เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 12740 "ศรียโสธรปุระ" นครอันศักดิ์สิทธิ์
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


 เมื่อ 20 ก.ค. 06, 11:01


ภาพปราสาทพนมบาแค็ง


“อมฤตาลัย”  ละครแนวพีเรียดซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้  จะมีเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่ย้อนกลับไปเมื่อนพันปีก่อน  เป็นเรื่องราวรักสามเศร้าระหว่าง  “พันธุมเทวี”  และ “ยโสธริยา”  2  พระราชธิดาแห่งพระเจ้ายโศวรมันที่  1  กับ  “กุเพนทรา”  ขุนพลหนุ่มแห่งนครหริหราลัย  “...เพราะความลุ่มหลงในมนต์ดำของพันธุมเทวีที่ร่ำเรียนมาจากแม่ย่าทวดกำปงพิรา  ทำให้พระเจ้ายโสวรมันเกิดความขัดแย้งกับพันธุมเทวีจนต้องออกมาตั้งเมืองใหม่ชื่อ อมฤตาลัยปุระ พันธุมเทวีหลงรักกุเพนทราหากแต่กุเพนทรากลับรักกับยโสธริยา และจะแต่งงานกัน วันหนึ่งพันธุมเทวีจึงเชิญทั้งคู่ไปที่อมฤตาลัยก่อนวางยาพิษให้ทั้งคู่ตายตกตามกัน พระเจ้ายโสวรมันโกธรจัดถึงกับให้กำลัง ทหารบุกเข้าทำลายอมฤตาลัยให้ย่อยยับ พันธุมเทวีจึงใช้กฤตยามนตร์ทำลายอมฤตาลัยด้วยน้ำมือของพระนางเองก่อนหลบหนีออกมาจากเมือง ปุโรหิตคนสำคัญของ พระเจ้ายโสวรมันรู้ว่าพันธุมเทวียังไม่ตายเพราะพระนางเป็นอมตะ จึงได้เขียนคำสาปแช่งไว้ให้ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านคำสาปแช่งต่อหน้าพันธุมเทวี เมื่อร่างอันเป็นอมตะจะถึงแก่กาลพินาศ...”   ซึ่งเรื่องราว  และตัวละครเหล่านี้รวมถึง  “เมืองอมฤตาลัยปุระ”  ที่ถูกสร้างขึ้นโดยพันธุมเทวี  ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสมมติให้เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่  1  ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีพระองค์อยู่จริง  รวมถึงเมืองหริหราลัยด้วย

หลายคนอาจจะสงสัยแล้วว่าที่ผมเกริ่นมาซะเยิ่ยยาวเนี่ยมันเกี่ยวกับ  “ศรีโสธรปุระ”  ตรงไหน  ขอยืยยันครับว่าเกี่ยวแน่นอน  แต่จะเกี่ยวกันยังไงนั้น  อย่าลืมติดตามอ่านนะครับ




ปล.  จุดประสงค์ในการเขียนนี้เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินในการหาความรู้  มิได้เขียนขึ้นในเชิงวิชาการครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 20 ก.ค. 06, 11:20

 คุณจินตวีร์ วิวัธน์ ผู้แต่งเรื่องนี้ หรือคุณจินตนา ปิ่นเฉลียว เป็นชาวเทวาลัย สีเทาชมพู เช่นเดียวกันค่ะ  แต่ห่างรุ่นจนไม่ทันเจอกัน
ดิฉันอ่านนิยายอมฤตาลัยเป็นเรื่องแรก  จำได้ว่าสนุกมาก  ในเรื่องมีตัวหน้ากาฬ(เรียกอีกชื่อว่าอะไรลืมไปแล้ว) เป็นหิน   ออกมาอาละวาดด้วย
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 20 ก.ค. 06, 15:00

 เข้ามานั่งฟังด้วยคนครับ ผมเองก็ชื่นชอบละครพีเรียดเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่าน คงต้องขอให้คุณหยดน้ำช่วยเล่าต่อนะครับ  แล้วเรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับปราสาทบาแค็งไหมครับ เพราะปราสาทนี้แฝงคติลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งเรื่องของปราสาทบริวารที่ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ได้ 33 หลัง หรือการใช้ฐานสูง

ถ้าผมจำไม่ผิด ภาพที่คุณหยดน้ำยกมาจะเป็นปราสาทนครวัดนะครับ
บันทึกการเข้า
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 21 ก.ค. 06, 08:11

 ขอบคุณคุณเทาชมพู  กับคุณกุรุกุลาครับ  ผมโพสต์รูปผิดจริงๆ  ด้วย  รูปข้างบนเป็นรูปปราสาทหินนครวัดครับ

.
.
.

ขอเริ่มเล่าเลยล่ะกันนะครับ

..................................

ปีหนึ่งในพุทธศตรวรรษที่  14  เดือน  3  ขึ้น  15  ค่ำ  รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่  2  กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวงแห่งเจนละน้ำ  ได้เสด็จไปประกอบพิธีราชาภิเษก  ณ  มเหนทรบรรพต  หรือเขาพนมกุเลน  เพื่อประกาศอิสรภาพไม่อยู่ใต้ปกครองอาณาจักรชวาอีกต่อไป  พร้อมกันนั้นได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเทวราชามหาจักรพรรดิ  ปกครองพระราชอาณาจักรแต่เพียงพระองค์เดียว


ย้อนกลับไปในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ก่อน  ก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงนำเจนละน้ำออกจากการปกครองของชวา  ครั้งหนึ่งในขณะที่เสด็จออกขุนนาง  ทรงมีพระราชปรารภกับราชปุโรหิตของพระองค์ว่า  ทรงอยากจะเห็นพระเศียรพระราชาแห่งชวาตั้งอยู่บนพื้นท้องพระโรงของพระองค์  พระราชดำรัสนี้สร้างชื่อเสียงให้แก่พระองค์เป็นอย่างมาก  ชนทุกชั้นในอาณาจักรเจนละน้ำต่างก็พูดถึงเรืองราวที่เจ้าเหนือหัวอาจจะทรงประกาศอิสระภาพ  หลายคนยินดีและมีความหวัง  แต่หลายคนก็หวาดหวั่นถึงภัยสงคราม


เรื่องราวทั้งหมดนี้พ่อค้าใหญ่จากชวาที่เข้ามาค้าขายในเจนละน้ำได้ทราบความโดยตลอด  เมื่อเดินทางกลับชวาจึงนำเรื่องนี้ไปกราบบังคมทูลให้กษัตริย์แห่งชวาทรงทราบ  ในที่สุดกษัตริย์ชวาจึงยกกองทพมาตีเจนละน้ำ  เพื่อจับตัวกษัตริย์หนุ่มที่บังอาจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระองค์  และปราบปรามเมืองขึ้นในแถบอินโดจีนให้อยู่ในพระราชอำนาจ  เมื่อชวาชนะศึกกับเจนละน้ำแล้วกษัตริย์ชวาได้แต่งตั้งให้เจ้าชายองค์หนึ่งของเจนละน้ำ  ซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์พนมแห่งอาณาจักรฟูนันขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์๋ใหม่ทรงพระนามว่า  "พระเจ้าชัยวรมันที่  2"  เจ้าชายพระองค์นี้เดิมประทับอยู่ที่ชวา  ว่ากันว่าพระองค์ถูกส่งไปเป็นองค์ประกันที่ชวา  หรือไม่ก็ทรงลี้ภัยการเมืองไปประทับที่นั่น  เมื่อกษัตริย์ชวายกทัพมาตีเจนละน้ำจึงได้โดยเสด็จด้วย

...
บันทึกการเข้า
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 22 ก.ค. 06, 20:20


ศิวลึงค์ใต้น้ำบนเขาพนมกุเลน

.....................................


ในปีพุทธศักราช  1345  เมื่อกษัตริย์ชวาได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้าชัยวรมันที่  2  ขึ้นครองอินทรปุระเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละน้ำแล้ว  พระองค์ก็ได้ยกกองทัพกลับชวา  และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ทรงให้ราชทูตนำพระเศียรของกษัตริย์เจนละน้ำพระองค์ก่อนมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้าชัยวรมันที่  2  เพื่อย้ำเตือนให้เจนละน้ำจงรักภักดีต่อชวา  หาไม่แล้วจุดจบของพระเจ้าชัยวรมันที่  2  ก็จะเป็นเช่นเดียวกับกษัตริย์พระองค์ก่อน  แต่การกระทำเช่นนี้ของกษัตริย์ชวาหาได้ทำให้พระเจ้าชัยวรมันทรงเกรงกลัวไม่  กลับยิ่งทรงมีขัตติยะมานะและมีพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ในการสืบทอดพระราชปณิธานของกษัตริย์พระองค์ก่อนในการที่จะนำเจนละน้ำเป็นอิสระ  เพราะอย่างไรพระองค์ก็เป็นเชื้อสายสุริยา  บรรพกษัตริย์ของพระองค์เคยครองอาณาจักรฟูนันอันยิ่งใหญ่   และเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรเจนละด้วย  พระองค์จะต้องเรียกคืนวันเก่าๆ  เหล่านั้นให้กลับคืนมาจงได้


ในช่วงต้นรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่  2  แม้จะทรงเป็นเจ้าเมืองประเทศราชของชวา  แต่ก็ยังทรงมีอิสระในการปกครองอาณาจักรของพระองค์เช่นเดียวกับเจ้าประเทศราชเมืองอื่นๆ  ทรงใช้กุศโลบายในการนอบน้อมต่อชวาเพื่อให้กษัตริย์ชวาทรงไว้วางพระราชหฤทัยว่าเจนละน้ำจะไม่แข็งเมือง  แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้เตรียมการในการที่จะประกาศอิสรภาพไปพร้อมๆ  กันด้วย  ทรงสร้างกองทัพที่เข้มแข็ง  และเสด็จนำทัพไปปราบปรามบรรดาบ้านเล็กเมืองน้อยที่เคยอยู่ใต้การปกครองของเจนละน้ำให้เป็นปึกแผ่น  อีกทั้งยังได้ทรงเตรียมพร้อมรับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นหากพระองค์ประกาศอิสรภาพ  ทรงโปรดย้ายราชธานีจากเมืองอินทรปุระไปยังเมืองหริหราลัยที่ทรงสร้างขึ้นใหม่  แต่ประทับอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายราชธานีไปยังเมืองอัมรินทรปุระ   โดยในระหว่างที่ประทับอยู่ที่เมืองอัมรินทราปุระนี้  ได้ทรงมีพระราชดำริว่า  พระองค์ทรงมีเชื้อสายราชวงศ์พนม  หรือวงศ์แห่งพระอาทิตย์   บรรพกษัตริย์เคยเป็นบรรพตภูบาล  หรือราชาแห่งภูเขาผู้ครองอาณาจักรฟูนัน   อีกทั้งการสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นเทวราชาตามลัทธิไศวนิกายนั้น  ควรจะสร้างเทวะสถานสำหรับบูชาพระอิศวร  และประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกบนภูเขาให้เสมือนหนึ่งเป็นวิมานของพระอิศวรบนเขาไกรลาศ  เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นเทวราชาของพระองค์  และเป็นพระจักรพรรดิราชผู้เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวง  เมื่อทรงมีพระราชดำริเช่นนี้จึงได้ทรงเลือกเทือกเขาพนมกุเลน  ต้นแม่น้ำเสียเรียบ  เป็นที่สร้างเทวะสถาน  และราชธานีแห่งใหม่ตามอย่างบรรพกษัตริย์  แล้วพระราชทานนามเขากุเลน(พนมกุเลน)  ว่า  “มเหนทรบรรพต”  และขนานนามราชธานีใหม่ว่า  “มเหนทราปารวัตตา”  หรือ  “มเหนทรปุระ”


พนมกุเลน  เป็นเทวะสถานที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของลัทธิไศวนิกาย  ในบริเวณที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเสียมเรียบ  พระเจ้าชัยวรมันที่  2  ได้โปรดให้แกะสลักศิวลึงค์ไว้ใต้น้ำนับพันองค์เพื่อเป็นการบูชาพระศิวะ  เพราะศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์แทนเพศชาย  และพระศิวะ  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าทรงเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง  และฐานโยนีที่สร้างล้อมรอบศิวลึงค์ แทนอวัยวะเพศของเพศหญิง ซึ่งก็คือนางอุมาเทวีชายาของพระศิวะ ชาวฮินดูเชื่อว่าตราบใดที่อวัยวะทั้งสองยังอยู่ด้วยกัน ตราบนั้นโลกจะอยู่เย็นเป็นสุข  มีความเจริญรุ่งเรือง  พนมกุเลนจึงเป็นนิมิตรรูปของเขาพระสุเมรุราชที่  109  ยอด  ยอดสูงสุดคือยอดเขาไกรลาศ เป็นที่อยู่ของพระศิวะ และพระนางอุมาเทวี และพนมกุเลนยังเป็นสัญลักษณ์ของเขาหิมาลัย ที่มีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาจากธารสวรรค์อีกด้วย
บันทึกการเข้า
ชายองค์
อสุรผัด
*
ตอบ: 24

เป็นความลับ


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 14:18

 คุณหยดน้ำครับ ที่ว่า พระเจ้าชัยวรมันที่สอง ต้องการเห็นพระเศียรแห่งกษัตริย์ชวา นี่มาจากจารึกที่สด๊อกก๊อกธมหรือเปล่าครับ...

เท่าที่ผมอ่านจารึก เพียงแต่กล่าวว่าพระองค์ทรงถูกจับไปเป็นตัวประกัน และได้กลับมา
พร้อมประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นตรงกับชวาอีกต่อไปที่มเหนทรบรรพต และทำพิธีต่างๆเท่านั้น จากนั้นก็ทำการจัด สรุก เอาคนมาอยู่ตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ

นึกถึงคำว่า พนมกุเลน คำว่า กุเลน แปลว่า ลิ้นจี่ป่าครับ ทางล้านนา เรียก คอแลน เหมือนกันเลย...

เดี่ยวจะมาฟังเรื่องเพิ่มเติมครับ...
ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
ชายองค์
อสุรผัด
*
ตอบ: 24

เป็นความลับ


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 14:26

 ลืมอีกแล้ว ชื่อแม่ย่าทวดแปลกดีครับ กำปงพิรา
หากจะแปล คงได้ว่า ท่าน้ำพิรา

แปลกดีแท้
ปกติชื่อคนในสมัยโบราณ มักเป็นพยางค์เดียว แบ่งชายหญิงเด็กหนุ่ม ทาส ออกจากกัน ด้วยคำว่า ไต บ้าง (ผมเห็นว่า ในเรื่องน่าจะเอาชุดอักษรมาจากไหนสักที่ ที่อายุใหม่กว่าในยุคที่ควรจะเป็น) มีคำว่า ไต ด้วย...น่าจะเป็นชื่อทาสชาย ที่กัลปนาแก่ศาสนสถาน ลองสังเกตดูนะครับ...

ผมนอกเรื่องอีกแล้วขอโทษที ครับ
บันทึกการเข้า
tuka007
พาลี
****
ตอบ: 291


คนจับจอบจับเสียม


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 26 ก.ค. 06, 20:00

 ชอบเรื่องแบบนี้เหมือนกัน มานั่งฟังด้วยคนค่ะ
บันทึกการเข้า

จงยิ้มให้โลก...แล้วโลกจะยิ้มให้เรา
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 28 ก.ค. 06, 23:34

 ตอบคุณชายองค์ครับ

กษัตริย์เขมรที่ต้องการเห็นพระเศียรของกษัตริย์ชวา  คือ  กษัตริย์องค์ก่อนพระเจ้าชัยวรมันที่  2  ครับ

ส่วนเรื่องนี้มีอยู่ในบันทึกของพ่อค้าชาวอาหรับ  ชื่ออาบู  ซายึด  ซึ่งบันทึกไว้เมื่อปีพ.ศ.  1459  เกี่ยวกับสงครามชิงแผ่นดินในหมู่เกาะทะเลใต้ไว้ว่ากษัตริย์หนุ่มแห่งกัมพูชาผู้เร่าร้อน  ปรารภกับปุโรหิตว่า  อยากเห็นพระเศียรพระราชาแห่งชวาตั้งอยู่บนพื้นท้องพระโรง  เรื่องราวไปเข้าพระกรรณของกษัตริย์ชวา  กษัตริย์ชวายกทัพมาจับกษัตริยืหนุ่มกัมพูชากลับไป  หลังจากตั้งกษัตริย์กัมพูชาองค์ใหม่  กษัตริย์ชวาก็ส่งพระเศียรอดีตกษัตริย์กลับไปกัมพูชา  และอาบู ซายึด  ได้สรุปทิ้งทายไว้ว่า  นับแต่นั้นมากษัตริย์กัมพูชาจะหันพระเศียรไปทางทิศใต้  และเรียกทิศนั้นว่าทิศหัวนอน
บันทึกการเข้า
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 01 ส.ค. 06, 07:48

 ย้อนกลับมาในคืนวันขึ้น  15  ค่ำ  เดือน  3  ของปีพุทธศักราช  1362  ภายหลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่  2  เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ  นับเป็นเวลาได้  17  ปี  ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ  พราหมณ์หิรันยทาม  พระมหาราชครูประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็น  "พระเทวราช"  และประกาศอิสระภาพไม่ขึ้นกับชวา  ในคืนที่เรียกว่า  "ศิวาราตรี"  นั้นเอง


"เพื่อประกอบพิธีกรรมไม่ให้กัมพูชาตกอยู่ใต้การปกครองของชวาอีกต่อไป  และเพื่อให้พระราชาจักรพรรดิเท่านั้นครองประเทศ  พรามหมณ์จึงได้ประกอบพิธีกรรมตามคัมภีร์...แล้วสถาปนาพระเทวราช"  (จารึกสด๊อกก๊อกธม)


"...พิธีศิวาราตรี นี้เป็นพิธีลอยบาปของพราหมณ์คล้ายๆ  มหาปวาณาจึงโปรดให้ทำตามธรรญเนียมเดิม พิธีนี้ทำในวันเดือนสามขึ้น 15 ค่ำ คือเวลาค่ำพระมหาราชครูทำพิธี เริ่มแต่กระสูทธิ์อัตมสูทธิ์ตามแบบเหมือนพิธีทั้งปวงแล้วเอาเสาปักสี่เสา เชือกผูกคอหม้อโยงเสาทั้งสี่ ภายใต้หม้อตั้งพระศิวลึงค์ เจาะหม้อให้น้ำหยดลงมาได้ทีละน้อยเอาขลังสอดไว้ในช่องหม้อที่เจาะนั้นเฉพาะตรงพระศิวะลึงค์ให้น้ำหยดลงถูกพระศิวลึงค์ทีละน้อย แล้วไหลลงมาตามรางซึ่งรองรับพระศิวลึงค์ซึ่งพระพราหมณ์ในประเทศอินเดียซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเห็นเรียกว่าโยนีแล้วมีหม้อรองที่ปากรางนั้นเติมน้ำและเปลี่ยนหม้อไปจนตลอดรุ่ง เวลาใกล้รุ่งทำพิธีหุงข้าวหม้อหนึ่งในเทวสถาน เจือน้ำผึ้ง น้ำตาล นม เนยและเครื่องเทศต่างๆสุกแล้วแจกกันกินคนละเล็กคนละน้อยทุกคนทั่วกัน พอได้อรุณก็พากันลงอาบน้ำในคลอง สระผมด้วยน้ำที่สรงพระศิวลึงค์ ผมที่ร่วงในเวลาสระน้ำเก็บลอยไปตามน้ำ แต่การพิธีนี้ไม่มีของหลวงพระราชทาน เป็นของพราหมณ์ทำเองเมื่อพิเคราะห์ดูการที่ทำนี้เห็นว่าจะเป็นการย่อมาเสียแต่เดิมแล้ว..."  พิธีศิวาราตรีนี้  เป็นพิธีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเล่ารายละเอียดไว้  เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินประพาสอินเดีย  และได้ทอดพระเนตรพิธีนี้ที่เมืองพาราณสี


แม้พระเจ้าชัยวรมันที่  2  จะทรงประกอบพระราชพิธีสถาปนาพระองค์ขึ้นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว  แต่ตลอดรัชสมัยของพระองค์ก็ยังต้องทรงปราบปราบบรรดากษัตริย์  และเจ้าชายเมืองต่างๆ  ให้เข้ามาอยู่ในพระราชอำนาจของพระองค์  ต่อมาบรรดาพรามหณ์  ขุนนางได้กราบทูลว่ามเหนทรปุระนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงชัน  ไม่เหมาะที่จะเป็นราชธานีเนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก  เมื้่อทราบแล้วก็ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบด้วย  จึงโปรดเกล้าฯ  ให้ย้ายราชธานีกลับไปที่เมืองหริหราลัย  และประทับอยู่จนเสด็จสวรรคต
บันทึกการเข้า
ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว
ชมพูพาน
***
ตอบ: 175

ความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 05 ส.ค. 06, 08:05

 แล้ว ใครสร้าง อมฤตาลัย ให้ดวงใจของผมประทับอยู่ ละครับผม อิอิอิ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.06 วินาที กับ 19 คำสั่ง