เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17
  พิมพ์  
อ่าน: 45915 สามแผ่นดิน
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 10:58

 เข้ามากินขนมชมวัดครับ

เมื่อวานได้ดูรายการคุณพระช่วยก็เห็นพาไปชมวัดนี้เหมือนกัน

ก็ไม่ทราบว่ารายการเวลากระชั้นชิดหรือไรจึงได้ดูแต่พระแท่นที่ประทับพระนั่งเกล้า

ท่านเป็นผู้ที่ทำให้มีสีสันในรัตนโกสินทร์จริงๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 11:00

 ขนมที่เอามาตั้งอยู่หลังวัด ไม่กลัวกาโฉบไปกินนั่นขนมลิ้นแมวหรือเปล่าคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 14:27


.
พาพรรคพวก เดินกินขนมชมวัด  ตามไปด้วย
 http://www.dhammathai.org/watthai/bangkok/watratchaorasaram.php  
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 14:33

 อาจารย์เทาฯ ทำพวกเราอดของดีซะแล่ว
พระนิพนธ์สมเด็จฯ แม้ไม่กี่ประโยค พวกเราเคี้ยวกินอิ่มท้องจนท้องแตกตาย ก็ยังเหลือ
ไม่เหมือนผม น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง
------

ยกวัดราชโอรสมาเสนอเป็นสำรับแรก....(เอ นี่เรากะลังทำกับข้าวกันรึไงนี่) เพราะต้องการเน้นว่า ความเป็นรัตน์โกสินทร์เริ่มต้นในรัชกาลนี้ และความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดในรัชกาลที่ 3 และ 4 ก็มาจากจุดกำเนิดในรัชกาลที่ 2 อีกเช่นกัน
นักวรรณคดีคงมีประเด็นจะเสริมได้มากกระมัง

เมื่อตอนปฎิสังขรณ์วัดจอมทองนั้น พระนั่งเกล้าพระชนม์ประมาณ 35 (ปีเริ่มนั้นไม่แน่นอน แต่ที่ยกออกไปเตรียมสกัดทัพพม่านั้น ท่านสัก 33-34 กระมัง กลับเข้ามาก็คงเริ่มงาน แต่กว่าจะเสร็จก็นานข้ามรัชกาลทีเดียว) ทำราชการมาตั้งแต่เริ่มรัชกาลเป็นอย่างน้อย ตอนที่กาละฟัดเข้ามาจะเอาเปรียบสยามนั้น ยังนินทาว่า ทรงเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองสูงสุด แทบจะว่าถ้าทรงเห็นอย่างไรแล้วพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องยอมตาม
ผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่าฝรั่งนายนี้มารยาททรามเหลือทน อังกฤษเอาคนอย่างนี้เข้ามาทำเรื่องสำคัญมีแต่จะล้มเหลว กาละฟัดได้ไปชมวัดราชโอรสด้วย ถ้าประเมินจากความเห็นดูถูกคนพื้นเมืองที่เขามีเป็นปกตินิสัยแล้ว อังกฤษนายนี้ชมวัดก็ต้องถือว่าแปลกมากๆ และในวันนั้น วัดคงงดงามจนคนโง่ก็รู้ว่างามกระมัง

มีของใหม่มากเหลือเกินที่วัดนี้ พระยาไชยวิชิต (เผือก คนนี้กระมังที่ไปเป็นเจ้าเมืองกรุงเก่า ที่สุนทรภู่เคยอ้างถึง...ไม่ทราบว่าจำผิดหรือเปล่า ใครรู้ช่วยแกที) สามารถสรุปสิ่งใหม่ได้หลายข้อทีเดียว
1.....ลายฝรั่ง
2.....อย่างนอก
และข้อมูลที่พิเศษสุดก็คือ การจ้างช่างจีนเข้ามาทำงาน
นี่เป็นการเดินนอกแถวระบบศักดินาที่มีมาเป็นหลายร้อยปีกระมัง
คือ แทนที่จะใช้แรงงานเกณฑ์ ท่านใช้วิธีจ้างงาน ซึ่งน่าจะได้ผลตามต้องการมากกว่าระบบเดิม
ระบบจ้างงานจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จนกลายเป็นระบบคู่ขนานกับการเกณฑ์แรง และอาจจะสำคัญกว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อปรากฏว่า งานสำคัญๆระดับสาธารณูปโภคของเมือง จะใช้ระบบจ้างงานต่อไป

ใหนๆก็พูดเกินศิลปะไปแล้ว
ก็ขอตามน้ำอีกสักประเด็น คือ รัชกาลที่ 2 นี้เอง ที่เริ่มระบบราชกาลที่จะกลายเป็นกระดูกสันหลังของการปกครองไปอีกนับร้อยปี คือการตั้งเจ้านายกำกับราชการ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ต้องยกหัวแม่โป้งให้หมดตัวเลยละครับ
ระบบนี้ดียังไง.................


(ประกาศคนหาย)
ชายสูงอายุ มีป้ายปิดหน้าผากว่ารักพระนั่งเกล้า....
ท่าทางเลอะเลือน
หายไปจากร้านขายสีตั้งแต่สองวันก่อน
ใครเจอ โปรดนำส่งลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 17:00

 ช่วยตามหาชายป้ายปิด  ไม่เจอคุณลุง  พบแต่ชายหนุ่มอายุยังไม่ครบปีบวช   และยังไม่มีเหย้าเรือน
แกแต่งเต็มยศสีกากีชุดกำนัน    ไปรับแหนบทองคำกำนันดีเด่น   เห็นแวบๆแถวช่อง 11 นี่ละค่ะ
เดี๋ยวฉลองกับเพื่อนๆเสร็จแล้ว แกก็คงวิ่งกลับมาถวายบังคมที่วัดราชโอรสเอง
++++++++++++
ดิฉันคัด "สาส์นสมเด็จ"มาให้  รอแกไปพลางๆก่อน  พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยานริศราฯ

" พิจารณาวัดราชโอรส เห็นได้ว่าวัดนอกอย่างนั้น  ไม่ใช่แต่เอาช่อฟ้าใบระกาออกเท่านั้น
สิ่งอื่นเช่นลวดลายและรูปภาพเป็นต้น ก็แผลงไปเปนอย่างอื่นหมด
คงไว้แต่สิ่งอันเป็นหลักของวัด  อันจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น โบสถ์ วิหาร เป็นต้น

นอกจากทรงสร้างตามพระราชหฤทัย ไม่เกรงใครจะติเตียน   แต่ตั้งพระราชหฤทัย ประจงให้งามอย่างแปลก  มิใช่ทรงสร้างแต่พอให้เป็นบุญกริยา"
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 18:59

 พระนิพนธ์ของสมเด็จฯนริศนั้น ตัดออกไม่ได้แม้แต่หนึ่งตัวอักษร ถ้าเป็นมนุษย์ก็เรียกว่าไม่มีไขมันส่วนเกิน
แม้แต่หนึ่งหยดน้ำมัน ประโยคเดียวนี้ ขยายทำวิทยานิพนธ์ได้สองเล่มเชียวครับ
เล่มแรกคือประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมไทย
อีกเล่มคือประวัติศาสตร์สุนทรียศาสตร์ไทย
ใครทำ ผมจะไปคอยส่งข้าวส่งน้ำให้

ขอย้อนมาว่าเรื่องเจ้านายทรงกรมก่อน
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หรือกลางเก่ากลางใหม่ ชอบสรุปว่ารัชกาลที่ 5 ทรงโยงอำนาจกลับสู่องค์พระมหากษัตริย์ได้
จึงปฏิรูปราชการไทยสำเร็จ นัยยะก็คือตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์มา อำนาจอยู่กับขุนนาง โดยเฉพาะตระกูลบุนนาค
ผมเองไม่เห็นด้วยแต่ไม่ได้สนใจนัก เพราะบ้านเมืองไม่ใช่ของผมคนเดียว
อ้าว ..เกี่ยวอะไรล่ะพี่
เกี่ยวสิน้อง ก็เขาเป็นเอกอัครนักประวัติศาสตร์ เขาว่ามาเราก็ต้องเชื่อ
เพราะเราจ้างเขาด้วยภาษีอากรให้มาทำงานอย่างนั้น ไม่เชื่อเขา ก็ต้องปลดออก
แล้วจะเอาใครที่ใหนมาเป็นครูประวัติศาสตร์กันเล่า

เออ  จริงแฮะ.......
ผมก็เลยนิ่งเสียตำลึงทอง แต่ในใจก็นึกว่า ฮี่โด้...ร. 2 ท่านให้เจ้านายกำกับราชการมาแต่ปีมะโว้แล้ว
ข้าราชการยุดรัตนโกสินทร์น่ะ ไม่ได้มีอำนาจราชศักดิ์ล้นเหลืออย่างปลายอยุธยา
ซึ่งพระราชวงศ์ฆ่ากันตายยังกับหนังของไอ้โรคจิต ตารันติโน่
แต่ละรัชกาลนั้น น่าจะตายกันเป็นเบือ
บ้านเมืองตกอยู่ในการดูแลของขุนนาง ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามีมาตรฐานทางปัญญาที่ต่ำกว่าเจ้านายเป็นอันมาก

ถึงรัชกาลที่ 1 บันดาเจ้านายยังไม่พอใช้งาน แต่ถึงรัชกาลที่ 2 นี่ ท่านมีพี่น้องชาย 14-15 พระองค์
ล้วนหนุ่มฉกรรจ์ ได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดี จึงเกิดระบบราชการที่น่าสนใจยิ่ง
สมัยอยุธยานั้น เมื่อมีพี่น้องมาก ท่านใช้วิธีไล่ออกไปครองเมือง ต่างคนต่างอยู่ จนมาถึงตอนปลายก็พบว่า
วิธีนี้เป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ก็เลยไม่มีระบบเจ้านายครองเมือง

ถึงรัชกาลที่ 2 เจ้านายเหล่านี้ ก็ยังไม่มีเมืองให้ครอง เพราะพม่าเข้ามาทำลายระบบเมืองป้อมทิ้งทั้งหมด
เมืองใหนมีค่ายคูประตูเมืองก็ทำลายทิ้ง ข้างไทยก็เห็นว่าเข้าท่า ตั้งแต่นั้นหัวเมืองจึงเปลี่ยนวิธีป้องกันตัว
คือต้องพึ่งเมืองหลวงอย่างเดียว

ผมเดาเอาว่าเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก คงเห็นตัวอย่างเมืองพิษณุโลก
ที่มีป้อมค่ายมั่นคง ทิ้งไว้ก็เป็นภัยเพราะซ่องสุมผู้คนง่าย
ดังนั้น จึงโปรดให้รื้ออิฐจากกำแพงเมืองอยุธยามาใช้สร้างกรุงเทพ
เพื่อสลายการป้องกันตนเอง ไม่ให้กระทำได้ แล้วพอมีเหตุให้ชุมนุมผู้คน
เช่นตื่นกันเรื่องเทวรูปพระเจ้าอู่ทอง ท่านก็โปรดให้เชิญเทวรูปนั้น
มากรุงเทพ ตัดสาเหตุที่ไฟจะลามทุ่งทิ้งทั้งหมด

การที่คนมีสติปัญญามาชุมนุมในพระราชสำนักจึงเป็นกำลังอย่างวิเศษ
ให้ไทยฟื้นประเทศ จะเปรียบไปแล้ว รัชกาลที่ 2 ท่านก็เป็นคอนดัคเตอร์
คุมวงดนตรีประเทศสยามไปในทิศทางที่ทรงโปรด
ถามว่าท่านฉลาดพอจะทำอย่างนั้นได้ใหม
ก็ลองไปอ่านพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 ดู ว่ากวีระดับนั้น
คุมวง 3 ประเเทศยังสะบาย ...สะบายมั้งครับ แถมยังมีหัวหน้านักดนตรี
เป็นลูกชายคนโตซึ่งเป็นอัจฉริยะบุรุษอีกด้วย
16 ปีในรัชกาลนี้ ก็เลยถูกนักประวัติศาสตร์ชั้น 2 มองว่า บ่มิไก๊

เห็นฉลองกันอยู่นั่นแหละเรื่องละคอนนอก ปีละหน
ทำไมเขาไม่ศึกษากันหนอ ว่า 16 ปีนี้ เปลี่ยนประเทศไทย
ไปในทิศทางใด

รู้สึกจะเกินเรื่องสถาปัตยกรรมไปมากแล้ว เดี๋ยวจะมาคุยต่อครับ

ขอเวลาไปสอบที่โรงพักหน่อย แจ้งความคนหายไว้   555555ขีนไม่มาช่วยผม
สามแผ่นดิน จะกลายเป็นหลายแผ่นดิน สุดท้ายจะเพี้ยนเป็นนิยายไปน่ะนา
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 19:30

 ทีนี้จะมาคุยเรื่องการช่างเสียที
วัดราชโอรสนี้ ฝีมือก่อสร้างประดุจเทพยดา
ผนังทุกระนาบ ขึงตึง ยังกับเพิ่งฉาบปูนเสร็จ เนื้อปูนฉาบก็เนียนละเอียด
(ผมไม่รู้ว่า กรมศล๊วกปะรากรซ่อมแล้วจะดีกว่าเดิมสักแค่ใหน ดังนั้น เล่าตามที่ผมจำได้ละกัน) และเสาทุกต้น เหลี่ยมมุม
การจับเฟี้ยมตรงดิ่งยังกับวิษณุกรรมประสิทธิ์
ลองนำวัดนี้ ไปเทียบกับวัดเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งท่านสร้างปลายรัชกาล และค้างอยู่
มาทำต่อในรัชกาลที่ 4 ฝีมือคุมงานต่างกันราวนรกกับสวรรค์
ผมเชื่อของผมว่าผู้รับเหมาโกงครับท่าน

ผมเดาเอาอย่างนี้ละกัน
ท่านมาประทับใต้ต้นพิกุล ตรวจแบบ และกำกับการเอง
ตามวิสัยผู้คุมงานที่ถี่ถ้วน ทรายที่นำมา ต้องร่อนละเอียด แห้ง
ต้องคัดชนิดเม็ดงามไม่ใช่ทรายขี้เป็ด ปูนที่ใช้ ต้องหมักได้ที่ ผสมกันอย่างไม่ต้องกลัวเปลือง
และต้องใช้สดๆ มาทำทิ้งค้างเป็นครึ่งค่อนวันรับรองว่าได้เจ็บตัวหลังลายแน่นอน

จะลองยกตัวอย่างงานของคนเดียวกัน แต่ทำไมสีมือห่างกันราวกับครูและลูกศิษย์
สมเด็จเจ้าพระยาฑัตครับ
ท่านคุมงานสร้างพระปรางค์วัดอรุณ ซึ่งเป็นดุษฎีสถาปัตยกรรมของชาติและของโลก
แล้วไปดูพระปรางค์อมโรคของท่านที่วัดพิชัยญาติสิครับ
ห่างกันเกินกว่าร้อยเท่า คือองค์หนึ่งเป็นศิลปะ องค์หนึ่งเป็นแค่อาคาร

ผมคิดว่าสิ่งที่ต่างกัน คือ วัดอรุณ มีผู้คุมเหนือผู้คุมอีกชั้นหนึ่ง
แต่ที่วัดพิชัยญาติ ท่านฑัต คุมตัวเอง
นี่คือข้อแตกต่าง
ถ้าใช้เกณฑ์นี้มาพิจารณา ผมก็ขอเสนอว่า สุดยอดสถาปัตยกรรมที่รัชกาลที่ 3
ทรงควบคุมการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด ได้แก่
วัดราชโอรสาราม
วัดอรุณราชวราราม
วัดมหาสุทธาวาส
วัดสระเกษ
วัดราชนัดดา และวัดเทพธิดาราม
และอีกสองวัด ที่ท่านเพิ่มเติมงานของรัชกาลก่อน คือ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระเชตุพน

ทั้งหมดนี้ จะเห็นจริงได้ ต้องไปกินอยู่หลับนอนวัดละเจ็ดแปดวัน
จึงจะซึมลึกเข้าเนื้อถึงแก่นแท้ของสถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 19:51

 โอ้มายก้อด ....ยัวร์ก้อด .....แอนด์เอาว์ก้อด
ก้อดมันทังโคตรเลยนะกรมศะหลิน.....

นี่มันเอาหินลานวัดของผมไปใหน
มันเอาแผ่นทองประดับอัญมณีของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไป
ท่านอุตสาห์เลือกคัดจากในพระราชอาณาจักรของท่าน
ว่าท้องที่ใด มีของดีของงาม ของคู่ควรกับพระพุทธศาสนา
ท่านเป็นต้องไปตามหามา เลือกจัด เลือกวาง แต่ละก้อนท่านต้องเคยเหยียบ
เผลอๆ จะเคยจัดด้วยพระหัตถ์

พวกเทวทัตเอ๋ย
มันเอาแผ่นหินโสโครกโสกกะโดก อันคู่ควรกับห้องน้ำสาธารณะ มาปูแทน
ผมขอถามหน่อยเถิดว่า หินที่ท่านขนไป ซึ่งมีราคาตามท้องตลาด (ไม่รวมราคาค่าประวัติศาสตร์)
แผ่นละหลายพันบาท มาถูกแทนที่ด้วยปูนซีเมต์อัดชั้นต่ำก้อนละยี่สิบห้าบาท
หินแพงๆพวกนั้นไปใหนหมด
กี่วัดแล้ว ที่ท่านขุดสมบัติชาติขายกินอย่างสิ้นคิด
เอ ....หรือมันคิดละเอียดสะหละตะแล้วหว่า

เอาอะไรคิดกันจ๊ะ
ใช้ไอ้ที่สวมรองเท้าคิดหรือเปล่า นี่มันอาชญากรรมสยองเทียวนะครับ

ขอไว้อาลัยรูปนี้สามวันครับผม

.
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 05 ก.ค. 06, 20:02


.
ของแท้ต้องเป็นอย่างนี้นะจ๊ะ พ่อมหาจำเริญ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 09:36

 มีรูปมาให้ชมไปพลางๆก่อน ค่ะ
ภาพแรกคือหน้าบันพระวิหาร ที่ไม่มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์
.
.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 09:46

 รูปทวารบาล เซี่ยวกาง (หรือเสี้ยวกาง) ที่ไทยรับตำนานมาจากจีน  
สมัยราชวงศ์พระเจ้าถังไท้จง   เซี่ยวกางคือทหารเอก 2 คนชื่อซินซกโป กับอวยชีจง
พอมาเป็นไทยก็กลายเป็นเทวดาไทยไป
.
.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 09:48

 ชอบลายหน้าต่างบานนี้มากค่ะ
.
.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 09:50

 พระพุทธไสยาสน์ของวัดราชโอรส
ไม่ชอบเลยที่เขายังมีเหล็กกั้นเกะกะไปหมด
เอาออกหรือยังไม่ทราบ

ทั้งหมดเอามาจากเว็บนี้ค่ะ วันไปเที่ยว ไม่ได้เอากล้องไป
 http://www.geocities.com/ratorot/
.
.
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 11:32

 โอย เห็นแล้วอยากร้องไห้ค่ะ ต้องไปดูให้ได้เลยวันนี้
บันทึกการเข้า
กุรุกุลา
พาลี
****
ตอบ: 235


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 06 ก.ค. 06, 19:54

 วัดนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายครับ โดยเฉพาะการบูรณะแบบตามใจฉันของทางวัด เป็นเรื่องที่หนาวจริงๆ

ก็คงประมาณเมื่อแปดสิบปีมาแล้ว ครั้งนั้น 2469
"ซ่อมกำแพงแก้ว และประตูกำแพงแก้ว พระอุโบสถ โดย สร้างแบบไทย แทนของเดิมซึ่งเป็นศิลปกรรมจีน ทั้งหมดเลียนแบบจากวัดสุทัศน์"

แล้วก็อีกครั้งราวๆ ปี 2530
คือรื้อศาลารายเดิมที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรียบง่ายออกทั้งหมด และสร้างใหม่เป็น "ศาลเจ้าจีน" สันหลังคา สันตะเข้ ทาสีฉูดฉาดเหมือนโรงงิ้ว
แล้วก็เอาเหล็กดัดห้องแถวมาปิด ก็ไม่ทราบว่าจะสร้างให้คนหรือแมวมันลอดเข้าไปนอน

ชะรอยพระเสื้อเมืองท่านยังทรงเมตตาบ้างที่พระอุโบสถและวิหารได้รับการบูรณะไว้โดยกรมศิลป์ก่อนแล้ว ถ้าปล่อยให้สร้างด้วยวิธีของวัดก็ไม่รู้ว่าวัดนี้เป็นวัดกษัตริย์สร้าง เหมือนโดนมล้างด้วยฝีมือคนไร้รสนิยมบางคน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 17
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 19 คำสั่ง