คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
|
เห็นกระทู้นึงพูดเรื่องชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วก็พูดถึงชูชกมาขอพระกัณหา ชาลี สำหรับเรื่องพระเวสสันดรนั้นเป็นเรื่องที่ผมติดใจมาจนบัดดนี้ว่า การให้ทานของพระเวสสันดรท่านนั้นถูกหรือผิด อย่างไร การที่ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จนต้องสละซึ่งลูกเมีย ให้เป็นทานเพื่อถือว่าจะตัดกิเลสทั้งหมด ผมมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งหรือเปล่า สำหรับผมรู้สึกว่าน่าจะบาปด้วย ลูกของท่าน ท่านกับไปยกให้คนอื่น ทนเห็นคนอื่นทำร้าย ลูกตัวเอง ไม่ยอมช่วยเหลือ เหมือนตอนประทานช้างคู่บ้านคู่เมืองเช่นกัน เพราะเหมือนจะทำให้บ้านเมืองแล้งไปทันทีทันใด นี่ยังดีที่พระอินทร์ ปลอมมาขอภรรยา ไม่งั้นภรรยาของพระองค์ก็คงต้องไปทรมานกับคนอื่นอีก ผมอาจจะไม่เข้าใจพุทธศาสนาลึกซึ้งพอแต่จากมุมมองของผม ผมไม่เห็นด้วยเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 08:51
|
|
เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานมาแล้ว การเมือง ๑ ศาสนา๑ ลองจุดประเด็นขึ้นมาเมื่อไร เป็นได้พูดกันยาว ถ้าเอาจริงเอาจังมากก็ทะเลาะกันได้ง่าย กลายเป็น คน vs คน ไม่ใช่ คน vs ปัญหา
ถ้าเราเอาความรู้สึกของคนต่างยุคไปวัดเหตุการณ์ในอีกยุค ผลออกมาอาจเป็นว่าทำยังไงก็ไม่เข้าใจความคิดของเขา ในสมัยนั้นถือว่าลูกเมียเป็นสมบัติของผู้ชาย-เคยได้ยินมาอย่างนี้ ทำให้พระเวสสันดรบริจาคได้ อีกข้อคือ ในเรื่องบอกว่า ความรักลูกเป็นสิ่งที่ผูกพันพ่อแม่ได้เหนียวแน่นที่สุด จะตัดความยึดเหนี่ยวข้อนี้ให้ได้ก็ต้องสละให้ได้ เหมือนพระเวสสันดรสละกัณหาชาลี ต่อให้ลูกร้องอุทธรณ์ยังไงก็ต้องตัดให้ได้ เป็นทานบารมีขั้นสูง เป็นสิ่งยากเย็นที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงทำ
ส่วนตัวนะคะ...ไม่เข้าใจอยู่ข้อเดียว บำเพ็ญทานบารมี ให้ลูกให้เมียเพื่อสละสิ่งที่รักมากได้นี่ก็พอเข้าใจ แต่ทำไมพระเวสสันดรไม่สละขั้นสุดท้าย คือสละตัวเองเป็นทาสของใครสักคนให้เขาทารุณแบบลูกๆโดน เพราะความรักใดจะเสมอรักตัวเองเป็นไม่มี เพราะฉะนั้นการบริจาคตัวเองเพื่อทารบารมีก็น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุด จะว่าไปซ้ำกับอีก ๙ ชาติก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ซ้ำนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 09:27
|
|
เห็นด้วยกับคุณเทาชมพู ทุกข้อครับ โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ฟังแล้วก็คิดเหมือนกัน ทำไมพระเวสสันดรท่านไม่สละตัวเองแทนลูกเมีย แต่รู้สึกจะมีชาติหนึ่งที่พระองค์ สละชีวิตแล้วเช่นกันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 09:44
|
|
เคยมีชาติหนึ่งค่ะ ในทศชาติ แต่จำไม่ได้ว่าชาติไหน แต่นี่บำเพ็ญทาน คือให้ ไม่ต้องถึงตายค่ะ ให้ตัวเองเป็นทาน เพื่อเป็นทาสคนอื่น เหมือนยกลูกเมียให้เป็นสิทธิ์ของเขา ดิฉันว่าถ้าท่านยกลูกเมียให้เป็นสมบัติคนอื่นตามที่ขอ ยกตัวเองให้ เป็นรายการสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็น่าจะขจัดข้อเคลือบแคลงได้ แต่ไม่มีข้อนี้ เลยทำให้เกิดคำถามค้างคามาเรื่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แจ้ง ใบตอง
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 12:36
|
|
ผมว่าต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในยุคนั้นครับ แล้วจะพบว่าเป็นความชอบธรรมอย่างที่สุด(ที่สมัยนี้ไม่อาจยอมรับได้) ที่พระเวสสันดรทรงบริจาคลูกเมียเป็นทาน เนื่องจากในสมัยนั้น ลูกเมียจะถือว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของสามี (เหมือนที่คุณเทาชมพูได้ชี้แจงไว้) แม้แต่ชีวิตก็สามารถฆ่าได้ ดังจะเห็นได้จาก กฎหมายตราสามดวง ในรัชสมัย ร.๑ ได้บัญญัติไว้ตอนหนึ่งว่า "ภรรยามีชู้ ให้ส่งหญิงและชายชู้ให้เจ้าผัวฆ่า ถ้าไม่ฆ่าจึงให้ปรับ" แม้ในพุทธศาสนาเอง ก็ยังกำหนดสิทธิหน้าที่ของหญิงไว้ต่ำกว่าชาย เช่น ห้ามสตรีบวชเป็นพระสงฆ์ หรือ ทิศ ๖ ที่กำหนดไว้ว่า สามีพึงอนุเคราะห์ภรรยา ๕ ประการ ภรรยามีหน้าที่บำรุงสามี ๕ ประการ (สามีจะทำหรือไม่ก็ได้ แต่สำหรับภรรยาแล้วให้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปฎิบัติ) การที่พระเวสสันดรบริจาคลูกเมีย จึงถือเป็นเรื่องโดยชอบธรรมในสมัยนั้นครับ..
ส่วนในประเด็นที่ว่าทำไมพระเวลสันดรไม่อุทิศตนเป็นทาน ผมเห็นว่า เป็นการมองต่างมุมกัน ระหว่างการอุทิศตนให้เป็นทาน กับบริจาคลูกเมียให้เป็นทาน ว่าประการใดจะ แสดงให้เห็นถึงความเสียสละอันสูงสุดมากกว่ากัน แต่เราต้องเข้าใจว่าการบริจาคในที่นี้หมายถึงการบริจาคทรัพย์สิน ถ้าพระเวสสันดรบริจาคตนเองก็ไม่ใช่การบริจาคทรัพย์สิน ถือว่าผิดจุดประสงค์ของการบริจาคทาน แต่บุตรภรรยาเป็นทรัพย์สินที่พระเวสสันดรสามารถทำอะไรก็ได้ ดังนั้น ผมขอสรุปสั้นๆ เลยครับว่า การที่พระเวสสันพรได้บริจาคทรัพย์สินเป็นทานนั้น บุตรภรรยาถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของพระเวสสันดรที่จะทรงบริจาคได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 13:00
|
|
อืมมม น่าฟังและน่าคิด
ถ้าพระเวสสันดรบริจาคตัวเองก็ไม่ใช่การบริจาคทรัพย์สิน ทรัพย์สินมีค่าที่สุดคือลูกเมีย เรียกว่าของนอกกายงั้นมั้งคะ ส่วนกายของเราไม่ใช่ จึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตการบริจาคทาน
ถ้าหากว่าเป็นยุคนี้ บุคคลอย่างพระเวสสันดรสามารถจะบำเพ็ญทานบารมีในลักษณะเดียวกันได้รึเปล่านะ ดิฉันว่าไม่ได้ ต่อให้มีจิตใจอย่างพระเวสสันดรก็เถอะ มันน่าจะก่อปัญหาตามมาอีกไม่น้อยเลย ทั้งด้านกฎหมายและศีลธรรม
คนที่บริจาคร่างกายเป็นทาน ให้เป็นอาจารย์ใหญ่ น่าจะได้ทานบารมี (มากน้อยอีกเรื่อง)นะคะ คุณๆว่ายังไง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
B
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 13:28
|
|
I heard that even you do not donate body but blood or any organ of the body, you make the most merit and virtue ka.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทิด
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 18:48
|
|
ผมกลับมองว่าที่พระเวสสันดรไม่บริจาคตัวเองเป็นทานเพราะไม่มีใครขอครับ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่ถ้ามีผู้ร้องขอให้พระเวสสันดรบริจาค "อิสรภาพ" ผมว่าท่านก็คงจะให้เหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภูมิ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 21:03
|
|
เท่าที่จําได้ มีทีเป็นกระต่ายกระโดดเข้ากองไฟ (สละชีพเป็นอาหาร) กับเเล่เนื้อชั่งกับนกพิราบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 21:57
|
|
กระต่ายโพธิสัตว์โดดเข้ากองไฟ เคยได้ยินครับ แต่เชือดเนื้อตัวเองชั่งแลกกับชีวิตสัตว์อีกตัวหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นพระโพธิสัตว์ (พุทธ) ยังกับว่าจะเคยอ่านว่าเป็นนิทานสันสกฤตทางศาสนาฮินดู จะเป็นท้าวอัชบาลในรามเกียรติหรือยังไงนี่แหละ ผมยังจำกลอน (ที่ไม่รู้ใครแต่ง) ได้เลยว่า - ครั้นสิ้นมังสะในพระองค์ มิอาจดำรงพระกายได้ เสด็จสวรรคคัลไลย ไปยังชั้นฟ้าสวัสดีฯ
เรื่องพระเวสสันดร สุดแต่คนจะตีความครับ นานแล้ว ผมเคยอ่านงานของพระสายสวนโมกข์รูปหนึ่ง ดูเหมือนท่านใช้นามปากกาว่า ภิกขุโพธิแสนยานุภาพ ตีความชาดกเรื่องนี้ใหม่หมดว่าเรื่องนี้ทั้งเรื่องเป็นปริศนาธรรม ตัวละครทุกตัวเป็นสัญลักษณ์แทนนามธรรม คือไม่ใช่เจ้าชายชื่อเวสสันดร เจ้าหญิงชื่อมัทรี เด็กสองคนชื่อกัณหากับชาลี ฯลฯ แต่เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในจิตมนุษย์ทั้งหมด ชูชกเป็นกิเลสตัวหนึ่ง มัทรีเป็นสัญลักษณ์อะไรอีกตัวหนึ่ง ฯลฯ เข้าท่ามากครับ แต่เสียดาย ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ประเด็นก็คือว่า ถ้าไม่มีตัวตนสัตว์บุคคล เสียแล้ว ประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนางมัทรี หรือสองกุมาร ก็จะไม่มี เพราะการที่พระโพธิสัตว์หรือผู้มุ่งในธรรมจะบำเพ็ญเพียรเพื่อสลัดตัดกิเลสตัวใดตัวหนึ่งในจิตใจ มันไม่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยขนของบุคคลจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 29 พ.ย. 00, 22:15
|
|
ใครเคยอ่านนิทานแขกฮินดูเรื่องท้าวหริศจันทร์บ้างครับ เรื่องนั้นเป็นต้นตระกูลหนังอินเดียโศกเศ้าเคล้าน้ำตาที่เราเห็นสมัยนี้เลยแหละ ท้าวหริศจันทร์เป็นกษัตริย์ที่ยึดถือวาจาสัตย์ยิ่งนัก วันหนึ่งเกิดเหตุให้ทำอะไรที่ขัดใจฤษีวิศวามิตร แล้วทรงตกปากรับคำพระมหาฤษี (ซึ่งผมเองไม่ชอบแกเท่าไหร่ เรื่องนี้ แกเป็นผู้ร้าย ไม่ค่อยเหมือนฤาษีเลย) ว่าจะถวายทักษิณาทานให้ ฤษีวิศวามิตรได้ทีก็เรียกร้องราชสมบัติทั้งหมด ให้พระราชาออกจากเมืองของพระองค์เองไป แล้วก็ยังเรียกร้องทักษิณาทานอีก พระราชาไม่มีให้ ก็จำต้องขายพระมเหสีและพระราชบุตเป็นทาสเอาเงินมาทำบุญกับฤษีตามที่ลั่นปากไว้แล้ว (คล้ายๆ วัดไหนก็ไม่รู้สมัยนี้ ...) จนถึงที่สุด ยังไม่หนำใจฤษียังตามมาทวงบุญอีก ก็ขายพระองค์เองลงเป็นทาสให้กับคนวรรณะต่ำสุด คือนายป่าช้า ทนทุกข์ทรมานรับใช้สัปเหรอรายนั้นอยู่ปีหนึ่ง เพราะยึดมั่นวาจาสัตย์ จนทนไม่ไหวก็จะปลงพระชนม์องค์เอง เพราะได้ทรงพบอดีตพระราชินีที่เอาศพเด็ก คือพระกุมาร ซึ่งถูกงูกัดสิ้นพระชนม์ มาเผาที่ป่าช้า พอสองพระองค์พร้อมใจกันจะเสด็จเข้ากองไฟที่เผาพระโอรส ก็ร้อนไปถึงเทวดา ต้องลงมาบอกว่า ทั้งหมดเป็นการลองใจพระองค์ คนที่มาซื้อพระองค์และพระราชวงศ์ไปเป็นทาสก็ล้วนเป็นเทวดาจำแลงมาดูใจทั้งนั้น เห็นใจแล้ว ทั้งพระวิศวามิตรก็หายโกรธแล้ว เชิญเสด็จขึ้นสวรรค์เถิด... เหมือนหนังแขกไหมครับ แต่เรื่องนี้คุณเทาชมพูคงชอบ เพราะพระราชาหริศจันทร์ในที่สุดก็ขายพระองค์เองเป็นทาสเองด้วย (แต่ขายเมียกับลูกก่อน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 30 พ.ย. 00, 13:04
|
|
ผมเคยอ่านที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบ
พระเวสสันดรเกิดมาเพื่อบำเพ็ญทานบารมีให้เต็มและเป็นชาติสุดท้ายด้วย จึงมีกำลังใจสูงมากในการบริจาคทาน แม้ปกติท่านยังมีปรารภว่าทำไมไม่มีใครมาขออวัยวะหรือชีวิต ท่านจะยินดีให้ทันที
การที่ท่านได้ให้ช้างวิเศษไปก็ด้วยความเมตตาต่อมวลมนุษยชาติโดยไม่แบ่งประเทศ หรือเชื้อชาติ เมื่อประเทศของพระองค์มีความบริบูรณ์แล้ว จึงมอบช้างให้ชาติที่กำลังเดือดร้อนและต้องการจริงๆ เพราะทรัพยากรใดหากเก็บไว้เฉยๆไม่ได้ใช้ แม้จะราคาสูงสักเพียงใดก็ไร้ค่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 30 พ.ย. 00, 13:16
|
|
หากประชาชนไม่เข้าใจจึงขับไล่ท่านออกจากเมือง
ซึ่งท่านรู้ตัวว่าจะลำบาก ได้ห้ามปรามลูกเมียไม่ให้ตามไป แต่ลูกเมียท่านก็ยังขอติดตามและปฏิญาณมอบชีวิตให้เป็นสิทธิขาดของท่าน
การที่ท่านมอบลูกให้ชูชกนั้นก็ด้วย ทั้งไม่ต้องการให้ลูกต้องทนลำบากอยู่ในป่าต่อไปอีก และที่สำคัญท่านทราบว่าชูชกเป็นคนโลภมาก ท่านจึงกำหนดให้ชูชกไว้เสร็จว่าลูกท่านมีราคาต้องไม่น้อยกว่าเท่าไร ซึ่งเงินขนาดนั้นก็มีเพียงกษัตริย์หรือก็คือพระบิดาของท่านเท่านั้นที่จะมีทรัพย์มาไถ่ได้
ฉะนั้นเมื่อชูชกได้ลูกท่านไปแล้ว อย่างไรลูกท่านก็ต้องได้กลับไปอยู่ในวังแน่นอน มิฉะนั้นลูกก็จะไม่ยอมจากท่านไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 30 พ.ย. 00, 13:18
|
|
รับฟังอย่างตั้งใจทุกเรื่องค่ะ ทุกท่าน
อ้าวคุณนกข. ทำไมเล่นมาเดาใจว่าชอบ เพราะใครขายตัวเองเป็นทาสล่ะคะ อืมม์ ถ้าพระราชาหล่อๆยอมเป็นทาสก็น่าซื้อนะ กลัวอย่างเดียว เอาเข้าจริงกลายมาเป็นนาย เรากลายเป็นนางทาส ...เห็นมาเยอะแล้ว
คุณถาวภักดิ์ หายไปพักใหญ่ก่อนserver ล่ม ขอต้อนรับค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 30 พ.ย. 00, 13:33
|
|
ครั้งพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระดาบส เมื่อยังเป็นพระอนิตยโพธิสัตว์ก็เคยกระโดดลงจากหน้าผาให้ร่างกายเป็นทานแก่เสือที่กำลังอดโซมาแล้ว
ขอบคุณคุณเทาชมพูครับที่ให้การต้อนรับอบอุ่นเหมืนเคย ผมไปอยู่บ้านนอกมาเกือบเดือนเลยไม่ค่อยได้เข้ามาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|