เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
อ่าน: 17171 ซางตาครู้ส กางเขนศักดิ์สิทธิ์
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 11:18

 พอดีส่งเข้ามาพร้อมกัน มาอ่านเนื้อความของคุณเทาชมพูทีหลัง
นามเจ้าพระยานิกรบดินทร์ อยู่ในความทรงจำของผมอยู่ตลอดเวลา  ท่านเคยเป็นแม่กองบูรณะปฏิสังขรณ์วัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองหนึ่งในอดีต

นั่นก็คือ วัดป่าเลไลยก์เมืองสุพรรณครับ  ท่านบูรณะทั้งองค์พระป่าเลไลยก์  ทั้งวิหาร  รวมทั้งน่าจะเป็นสิ่งที่เราเรียกกันสมัยปัจจุบันว่าอาคารสถานที่อื่นๆ ในวัดนั้นด้วยครับ  ผมได้พยายามค้นหาหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการนั้น  แต่เพราะอาชีพหลักเป็นเรื่องอื่น งานที่รักเช่นนี้จึงต้องค้างไว้บ้าง  การขึ้นล่องค้นหาหลักฐานในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ  หรือสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี สำหรับคนต่างจังหวัด และมีภาระ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

ทราบแต่เลาๆ ว่าบูรณะใหญ่ครั้งนั้นสมัยรัชกาลที่ ๔  แต่อ่านไปอ่านมา  บางทีก็มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ บ้างแล้ว  ก็ยังงงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ครับ

แล้วก็เลยได้รับรู้ถึงประวัติของท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์เป็นความรู้เสริมด้วยครับ  รู้ว่าท่านสร้างวัดกัลยาณมิตร  ซึ่งในพงศาวดารฯ รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ก็กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

".... เจ้าพระยานิกรบดินทร์ยกที่บ้านเดิมของท่าน  แล้วซื้อที่บ้านข้าราชการและบ้านเจ๊สัว  เจ้าภาษี  นายอากรอื่นอีกหลายบ้านสร้างเป็นวัดใหญ่   พระราชทานชื่อวัดกัลยาณมิตรวัด ๑  แต่วิหารใหญ่เป็นของหลวง...."  ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปี ๒๓๖๘ ครับ

จึงคิดแต่เพียงว่า  การได้รับพระราชทานนามสกุลในสมัยต่อมา  น่าจะเกี่ยวกับนามของวัดนี้  แต่จริงๆ แล้วมีความหมายแฝงมากกว่าที่เรารู้ด้วย

วัดที่ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์มีส่วนเกี่ยวข้อง  จะมีพระพุทธรูปประธานที่ใหญ่  ดังวัดของตระกูลท่านแห่งนี้  คนไทยเรียก "หลวงพ่อโต"   คนจีนเรียกกันว่า "ซำปอกง"  ซึ่งวัดพนัญเชิงอยุธยาเขาก็จะเรียก "ซำปอกง" เหมือนกัน  วัดนี้จะมีเหตุเกี่ยวกับท่านเจ้าคุณรึเปล่าไม่รู้

พระประธานองค์ใหญ่ที่วัดป่าเลไลยก์เมืองสุพรรณ เรียกหลวงพ่อโตเหมือนกัน  แต่คนจีนไม่ได้เรียกซำปอกง  แต่องค์ก็ใหญ่มากเช่นกันครับ
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 11:39

 ชักเริ่มสนุกเสียแล้วซี  หากท่านกุรุกลาไม่เข้ามา  เดี๋ยวกระทู้จะกู่ไม่กลับนะครับ

นึกออกแล้วครับว่าบ้านของเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด) หลังนั้นอยู่ตรงไหน  พอบอกว่าเป็นนิวาสถานเดิมของสมเด็จย่า  ก็ต้องร้องอ๋อเป็นธรรมดา

ขอต่ออีกนิดครับ  เพราะอ่านตรงที่พระองค์ได้รับทุนพระราชทานเรียนพยาบาล ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา  ในฐานะที่ชอบศึกษาทั้งเรื่องสถานที่  แล้วก็เรื่องของบุคคลด้วย  ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง  ทราบว่าพระองค์จบพยาบาล  ขณะนั้นเรียกโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และ หญิงพยาบาล  เป็นรุ่นที่ ๘  พ.ศ.๒๔๕๘  เพื่อนร่วมรุ่นมี ๖ ท่าน คือ
๑. สมเด็จพระศรีนครินทราฯ
๒. เล็ก  หริณสุต
๓. เชื้อ  โรหิตโยธิน (นางอิทธิวัฒนะ)
๔. เนื่อง  จินตดุลย์  (คุณท้าวอินทรสุริยา)
๕. จันทร์ตรี (นางสุขกิจบำรุง)
๖. สมบุญ  ธะเทียนทอง

ไม่ค่อยได้รู้จักชื่อเลยครับ  แต่คงจะมีทายาทให้พอทราบนามได้บ้าง
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 12:15

 ขอเข้าเรื่องเดียวกันกับท่านกุรุกุลาเสียที  เดี๋ยวท่านกลับมาอ่านแล้วจะนั่งน้ำตาไหล  ไหลเพราะความซาบซึ้งมากกว่า  คงเป็นเช่นเดียวกับพวกเราในนี้มังครับ  ที่มีเพื่อนเข้ามาร่วมพูดคุย

จะขอรวบรวมเนื้อความจากหนังสือบางเล่มที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้  เฉพาะตอนที่จะเริ่มเป็นแหล่งชุมชนสำหรับชาวโปรตุเกสแห่งนี้ ณ กุฎีจีน

เฮลเดอร์ เดอ เมนดอนซา เอ กุนญา (Helder de Mendonca e Cunha) (ชื่อเป็นอักษรโรมันเพี้ยนนิดหน่อยครับ เพราะตัวอักษรบางอย่างไม่มีในแป้นพิมพ์)  เขียนไว้ว่า ....


“.....เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าทำลายลงในปี ค.ศ.๑๗๖๗  ชุมชนโปรตุเกสที่อยุธยาก็พลอยสูญสิ้นไปด้วย   พระเจ้าแผ่นดินในอนาคต (พระยาตากสิน) ผู้ทรงสามารถกอบกู้เอกราชของราชอาณาจักรสยามได้ในปีถัดมา   ได้พระราชทานที่ดินบริเวณเมืองหลวงใหม่ที่ธนบุรีให้แก่ชาวโปรตุเกสซึ่งช่วยพระองค์ต่อสู้กับพม่า   ที่ดินใหม่นี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา   ชุมชนแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า  “ดินแดนแห่งไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ (the Settlement of the Holy Cross)  ในบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนดังกล่าว  ยังมีบางครอบครัวที่ใช้ชื่อโปรตุเกสอยู่  เช่น จีซัส (Jesus)  สองคนในจำนวนนั้นทำขนมหวานชิ้นเล็กๆ ขาย   ซึ่งกล่าวกันว่ามาจากตำรับดั้งเดิมของโปรตุเกส....”

ซึ่งท่านได้เพิ่มเติมตรงเชิงอรรถไว้ด้วยว่า  ขนม “fios do ovos” (ฝอยทอง)  ของเราเป็นขนมหวานขึ้นชื่อของไทยอย่างหนึ่ง
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 12:17

 หนังสือของกรมศิลปากรเล่มหนึ่ง  ชื่อ “นานาสาระประวัติศาสตร์จากเอกสารต่างประเทศ”  

เขียนไว้ว่า  “อาณาบริเวณที่เรียกว่ากุฎีจีนนั้น  ตั้งอยู่ตรงบริเวณที่เรียกกันว่าแขวงวัดกัลยาณ์  ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ตั้งของวัดซางตาครู้ส   เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก   ฝั่งธนบุรี   สาเหตุที่เรียกว่ากุฎีจีนนั้นสืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้งอยู่ที่กรุงธนบุรีนั้น   พระองค์ได้ทรงรวบรวมผู้คนที่อพยพหลบหนีพวกพม่าไปเมื่อคราวเสียกรุงให้กลับเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันอยู่ภายในราชธานีแห่งใหม่   โดยในส่วนของชาวจีนจากพระนครศรีอยุธยานั้น  ทรงโปรดฯ ให้อพยพมาตั้งบ้านเรือนกันอยู่แถบวัดกัลยาณมิตร   ด้วยเหตุนี้ชุมชนแถบนี้จึงมีชาวจีนพำนักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก   นอกจากนี้ทางด้านทิศตะวันออกของวัดกัลยาณมิตรยังพบมีศาลเจ้าของจีนตั้งอยู่   และมีพระภิกษุจีนพำนักอยู่ในหมู่กุฏีซึ่งมีชื่อว่า เกียงอันเก๋ง   คำว่า “กุฎี” ในนี้น่าจะหมายถึงที่พำนักของพระสงฆ์   ชื่อกุฎีจีนจึงน่าจะมีที่มาจากการที่ผู้คนเรียกศาลเจ้าตรงบริเวณวัดกัลยาณมิตรว่ากุฎีจีนนี่เอง.....”
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 12:21

 ครับ รอสักพักนะครับ เดี๋ยวผมจะโยงกลับไปที่โปรตุเกสต่อ ท่าทางคุณนิกจะมีความหลังฝังใจกับฟุตบอลโลกคราวนี้เหลือเกิน

  น่าเสียดายว่าไม่ค่อยปรากฏความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างวัดกัลยาณมิตรกับโบสถ์ซางตาครูส เหมือนวัดราชาธิวาสกับโบสถ์คอนเซ็ปชัญ หรือโบสถ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ สามเสนกับวัดส้มเกลี้ยง มิฉะนั้นคงเขียนนิยายเรื่องสองฝั่งคลองได้อีกยาวเหยียดทีเดียว

คนไทยสมัยนั้นก็อยู่กันได้รักใคร่สามัคคี ไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา ผู้คนสมัยนี้น่าจะมองย้อนอดีตกลับไปบ้างนะครับ ว่าความแตกต่างทาวศาสนาไม่ควรเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 13:16

 ผมมีความหลังทุกที่ที่เกี่ยวข้องครับ
ต่อเลยนะ
เล่มเดียวกัน
“.....ในอดีตบริเวณที่เป็นชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้นอกเหนือจากจะมีชาวจีนพำนักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังได้โปรดฯ ให้ชาวโปรตุเกสจากอยุธยาอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาถัดจากศาลเจ้ากุฎีจีนลงไป  เป็นเหตุให้ผู้คนนิยมเรียกชาวโปรตุเกสเหล่านี้ว่า  “ฝรั่งกุฎีจีน”  ตามไปด้วย  ในอดีตชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่ชุมชนแห่งนี้เคยได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถในทางเป็นล่าม  เพราะเมื่อครั้งที่อังกฤษส่งทูตเข้ามาทำสัญญากับไทยก็ต้องอาศัยล่ามโปรตุเกสเข้ามาช่วยในการเจรจา   ดังปรากฎในหนังสือประชุมพงศาวดาร  พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า  “...ทั้ง ๒ ฝ่ายพูดไม่เข้าใจภาษากัน  ในเวลานั้นไม่มีไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้  อังกฤษก็ไม่มีที่พูดภาษาไทยได้   ทั้งหนังสือและคำพูดต้องใช้แปลเป็นภาษาโปรตุเกสบ้าง   ภาษามลายูบ้าง   แล้วจึงแปลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษอีกชั้น ๑.... ฝ่ายล่ามของไทยเล่า  ล่ามที่สำหรับแปลภาษาโปรตุเกสก็ใช้พวกกะฎีจีน”   ส่วนชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่วัดคอนเซ็ปชัญ  สามเสนนั้นว่ากันว่า   สืบเชื้อสายมาจากพวกจางวางทหารฝรั่งแม่นปืน   ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เปรียบเปรยชาวโปรตุเกสในชุมชนทั้ง ๒ แห่งนี้ว่า   “ผู้สืบเชื้อสายโปรตุเกสบ้านกุฎีจีนนั้น   เป็นฝ่ายบุ๋น (คือถนัดทางการรบ)  ฝ่ายผู้สืบเชื้อสายโปรตุเกสบ้านวัดคอนเซ็ปชัญ  เป็นฝ่ายบู๊  (คือถนัดทางการรบ)....”

ใครเป็นล่าม  มีนามว่าอะไร  สำคัญประการใด  คุณกุรุกุลาคงจะทราบอยู่เป็นแน่แท้
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 13:33

 ต่อครับ  เล่มเดียวกัน

"......ภายหลังจากที่ชาวโปรตุเกสได้พากันมาตั้งหลักปักฐานอยู่ในย่านกุฎีจีนแห่งนี้แล้ว   ต่อมาจึงได้มีการสร้างวัดในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกตามมาเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของชุมชน  โดยในปี  พ.ศ.๒๓๑๒  สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้พระราชทานที่ดินให้บาทหลวงกอร์  ชาวฝรั่งเศสสร้างวัดคริสต์ขึ้นแห่งนี้ในย่านกุฎีจีน  และตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า “วัดซางตาครู้ส”  หรือวัดมหากางเขน  เพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันี่ได้รับพระราชทานที่ดินซึ่งตรงกับวันเทิดทูนมหากางเขนของชาวคริสต์  วัดซางตาครู้สนับได้ว่าเป็นวัดคาทอลิกที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งในย่านธนบุรี   เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดกุฎีจีน   สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเนื่องมาจากทำเลที่ตั้งของวัดอยู่ในย่านที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ก่อน   และชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ก็มักจะถูกเรียกว่า  ฝรั่งกุฎีจีน   เป็นเหตุให้ผู้คนพากันเรียกโบสถ์ของฝรั่งเหล่านี้ว่า  “วัดกุฎีจีน”  ตามไปด้วย   ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของโบสถ์หลังเก่าเมื่อแรกสร้างนั้นมีรูปทรงคล้ายแบบจีน   คือ โครงตอนปลายอ่อนช้อยคล้ายลวงลายปูนปั้นบนหลังคาศาลเจ้าจีน   จึงอาจเป็นไปได้ว่าเป็นสาเหตุให้ผู้คนเรียกขาน  โบสถ์ซางตาครู้สว่า  “วัดกุฎีจีน”....."

......................

จากบทความของกรมศิลปากรฉบับนี้  กลายเป็นว่า  บาทหลวงกอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส   ไม่ใช่ บาทหลวงคอร์ (Corre) ที่เราเข้าใจว่าเป็นชาวโปรตุเกส  ตาม คหพต.๓ ซะแล้ว
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 13:40

 ในเล่มเดียวกัน  แต่ต่างบทความ  บอกว่า  มีชาวโปรตุเกสส่วนหนึ่งที่หมู่บ้านคอนเซ็ปชัญ สามเสน  ได้แยกตัวออกไปตั้งภูมิลำเนาใหม่อยู่ทางฝั่งธนบุรี  ซึ่งก็คือบริเวณที่เป็นหมู่บ้านกุฎีจีนในปัจจุบัน

ตอนที่แยกตัวนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่มีชาวเขมรเข้ารีตได้มาอาศัยอยู่ร่วมด้วยในบริเวณนี้สมัยรัชกาลที่ ๑
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 13:58

 ได้ไปค้นอ่านหนังสือของ “กาญจนาคพันธุ์”  เรื่อง เด็กคลองบางหลวง เล่ม ๑  ได้พูดถึงกุฎีจีนสั้นๆ ว่า

"..... ที่กุฎีจีนนี้เมื่อข้าพเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่  เคยลงเรือที่ท่าปากคลองตลาดข้ามไปขึ้นที่ท่ากุฎีจีนหลายครั้ง  เป็นสถานที่เงียบๆ มีบ้านเรือนไม่หนาแน่นนัก   เดินผ่านโบสถ์ซังตาครุสไปออกถนนที่เป็นเขตของกุฎีจีน   เห็นสาวๆ แต่งตัวอย่างไทยห้อยไม้กางเขนเล็กๆ  (คงเป็นทองคำ) บ้าง   เวลานี้ฝรั่งที่เป็นโปรตุเกสแท้ดั้งเดิมจะต้องไม่มีแล้ว   เพราะนับเพียงสมัยธนบุรีจนบัดนี้ก็กว่า ๒๐๐ ปีแล้ว   จะมีแต่เชื้อสายโปรตุเกส หรือไทยที่เข้ารีตในตอนหลังๆ  ซึ่งยังคงอยู่ในกุฎีจีน  และนับว่าเป็นไทยและแต่งตัวเป็นไทยแล้วทั้งนั้น...."


นี่เป็นหนังสือที่ท่านเขียนเมื่อราวปี ๒๕๑๙ ครับ  ตอนนั้นอายุเกือบ ๘๐ ปี  และเมื่อตอนหนุ่มๆ ของท่านไม่รู้ว่าเป็นสมัยไหน  หากอยากจะตามรอยท่านไปค้นหาฝรั่งโปรตุเกสแท้ดั้งเดิมที่นั่นแล้ว  จะมีเหลือไหมหนอ

ถ้าเจอ  จะเรียกว่าเป็นเพราะบุญช่วย  หรือว่าผีหลอกก็ไม่รู้

อ้อ  ลืมบอกคุณกุรุกุลาไป  เราคนไทยด้วยกัน  รักกันอยู่แล้ว  แต่ที่มีปัญหา  เป็นเพราะคนเพียงส่วนน้อยครับ  ซึ่งส่วนน้อยก็ทำให้เราปวดหัวได้มากเหมือนกัน  และเราก็เห็นตัวอย่างของความปั่นป่วนในบางกระทู้ในนี้แล้วด้วย
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 14:15

 ลืมอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่ต้องแต่ง "สองฝั่งคลอง" แข่งกับคุณ ว.วินิจฉัยกุล หรอกครับ

ของเดิมดีอยู่แล้ว  เอาชื่อใหม่ก็แล้วกัน  ถ้ายังอยากคงความหมายเดิมๆ เก๊าะเป็น  "สองฝั่งใจ"  หรือ  "สัญญารักจากสองฟากใจ"   อิอิ  รับรอง  คนตรึม  วิ่งหนีกันตรึม
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 21:07

 ลืมบอกไปครับ ว่าบาทหลวงกอร์เป็นชาวฝรั่งเศส แต่ตั้งชื่อวัดเป็นภาษาโปรตุเกสคงเพื่อให้เกียรติกับชนชาติเดิมที่อยู่มาก่อน
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 21:47

 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2322 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีบัญชาให้ขับไล่มิชชันนารีออกจากราชอาณาจักร เพราะพวกมิชชันนารีขัดขวางไม่ให้ชาวคริสต์เข้าร่วมพิธีทางศาสนาของคนไทย


ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกแล้ว จึงได้เชิญบรรดามิชชันนารีที่ถูกขับไล่ออกนอกราชอาณาจักรกลับคืนมา และยังได้ส่งทูตไปยังเมืองมาเก๊า เพื่อขอให้บาทหลวงชาวโปรตุเกสมาปกครองชาวคริสต์ที่กรุงเทพ


ทั้งนี้เพราะพระองค์มีนโยบายที่จะฟื้นฟูการค้ากับตะวันตกขึ้นใหม่ ทรงแสดงพระเมตตาต่อชาวคริสต์ด้วยการยกเว้นให้ทหารชาวคริสต์ไม่ต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตยา


ในปี พ.ศ. 2328 กองทัพสยามกลับมาจากกัมพูชาและเวียดนามหลังจากที่ได้ไปช่วยรบกับพวกไต้ซ้อง พระองค์โปรดให้ชาวเขมรที่นับถือคริสต์ไปอยู่ในชุมชนโบสถ์คอนเซ็ปชัญ นับตั้งแต่นั้นจึงเรียก โบสถ์คอนเซ็ปชัญว่า “บ้านเขมร”
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 21:51

 มีชาวโปรตุเกสจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมรับการปกครองของบาทหลวงชาวฝรั่งเศส จึงแยกตัวออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่เรียกว่า “ค่ายแม่พระลูกประคำ” ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์ขึ้น ชื่อ “กาลหว่าร์” นับเป็นผืนแผ่นดินผืนที่ 3 ที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระเมตตาพระราชทานให้ชาวโปรตุเกส
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 27 ก.ค. 06, 11:06

 จะเพิ่มเติมอีกบ้าง  คงไม่ว่ากระไรนะครับ  ท่านกุรุกุลาน้อย

ขอย้อนกลับไปถึงปี ๒๔๑๒  ตาม คหพต.๓ ซ้ำอีกครั้ง  เพื่อความกระจ่างของการตั้งคณะบาทหลวงแห่งนี้  จึงได้ไปคัดลอกประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙  มาร่วมด้วยอีกครั้ง  "เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ  กับครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น"

.................

วันที่  ๘  เดือนมิถุนายน  ค.ศ. ๑๗๖๙ (พ.ศ. ๒๓๑๒)

ทางที่จะไปเมืองไทยจากเมืองคันเคาเปนอันไปไม่ได้แล้ว  เพราะเหตุว่าเจ้าเมืองคันเคาได้เกิดอริกับผู้ที่คิดจะเอาราชสมบัติไทย ข้าพเจ้าจึงได้ลองเดิรทางเมืองป่าสัก เพราะที่นั่นมีเรือจีนอยู่ลำ ๑ จวนจะแล่นใบไปยังเมืองไทยอยู่แล้ว  เมื่อวันที่ ๑๖ เดือนมกราคม  ข้าพเจ้าได้ลามองเซนเยอร์เดอคานาธ  และข้าพเจ้าได้ลงเรือเมื่อวันที่ ๒๒ เดือนมกราคม และเมื่อวันที่ ๔ เดือนมีนาคมก็ได้ไปถึงบางกอก  และได้ไปพักที่บ้านคนเข้ารีดชาติปอตุเกตคน ๑ รุ่งขึ้นกำลังข้าพเจ้าจะลงมือสวดมนต์ ก็ได้รับพระราชโองการให้ข้าพเจ้าไปเฝ้าและได้มีเรือมามารับข้าพเจ้าด้วยลำ ๑ ข้าพเจ้าจึงจำเปนต้องเลิกการสวดมนต์และรีบไปเฝ้าตามรับสั่ง  พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานเงินให้ก่ข้าพเจ้า ๒๐ เหรียญ    เรือลำ ๑   กับที่สำคัญปลูกวัดแห่ง  ๑  เงิน ๒๐ เหรียญนั้นข้าพเจ้าได้รับไว้แล้ว  แต่ของอื่น ๆ ยังมาไม่ถึง และของเหล่านั้นก็คงจะไม่ได้จนกว่าจะได้ให้เงินหรือของแก่เจ้าพนักงาร พวกไทยเห็นจะไม่ทิ้งนิสัยเปนแน่  อย่างไรๆ ก็คงจะหาข้อแก้ตัวที่จะขัดพระราชโองการให้จงได้  เพื่อจะถ่วงเวลาให้ได้รับของกำนันเสียก่อนเท่านั้น  

ข้าพเจ้าได้เห็นพวกเข้ารีดในค่ายของเราและค่ายปอตุเกตุซึ่งอยู่ใกล้กับป้อมที่บางกอกเหลืออยู่ ๑๔ คนเท่านั้น  นอกนั้นเที่ยวกระจายอยู่ทั่วไปหมด พวกนี้ก็ได้มาหาข้าพเจ้าโดยมาก ข้าพเจ้าได้นับพวกเข้ารีดมาหาข้าพเจ้าถึง ๑๐๘ คน  เมื่อพวกเข้ารีดที่หนีไปเมืองเขมรได้กลับมาเมื่อไรก็คงจะรวบรวมพวกเข้ารีดได้ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ หรือ ๔๐๐ คน

ค่าอาหารการรับประทานในเมืองนี้แพงอย่างที่สุด เวลานี้  เข้าสารขายกันทนานละ ๒ เหรียญครึ่ง คนที่หาการเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างนั้นถึงจะหมั่นสักเพียงไร  ก็จะหาเพียงซื้ออาหารรับประทานแต่คนเดียวก็ไม่พอ  เมื่อเปนเช่นนี้บุตรภรรยาจะเปนอย่างไรบ้าง  พวกที่อ้างตัวว่าเปนปอตุเกตุนั้นดูเหมือนจะเดือดร้อนมากกว่าคนอื่นมาก เพราะพวกนี้ไม่ละความเกียจคร้าน  หรือลดหย่อนความหยิ่งของตัวเลยร้องแต่ว่าทุนไม่มีจึงไม่ได้ทำอะไร  นอกจากนอนขึงอยู่บนเสื่อตั้งแต่เช้าจนเย็น  ส่วนพวกเข้ารีดของเรานั้นพอเอาตัวรอดได้  เขาไม่ได้รบกวนใครแต่ทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวไป ........
บันทึกการเข้า
NickyNick
พาลี
****
ตอบ: 290

ทำงานแล้วครับ


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 27 ก.ค. 06, 11:23

 ในภาคเดียวกัน  นำความภาคภูมิใจมาสู่คณะบาทหลวงเป็นอันมาก  ติดตามกันดูครับ

............................

..... เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคมปีนี้ (๒๓๑๓)  พระเจ้ากรุง   สยามได้เสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้าด้วยพระองค์เอง  ซึ่งเปนการไม่เคยมีตัวอย่างมาเลย  พวกขุนนางผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าจะมาสนทนากับสังฆราชที่บ้านบาดหลวง  พระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จมาในครั้งนี้  ได้ทอดพระเนตร์เห็นว่าที่ของเราคับแคบมาก  จึงมีรับสั่งให้รื้อศาลาซึ่งอยู่ในที่ของเราลงหลัง ๑  และรับสั่งให้ขุดคูเอาดินขึ้นถมที่  และให้ก่อผนังโบสถ์ซึ่งเปิดอยู่ทุกด้าน  แล้วได้รับสั่งสรรเสริญชมเชยพวกเข้ารีดเปนอันมาก  คือรับสั่งว่า  พวกเข้ารีดลักขะโมยปล้นสดมภ์ไม่เปน  และเปนคนที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญดี  ทั้งสาสนาคริศเตียนก็เปนสาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนี้  แล้วพระเจ้ากรุงสยามจึงได้รับสั่งถามข้าพเจ้าว่าเหตุใดเราจึงยอมให้ฆ่าสัตว์  ข้าพเจ้าจึงได้กราบทูลตอบว่า  พระเยซูเจ้าผู้เปนนายของสิ่งทั้งปวง  ได้สร้างสัตว์ไว้สำหรับให้เปนประโยชน์แก่มนุษย์  อันนี้เปนสิ่งที่เชื่อกันทุกประเทศ  เพราะฉนั้นจะผิดไม่ได้  เมื่อข้าพเจ้าได้กราบทูลมาถึงเพียงนี้ได้สังเกตว่ายังไม่ทรงเบื่อที่จะฟังต่อไป  ข้าพเจ้าจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า  ถ้าไม่ยอมให้ฆ่าสัตว์แล้วไม่ช้าโลกเรานี้ก็จะไม่มีมนุษย์อยู่  เพราะเหตุว่าสัตว์กวางก็คงจะมารับประทานหญ้าและพันธุ์เข้าเสียหมด  ทำให้มนุษย์อดอาหารตาย  ปลาก็จะตายตาม  ลำน้ำลำคลอง  ทำให้น้ำและอากาศเหม็นโสโครก  เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นดังนี้  ในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้กราบทูลอยู่นั้น  ทรงพลิกหนังสือทอดพระเนตร์อยู่  แล้วจึงรับสั่งว่า  "สาสนาคริศเตียนจะไม่ดีอย่างไรได้  อะไรของเขาดีไปหมด   จนกระดาษที่เขาใช้ก็ดี" .....
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.063 วินาที กับ 19 คำสั่ง