เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 6246 ทานกับบริจาคะต่างกันตรงไหน
มดในพุงฉลาม
อสุรผัด
*
ตอบ: 1

นอนเล่น


 เมื่อ 09 ก.ค. 06, 23:10

 ทานกับบริจาคะต่างกันตรงไหนหล่ะ
บันทึกการเข้า
แผ่วพริ้วเพลินเพลง
อสุรผัด
*
ตอบ: 2

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 10 ก.ค. 06, 00:11

 แหมถามยากจัง..
ทั้งสองคำนี้ เข้าใจว่าคือการให้เหมือนกันค่ะ แต่ถ้าพูดว่า ทำบุญให้ทาน คำ ให้ทาน หมายความว่า สงเคราะห์หรือการช่วยเหลืออุดหนุนให้แก่ชนทุกชั้น ไม่ว่าจะเป็นให้เพื่อบูชาคุณ เพื่อตอบแทนอุปการะ หรือเพื่อสงเคราะห์
ฉะนั้นการทำทานนี้อาจให้ในลักษณะของการกระทำหรืออย่างอื่นได้หลายอย่างไม่จำกัดแค่การให้สิ่งของ..
ในขณะที่ คำว่าบริจาค เป็นการให้แต่ให้เป็นสิ่งของหรือเปล่าคะ?
...
ขอตัวช่วยค่า แหะแหะ
บันทึกการเข้า
โพธิ์ประทับช้าง
องคต
*****
ตอบ: 399


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 10 ก.ค. 06, 09:42


คิดว่าเป็นคุณธรรมที่มีประโยชน์ เหมาะสำหรับชีวิตประจำวัน
ผมเลยขอรับใช้เล่าให้ท่านฟังสักหน่อย ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด
หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ

บริจาคะ และ ทาน นั้น อาจจะดูเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างกัน
บางประการ ลองพิจารณาดูนะครับ

บริจาคะ และ ทาน นั้น หมายถึง การให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจแก่ผู้อื่น
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ประกอบด้วย 3 สิ่ง คือ ผู้มอบ-การให้-ผู้รับ
แม้กระทั่งการกรวดน้ำ บริจาคะ และ ทาน ถือเป็นบุญกุศล
เป็นคุณงามความดีที่ชาวพุทธพึงมีให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

การดับความโลภด้วยการให้ คือ บริจาคะ
---------------------------------------------------------------------
บริจาคะ มาจากคำว่า จาคะ (เสียสละ-สละ-ละ)
เช่น การบริจาค, การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม,
การสงเคราะห์ เป็นต้น ยังหมายรวมไปถึง การสละละทิ้งกิเลส,
ละความโลภ, ความเห็นแก่ตัว และ ความตระหนี่ จาคะยังเป็น
หนึ่งในคุณธรรมสิบอย่างที่ปรากฏอยู่ในทศพิธราชธรรม

* จาคะ มี 3 ระดับ คือ
1. เสียสละ นังผลให้ไปสู่สวรรค์กามาวจรภพ
2. สละ ยังผลให้ไปสู่พรหมโลก
3. ละ ยังผลให้ไปสู่นิพพาน

การบำพ็ญบารมีด้วยการให้ คือ ทาน
---------------------------------------------------------------------
ชาวพุทธควรบำเพ็ญ เมื่อบำเพ็ญแล้วจะเกิดบารมี
(กำลังใจเต็ม) ถือกันว่าเป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบารมี 10 ทัศ
ซึ่งพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญในการเสวยพระชาติสุดท้าย ก่อนที่จะ
ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพานเป็นพระพุทธเจ้า

* ทาน มี 3 ระดับ คือ
1. ทานทรัพย์ คือ การให้ด้วยทรัพย์
2. วิทยาทาน คือ การให้ด้วยปัญญา
3. อภัยทาน คือ การให้ด้วยความไม่ถือโกรธ ไม่พยาบาทมาดร้าย
เป็นการบำเพ็ญทานบารมีขั้นสูงที่สุด แต่คงไม่ยากเกินไป ?

ฝาก KEYWORD ไว้ จำง่ายๆ ครับ
* ผู้มอบ - การให้ - ผู้รับ
* จาคะ - เสียสละ - สละ - ละ
* ทาน - ทานทรัพย์ - วิทยาทาน - อภัยทาน
บันทึกการเข้า
แผ่วพริ้วเพลินเพลง
อสุรผัด
*
ตอบ: 2

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 10 ก.ค. 06, 23:41

 ลึกซึ้งมากค่ะ ได้รับความรู้ใหม่เป็นผลพลอยได้ไปด้วยเลยเรา    
บันทึกการเข้า
โพธิ์ประทับช้าง
องคต
*****
ตอบ: 399


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 11 ก.ค. 06, 23:36

 นำ จาคะ และ ทาน ไว้ติดใจ จะเกิดความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับครับ
บันทึกการเข้า
ทามะ
อสุรผัด
*
ตอบ: 23

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 15 ส.ค. 06, 20:24

 ได้ความรู้ขึ้นมากเลยคับปกติผมใส่บาตรทุกเช้าและทำบุยทุกครั้งมีโอกาสก็ไปนั่งวิปัสสนาบ้างสวดมนต์ที่บ้านและศึกษาธรรมะจากวิทยุบ้างหนังสือธรรมะหลายๆวัดยังไม่เคยเห็นคำว่า จาคะ  ทำให้ได้ความรู้มากขึ้นเรื่องทำบุญทำทานปกตินิสัยอยู่แล้วคับผมชอบฟังนะคับแต่ไม่ชอบติดตามพระนะคับผมว่าธรรมะอยู่ที่ใจถ้าใจเราเข็มแข็งรัรองความโกรธความโลบไม่มีแน่นอนคับ
บันทึกการเข้า
น้ำใส
อสุรผัด
*
ตอบ: 47


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 16 ส.ค. 06, 08:48

 ทาน เป็นการให้ปันสิ่งของที่มี เช่น ทรัพย์สินเงินทอง เสื้อผ้า อาหาร ให้สิ่งมีชีวิต เช่น วัว สุนัข แมว หรือยิ่งกว่านั้น คือ บริจาคเลือดให้สภากาชาด
คนให้ทาน ย่อมเป็นที่รัก
การที่จะเป็นเพื่อนกัน จะปราศจากเรื่องของทานไม่ได้ เพราะต้องมีการซื้อขนมมาแบ่งกันกิน ถ้ากินอยู่คนเดียวก็คงหาเพื่อนไม่ได้
แต่ถ้าสูงขึ้นไปกว่าระดับเพื่อน คือเป็นคู่ครองกัน ทานอย่างเดียวไม่พอ ต้องระดับ จาคะ คือการมีน้ำใจเสียสละ การแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ตลอดจนการเสียสละความพอใจและความสุขส่วนตนได้ เช่น ในคราวที่คู่ครองประสบความทุกข์ ความเจ็บไข้ หรือมีธุระกิจใหญ่เป็นต้น ก็เสียสละความสุขความพอใจของตน ขวนขวายช่วยเหลือ เอาใจใส่ดูแล เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นกำลังส่งเสริม หรือช่วยให้กำลังใจได้โดยประการใดประการหนึ่ง ตามความเหมาะสมรวมความว่า เป็นผู้จิตใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละ ไม่คับแคบเห็นแก่ตัว
ชีวิตครอบครัวที่ขาดจาคะ ก็จะไปไม่รอด เพราะต่างฝ่ายต่างเอาแต่ใจตนเอง ผลสุดท้ายก็ต้องอยู่กับตนเองตามลำพังนั่นเอง
ตอบผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ  
บันทึกการเข้า
ทามะ
อสุรผัด
*
ตอบ: 23

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 25 ส.ค. 06, 19:38

 ถูกต้องคับผมชีวิตคู่ต้องมีจาคะมากๆคับผมแต่ในปัจจุบันนี่กว่าจะหาเจอก็ต้องใช้เวลาพอสมควรนะคับยิ่งในปัจจุบันนี้ต้องมีจาคะมากๆเพราะวิถึชีวิตได้เปลี่ยนไปมากกว่าสมัยก่อนที่จะมีจาคะกันมากกว่าในปัจจุบันผมว่าอย่างนี้ไม่ทราบว่าความเห็นของผมผิดมั้ยคับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.06 วินาที กับ 19 คำสั่ง