ยินดีต้อนรับ
ท่านผู้มาเยือน
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
หน้าแรก
ตู้หนังสือ
ค้นหา
ข่าว
: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
เรือนไทย
>
General Category
>
ประวัติศาสตร์ไทย
>
กว่าจะมีรถไฟเมืองสยาม: มองประวัติศาสตร์ของประเทศไทยคู่ขนานไปกับกิจการรถไฟไทย
หน้า: [
1
]
พิมพ์
อ่าน: 3518
กว่าจะมีรถไฟเมืองสยาม: มองประวัติศาสตร์ของประเทศไทยคู่ขนานไปกับกิจการรถไฟไทย
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 02:04
กระทู้นี้เกิดขึ้นสืบเนื่องจากคุณ V_MEE ได้ช่วยจุดประกาย อธิบาย “นามสกุลพระราชทานของรัชกาลที่ 6”
โดยใช้รถไฟสายเหนือเป็นเครื่องบ่งบอกถึงวันเวลาการเสด็จมณฑลพายัพของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต
ไม่ว่าประเทศใดๆ เบื้องหลังของกิจการรถไฟมักผูกติดกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของประเทศนั้นๆเสมอ
ปัจจุบันรถไฟไทยมีอายุ 100 กว่าปีแล้ว รถรางไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ยุคเก่า ก็นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์รุ่นลายคราม
อายุอานามใกล้เคียงกันกับรถไฟ
กระทู้นี้จึงอยากเชิญชวนผู้อ่าน ย้อนดูเบื้องหลังที่น่าสนใจของกิจการขนส่งมวลชนเก่าแก่ของไทย
ที่ต้องใช้ความสามารถในการจัดการการเงินของคลังหลวง (เรียกว่าบ้านเมืองต้องรัดเข็มขัดจนเอวกิ่ว)
หยาดเหงื่อ และชีวิตกรรมกรแลกมา
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
ตอบ: 1906
Smile though your heart is aching.
ความคิดเห็นที่ 1
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 02:15
แวะมาอ่านด้วยคนครับคุณโพธิ์ฯ ผมนั่ง(และยืน)รถไฟไปต่างจังหวัดบ้าง ในกรุงเทพบ้างอยู่หลายครั้ง
บ้านหลังเดิมก็อยู่บนถนนสายที่มีรางรถไฟเก่าฝังอยู่ด้านล่าง (สุดที่สถานีวงเวียนใหญ่แหละครับ หุหุ)
แต่ตัวเองยังไม่ค่อยจะมีความรู้อะไรเกี่ยวกับรถไฟเลย ผมคงต้องขอความรู้สมาชิกในบอร์ดอีกนานล่ะครับ
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 2
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 02:32
ย้อนหลังไปในสมัยรัชกาลที่ 4 รถไฟยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก มีสเตอร์แฮรี่ สมิท ปากส์ ได้อัญเชิญ
พระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ
เข้ามาในราชอาณาจักรสยาม(พร้อมกับเซอร์ จอหน์ เบาริ่ง) เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ 30 มีค 2398 ของที่มีมาเป็นโมเด็ลจำลอง
ประกอบด้วยหัวรถจักรไอน้ำ และรถพ่วงครบครัน วิ่งบนรางด้วยแรงขับเคลื่อนของพลังไอน้ำ
พระนางฯ ทรงประสงค์ให้รถไฟเป็นแรงดลพระราชหฤทัยของ ร. 4 ให้ทรงสถาปนากิจการรถไฟขึ้นในราชอาณาจักร
สยามบ้าง ปรากฎว่ารถไฟจำลองเป็นที่ฮือฮาแก่เจ้านายและข้าราชบริพารที่ได้พบเห็นเป็นอันมาก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2400 คณะทูตของกรุงสยาม โดยพระยามนตรีสุริยวงศ์ เป็นราชทูต เจ้าหมื่นสรรเพธภักดี
(เพ็ง เพ็ญกุล) เป็นอุปทูต และจมื่นมณเฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูต โดยมีหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูร
ณ กรุงเทพ) เป็นล่าม เดินทางออกจากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2400 เพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนัก
อังกฤษ
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 3
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 03:02
ระหว่างที่คณะราชทูตอยู่ที่อังกฤษนั้น เกิดความประทับใจเจ้าม้าเหล็กเป็นอันมาก สมัยนั้นระบบจักรกลยังคงใช้ฟืน
เป็นเชื้อเพลิงเพื่อต้มน้ำให้เกิดไอน้ำขับเคลื่อนหัวรถจักรที่ มิสเตอร์ยอร์ช สตีเฟนสัน เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น
(ยุคหลังเข้าใจว่าใช้ถ่านหิน)
จากกรุงลอนดอน คณะเดินทางไปเมืองเบอร์มิงแฮม ต่อไปยังเมืองแมนเชสเตอร์ และเลยไปที่ลิเวอร์พูล
โดยทางรถไฟ ทั้งคณะประทับใจในความสะดวกสบายของรถไฟเป็นอันมาก
ในปี 2410 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้บีบบังคับให้เขมร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทย ให้หันไปสวามิภักดิ์ต่อรัฐบาล
ฝรั่งเศสแทนทำให้ไทยเสียดินแดนเขมรส่วนนอก และเกาะอีก 6 เกาะ ให้แก่ฝรั่งเศส นับเป็นการเสีย
ดินแดนครั้งที่ 3 เนื้อที่ 124,000 ตารางกิโลเมตร
ก่อนหน้านี้ มีการเสียดินแดนแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2328 ไทยเสียเกาะหมาก (ปีนัง) ให้แก่อังกฤษ เนื้อที่ 375 ตารางกิโลเมตร
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2336 ไทยเสียมะริด ทวาย และตะนาวศรี ให้แก่อังกฤษ เนื้อที่ 55,000
ตารางกิโลเมตร
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 4
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 03:15
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสวยราชสมบัติ โดยมีเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนนั้น ในปี 2413 พระองค์ได้เสด็จไปสิงคโปร์และปัตตะเวีย (หรือชวา) เพื่อทอดพระเนตร
กิจการสาธารณูปโภคต่างๆ และการสร้างทางรถไฟในชวา
รูปซ้าย ช้างสัมริดที่ระลึกที่พระองค์ทรงมอบให้แก่สิงคโปร์
รูปขวา ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่สิงคโปร์ต้อนรับกษัตริย์สยามอย่างสมพระเกียรติ โดยจัดที่พักถวายให้
ที่ทำเนียบว่าการ (Residence, Government House)
.
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 5
เมื่อ 11 ก.ค. 06, 03:32
.
ในภาพหาตัวหนังสือไทยตามป้ายโฆษณาไม่ได้เลย
มีเพียงสามล้อเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้นว่าภาพรถรางไฟฟ้านี้ถ่ายในประเทศไทย
บันทึกการเข้า
โพธิ์ประทับช้าง
องคต
ตอบ: 399
ความคิดเห็นที่ 6
เมื่อ 12 ก.ค. 06, 00:06
คุณติบอทักผิดคนแล้วครับ ผมคนละท่านกับคุณ Japonica
ผมอยากจะรู้ว่ารถรางสมัยโบราณวิ่งได้อย่างไร ถ้าสมาชิกท่านไหน
ทราบ เล่าให้ฟังจะขอบคุณหลายๆ เด้อ
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 7
เมื่อ 12 ก.ค. 06, 07:07
ตอบคุณโพธิ์
รถรางจะวิ่งได้ถ้าไม่ใช้ม้าลากรถโบราณที่เราเรียกว่า “แทรม” (tram/street car) ก็ต้องมีเฮอคิวลิส
ดึง หรือช้างถีบ ถ้าม้าต้องลากผู้โดยสารหนักๆ บนถนนสูงชัน ม้าอาจขาดใจตายเสียก่อน
ถ้าคุณโพธิ์จัดรถรางในความเห็นที่ 5 ว่าเป็นรถรางสมัยโบราณละก็ อยากทราบว่าวิ่งอย่างไร
ให้สังเกตเคเบิลสีดำบนหลังคารถที่ชี้ขึ้นท้องฟ้า สายเคเบิลเส้นนี้คือสะพานไฟที่รับไฟฟ้าจากเคเบิล
บนถนนมาสู่รถราง ถามว่าเอาไฟฟ้ามาทำไม ก็เอามาหมุนมอเตอร์ ให้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น
พลังงานกลนั่นเอง
หากคุณก้มลงไปมองใต้ท้องรถรางไฟฟ้ายุคแรกๆ (เช่น เคเบิลคาร์ สาย K, L, M ) ที่ซานฟรานซิสโก
จะมีหลักการคล้ายคลึงกับสิ่งต่อไปนี้ (ไม่เหมือน แค่คล้าย) จากมอเตอร์ จะมีเพลาที่ต่อกับมู่เล่ย์ตัวที่หนึ่ง
(ชื่อที่คนไทยเรียก มาจากภาษาอังกฤษว่า pulley) เพลามู่เล่ย์ตัวที่ 2 คือ เพลาล้อ มู่เล่ย์ตัวที่หนึ่งที่ต่อ
กับมอเตอร์จะหมุนได้ด้วยไฟฟ้า และมีสายพานเป็นตัวชักลากให้มู่เลย์ตัวที่ 2 หมุนตามมู่เลย์ตัวแรก
เมื่อมู่เล่ย์ทั้งสองตัวหมุนเพลาล้อ (ที่ต่อกับมู่เล่ย์ตัวที่ 2) ก็จะหมุนด้วย ทำให้รถวิ่งได้
-รูปที่เห็น ลูกศรล่างคือมู่เล่ย์ตัวที่หนึ่ง ที่ถูกขับด้วยมอเตอร์
มู่เลย์บนสีดำรับแรงขับมาจากมู่เล่ย์สีเงินด้านล่าง ผ่านสายพาน
.
บันทึกการเข้า
Japonica
ชมพูพาน
ตอบ: 109
ทำงาน
ความคิดเห็นที่ 8
เมื่อ 12 ก.ค. 06, 07:09
สายพานซึ่งทำด้วยยางและไนลอนอาจจะขาดหรือหย่อนง่าย อุปกรณ์ชิ้นนี้ค่อยๆพัฒนาเป็นโซ่
ซึ่งมีอายุการใช้งานนานกว่า ในมอเตอร์ไซค์ เมื่อเครื่องยนต์หมุน ล้อหลังก็หมุนด้วยเพราะเราต่อโซ่
ให้ล้อหลังหมุนตามเพลาเครื่องยนต์ เมื่อล้อหลังหมุน ถึงไม่ต้องต่อโซ่ไปล้อหน้า ล้อหน้าก็หมุนตามล้อหลัง
ไปเอง เสมือนมีช้างมาถีบ
ถามว่าทำไมถึงไม่ใช้แบตเตอรี่เป็นตัวเก็บไฟเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์กระแสตรงในรถรางไฟฟ้า?
ต้องตอบว่าเทคโนโลยีทางแบตเตอรี่ที่ให้กำเนิดไฟฟ้าได้มากแอมแปร์ยังไปไม่ไกลมาก คุณดู
รถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ จะวิ่งไม่เร็ว และวิ่งได้ไม่นานนัก ในอนาคตอันใกล้ ฟิวเซลล์
(Fuel cell) น่าจะเป็นคำตอบ
บันทึกการเข้า
โพธิ์ประทับช้าง
องคต
ตอบ: 399
ความคิดเห็นที่ 9
เมื่อ 15 ก.ค. 06, 16:57
55+ ขอบคุณมากครับ ที่อุตส่าห์ไปหามา
เมื่อก่อนในกรุงเทพ รถรางมีวิ่งจากไหนไปไหนบ้างครับ ?
ตีตั๋วพาทัวร์รถรางเลย จำได้ว่าเคยเห็นรางรถอยู่ข้างๆ
ศาลหลักเมือง
บันทึกการเข้า
หน้า: [
1
]
พิมพ์
กระโดดไป:
เลือกกระทู้:
-----------------------------
General Category
-----------------------------
=> ศิลปะวัฒนธรรม
=> ภาษาวรรณคดี
=> ระเบียงกวี
=> ชั้นเรียนวรรณกรรม
=> หน้าต่างโลก
=> ประวัติศาสตร์โลก
=> ประวัติศาสตร์ไทย
=> ทันกระแส
=> วิเสทนิยม
=> ห้องหนังสือ
=> ชมรมอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมไทย
Powered by SMF 1.1.21
|
SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder
XHTML
|
CSS
|
Aero79
design by
Bloc
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.031 วินาที กับ 19 คำสั่ง
Loading...