ประจำปี คือ   ยาง, ฝ้ายเทศ
               11. ปีจอ                   ต้นไม้ประจำปี คือ   สำโรง, บัวหลวง
               12. ปีกุน       ต้นไม้ประจำปี คือ   บัวหลวง
   ในปัจจุบันจังหวัดทั้ง 75 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร (ซึ่งไม่ใช่จังหวัด) ต่างก็มีการกำหนดให้หาต้นไม้มาเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดและประจำกรุงเทพมหานคร นัยว่าเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยงานของตน ดังนี้
 1. กระบี่ ได้แก่  ทุ้งฟ้า                     26. บุรีรัมย์  ได้แก่  กาฬพฤกษ์          51. ลำปาง  ได้แก่  ขจาว
 2. กาญจนบุรี  ได้แก่  ขานาง            27. ปทุมธานี  ได้แก่  ทองหลางลาย    52. ลำพูน  ได้แก่  จามจุรี
 3. กาฬสินธุ์  ได้แก่  มะหาด             28. ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่  เกด         53. เลย  ได้แก่  สนสามใบ
 4. กำแพงเพชร ได้แก่ สีเสียดแก่น    29. ปราจีนบุรี ได้แก่ โพศรีมหาโพธิ    54. ศรีสะเกษ ได้แก่ ลำดวน
 5. ขอนแก่น  ได้แก่  กัลปพฤกษ์       30. ปัตตานี  ได้แก่  ตะเคียนทอง        55. สกลนคร ได้แก่ อินทนิลน้ำ
 6. จันทบุรี  ได้แก่  จัน                      31. พะเยา  ได้แก่  สารภีไทย             56. สงขลา ได้แก่ สะเดาเทียม
 7. ฉะเชิงเทรา ได้แก่ นนทรีป่า         32. พระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หมัน      57. สตูล ได้แก่ กระซิก
 8. ชลบุรี ได้แก่ ประดู่ป่า                   33. พังงา ได้แก่ เทพทาโร                 58. สมุทรปราการ ได้แก่ โพธิ์ทะเล
 9. ชัยนาท ได้แก่ มะตูม                    34. พัทลุง ได้แก่ พะยอม                  59. สมุทรสาคร ได้แก่ สัตบรรณ
10. ชัยภูมิ ได้แก่ ขี้เหล็กบ้าน              35. พิจิตร ได้แก่ บุนนาค                   60. สมุทรสงคราม ได้แก่ จิกทะเล
11. ชุมพร ได้แก่ มะเดื่ออุทุมพร          36. พิษณุโลก ได้แก่ ปีบ                   61. สระบุรี ได้แก่ ตะแบก
12. เชียงราย ได้แก่ กาซะลองคำ          37. เพชรบุรี ได้แก่ หว้า                   62. สระแก้ว ได้แก่ มะขามป้อม
13. เชียงใหม่ ได้แก่ ทองกวาว             38. เพชรบูรณ์ ได้แก่ มะขาม             63. สิงห์บุรี ได้แก่ มะกล่ำต้น
14. ตรัง ได้แก่ ศรีตรัง                         39. แพร่ ได้แก่ ยมหิน                     64. สุโขทัย ได้แก่ มะค่าโมง
15. ตราด ได้แก่ หูกวาง                      40. ภูเก็ต ได้แก่ ประดู่หิน                65. สุพรรณบุรี ได้แก่ มะเกลือ
16. ตาก ได้แก่ แดง                            41. มหาสารคาม ได้แก่ พฤกษ์,มะรุมป่า 66. สุราษฎร์ธานี ได้แก่ เคี่ยม
17. นครนายก ได้แก่ สุพรรณิการ์(ฝ้ายคำ) 42. มุกดาหาร ได้แก่ ช้างน้าว       67. สุรินทร์ ได้แก่ มะค่าแต้
18. นครปฐม ได้แก่ จันทน์หอม            43. แม่ฮ่องสอน ได้แก่ กระพี้จั่น        68. หนองคาย ได้แก่ ชิงชัน
19, นครพนม ได้แก่ กันเกรา               44. ยโสธร ได้แก่ กระบาก                69. หนองบัวลำภู ได้แก่ พะยูง
20. นครราชสีมา ได้แก่ สาธร               45. ยะลา ได้แก่ โศกเหลือง(ศรียะลา) 70.อ่างทอง ได้แก่ มะพลับ
21. นครศรีธรรมราช ได้แก่ แซะ          46. ร้อยเอ็ด ได้แก่ กระบก                71. อุดรธานี ได้แก่ ยางนา
22. นครสวรรค์ ได้แก่ เสลา                 47. ระนอง ได้แก่ อบเชย                  72. อุตรดิตถ์ ได้แก่ สัก
23. นนทบุรี ได้แก่ นนทรีบ้าน              48. ระยอง ได้แก่ สารภีทะเล หรือ กระทิง73. อุทัยธานี ได้แก่ สะเดา
24. นราธิวาส ได้แก่ ตะเคียนซันตาแมว 49. ราชบุรี ได้แก่ โมกมัน                 74. อุบลราชธานี ได้แก่ ยางนา
25. น่าน ได้แก่ กำลังเสือโคร่ง               50. ลพบุรี ได้แก่ พิกุล                      75. อำนาจเจริญ ได้แก่ ตะเคียนหิน
   สำหรับกรุงเทพมหานคร ซึ่งไม่ใช่จังหวัดนั้น ต้นไม้ประจำหน่วย ได้แก่ ไทรย้อย เรื่องของต้นไม้นั้นผู้เขียนขอออกตัวก่อนว่า บางชนิดไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้ยินแต่เพียงชื่อ  และบางชนิดเพิ่งจะได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก ยังไงท่านผู้อ่านก็ลองสอบถามทางกรมป่าไม้กันเอาเองก็แล้วกันว่า อย่างไหนลักษณะรูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง  ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านทุกๆท่านโชคดี เจอแต่ไม้ที่เป็นมงคล อย่าเจอไม้เรียว, ไม้ตะพด, ไม้คมแฝก, ไม้หน้าสาม, ไม้ตีพริก จากใครๆเลย ส่วนไม้ใกล้ฝั่งหนีไม่พ้นต้องเจอกันทุกคน สวัสดี.
            

------------------------------------------
บันทึกการเข้า
BlueMT
อสุรผัด
*
ตอบ: 16


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 23 ก.ค. 06, 19:49

 ขอบคุณมากครับ เคยอ่านเรื่องนี้ตอนเด็กๆ ขออนุญาตคัดลอกไว้นะครับ BlueMT
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 23 ก.ค. 06, 21:32

 มาปูหนังสือพิมพ์ฟังบ้างครับ
บันทึกการเข้า
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 01:09

 ต้นหว้า สมัยนี้หายากมากค่ะที่เพชรบุรี  แต่ก็ยังพอหาได้ เด็กสมัยใหม่ไม่รู้จักแล้วค่ะ  ตอนเป็นเด็กชอบไปปีนต้นหว้าเก็บลูกหว้ากิน เปรี้ยวๆ หวานๆ ฝาด นิดหน่อยที่ปลายลิ้น  โดยเฉพาะได้เกลือป่น มาจิ้มนิดๆ..อร่อยดีค่ะ ..
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 12:10

 มาขอกล่าวเรื่องไม้มงคลด้วยคนค่ะ

ไม้มงคลที่นิยมปลูกในบริเวณบ้านนั้นมีมากมายหายชนิดแล้วแต่ท้องถิ่นไหน จะนิยมแบบใด บางทีก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของที่ดิน ใครมีที่ดินมากก็เลือกต้นไม้ใหญ่  ใครมีที่ดินน้อยก็เลือกต้นไม้ขนาดย่อมลงมา

แม้ว่าไม้มงคลอาจจะไม่มีอานุภาพบันดาลให้เป็นตามคำเล่าขาน แต่อย่างน้อยบางชนิด ก็ออกดอก  ออกผล ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เป็นเจ้าของทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  และบรรยากาศความสดชื่นภายในบ้าน
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 12:25

 ไม้มงคล อีกชนิดที่นิยมปลูกกันมากอย่างน้อยบ้านละ ต้น สองต้น คือ "ว่าน"

ว่านแต่ละชนิดก็จะมีสรรพคุณต่างๆกัน เช่น ทางยา ทางเมตตามหานิยม  ทางโชคลาภ  และทางคงกระพันชาตรี  เช่น

"ว่านนางคุ้ม"       นิยมปลูกเป็นว่านมงคล  มีอำนาจป้องกันไฟไหม้  และปกป้องอันตรายต่างๆ  บ้านเรือนโบราณมักมีว่านนี้ปลูกอยู่แทบทุกบ้าน  ร้านค้าขาย ปลูกไว้จะยิ่งดีเป็นเกราะคุ้มครองป้องกันภัย

"ว่านกวักแม่ทองใบ"     เชื่อว่าบ้านใดปลูก ว่านกวักแม่ทองใบไว้ประจำบ้าน  จะทำให้เกิดความสนใจแก่ผู้พบเห็น เป็นเสน่ห์ และสามารถดึงดูดความสนใจได้  จึงจัดเป็นว่านมหานิยม ที่มักปลูกไว้ทั้งที่บ้านอยู่อาศัย และร้านค้า  เพื่อเรียกโชคลาภ
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 12:32

 "ว่านช้างเผือก"      เป็นว่านเกี่ยวกับอำนาจบารมี สิริมงคล  นิยมนับถือมาแต่โบราณ บ้านเรือนอาศัย ร้านค้า มีปลูกไว้จะเป็นสิริมงคลแก่ผู้อาศัยอยู่ในบ้านนั้น  ตัวว่านใช้แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้  เช่น แมงป่อง  ตะขาบ  มด  โดยใช้ใบตำให้ละเอียด  ผสมเหล้าขาว พอกบริเวณที่ถูกกัด

"ว่านรางนาก"     เชื่อกันว่า หากปลูกว่านรางนากไว้ โดยเฉพาะร้านค้า หรือบ้านที่มีอาชีพค้าขาย จะทำให้มีลูกค้า หรือผู้เช่ามาติดต่อมากขึ้น  ทำให้เกิดโชคลาภทางการค้า เพราะว่า  ว่านรางนากจัดเป็น ว่านเมตตามหานิยมและเปรียบเสมือนมี ของมีค่าอยู่ในบ้าน
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 12:45

 "ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว"     เชื่อว่าบ้านใดปลูกว่านเสน่ห์จันทร์ขาวไว้  จะทำให้เป็นที่รักแก่คนทั่วไปเพราะเป็นว่านที่มีอำนาจในทางเสน่ห์  โบราณเชื่อว่าเป็นว่านเสน่ห์ระหว่างชายหญิง  หากเป็นคนค้าขายจะนำหัวว่านมาแกะเป็นรูปนางกวัก  เพื่อเป็นเสน่ห์แก่ร้านค้า  ทำให้กิจการค้ารุ่งเรือง


"ว่านเสน่ห์จันทร์เขียว"    เป็นว่านที่นำเอาเหง้ามาหุงน้ำมัน และใช้เหง้าไปหั่นตากแดดทำเครื่องกระแจะจันทร์มาแต่โบราณ  หัวว่านบดให้ละเอียดเป็นผงพุทธคุณใช้ผสมทำพระเครื่อง  นิยมปลูกไว้ตามบ้านเรือนและร้านค้าเป็นมหานิยม  ซื้อง่ายขายคล่อง
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 08 ส.ค. 06, 20:39

 บ้านผมก็ปลูกว่านครับ แต่มีนิดหน่อย เท่าที่จำได้ก็มี ว่านช้างผสมโขลง ว่านเพชรหึง ว่านร่อนทอง ว่านอึ่ง ว่านจูงนาง ว่านนางตาม ว่านนางตาย ว่านหัวครู แต่ก็ไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้างครับ
บันทึกการเข้า
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 09 ส.ค. 06, 12:40

 วันหลังจะค้นตำรามาให้นะคะ คุณกุรุกุลา พอดีคุณลุงที่พึ่งเสียชีวิต ท่านมีงานอดิเรกในการค้นคว้า สมุนไพรไทย ค่ะ มีตำราอยู่มาก เสียดายไม่มีใครสืบทอดไว้เลย อีกอย่างท่านก็มาป่วยเข้าโรงพยาบาล เพียง 23 วันก็เสียชีวิต ทั้งที่เป็นคนแข็งแรง งานของท่านจึงต้องมาสะดุดอยู่   ตูก้าตั้งใจไว้ว่าจะนำมาเรียบเรียงแล้วพิมพ์แจกในงานศพของท่าน เพื่อเป็นวิทยาทานค่ะ
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
กระต่ายปังตอ
อสุรผัด
*
ตอบ: 9

เรียนอยู่ที่ อาชีวะศึกษาลำปาง


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 14 ส.ค. 06, 17:23

 ที่บ้านเราก็ปลูกไม้มงคลค่อนข้างมาก เลยล่ะ แต่ตายหมดซะงั้นค่ะ
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 14 ส.ค. 06, 20:50

 เอ๋ ไม้มงคลของคุณกุรุกุลาดูเหมือนจะจำกัดวงศ์หรือเปล่าครับ ??


ปล. มีว่าน "นกคุ้มไฟ" ซักต้นมั้ยอ่ะครับ หุหุ
บันทึกการเข้า
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 15 ส.ค. 06, 11:35

 ไม้มงคล บางชนิดยังทำประโยชน์ให้กับเจ้าของอีกด้วยนะคะ  ดังจะขอยกตัวอย่าง

ไม้ชัยพฤกษ์  นำมาปรุงยาได้หลายชนิด เช่น ฝักเป็นยาช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก แก้ฟกช้ำ หรือทำยาระบาย  ดอกเป็นยาแก้ไข้  ใบใช้รักษาฝีผื่นคันตามผิวหนัง  รากใช้ฝนทาแก้กลากเกลื้อน

ไม้ทองหลาง หากปลูกไว้ เราก็จะได้กินเมื่ยงคำ อร่อยๆไงคะ

ไม้กันเกรา หรือ ตำเสา นั้น เราใช้แก่นผสมเป็นยาแก้กระษัย  แก้บวมพองตามตัว และใช้ทำยาประดง บำรุงไขข้อ  เปลือกผสมเป็นยาแก้ท้องขึ้น และบำรุงธาตุ บำรุงสุขภาพ  นอกจากนี้ยากลางบ้านบางชนิดใช้ตำเสาทั้ง 5 เป็นส่วนผสม เช่น ยาต้มแก้ไข้ เพื่อโลหิตระดู  แก้ไข้หน้าไฟ ตำเสาจึงเป็นยาได้เกือบทุกส่วน  ชาวบ้านเชื่อว่า น้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งที่กินดอกตำเสาจะมีรสขมเจือ  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะมีสรรพคุณเป็นเลิศ..
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 19 คำสั่ง