pipat
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 13 มิ.ย. 06, 22:58
|
|
 . ขยายขึ้นอีก คราวนี้น่าจะเห็นชัดแล้วนะครับ ฮิฮิ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 14 มิ.ย. 06, 00:44
|
|
เอ่อ..........
จะเรื่องมากเกินไปใหมครับ ถ้าผมจะบอกว่า ผมมาจากสายลังกาวงศ์ แล้วก็ไหว้คนเขาไปทั่ว แถมยังชอบคำกลอนตอนจบของรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 อีกด้วย
อยากจะเป็นเครื่องบินเหมือนเดิมง่ะ เป็นไม่ได้ เป็นนกกระจอกก็ยังดี
นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กุรุกุลา
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 15 มิ.ย. 06, 14:25
|
|
เดาไม่ออกครับ ยอมแพ้ครับ อยากทราบเหมือนกันว่ามันคืออะไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 15 มิ.ย. 06, 21:01
|
|
 . เอาเฉพาะตรงธรณีปราสาทหินก่อน ผมเป็นมดตาถั่ว เห็นเป็นถ้วยชา อาจจะเป็นเครื่องยศพระราชทานกระมัง ท่านจิต เล่นถ่ายรูปไป จิบชาไป
สุนทรียรมณ์เหลือประมาณ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 16 มิ.ย. 06, 08:38
|
|
จะเข้ามาทายว่าเป็นหีบเพชรพระอุมาของแงซายก็เกรงใจคุณพนมเทียนว่าเป็นการผจญภัยคนละเรื่องกัน
เรื่องนี้เป็นการผจญภัยของมิศฟะรันซิศจิต ก็ขอทายว่าเป็นหีบสมบัติของท่านค่ะ
คุณพิพัฒน์ออกจากแพไปไกลถึงกลางป่า ดิฉันยังพาลูกทัวร์เที่ยวอยู่แถวตำหนักแพ ท่าราชวรดิฐ ตามมาไม่ทัน กำลังลังเลว่าแดดชักร้อน จะพาลูกทัวร์กลับแพ ระหว่างทางแวะซื้อขนมฝรั่งกะดีจีนกินกันรอเวลาไปก่อนดีไหม
แวะแพของอำแดงเหมือนกับนายริด ขอให้ช่วยพาไปซื้อขนมกระดีจีนให้หน่อย ดิฉันไม่รู้ทาง ก็เลยได้แกเป็นไกด์ท้องถิ่น อธิบายให้ฟังว่า
" ขนมกระดีจีนหรือเจ้าคะ ขายกันถมถืดไปเจ้าค่ะแถวบ้านของพ่อจิตเขา กระดีจีนก็เรียก กุฎีจีนก็เรียก นะเจ้าคะ อิฉันก็ทำเป็นเจ้าค่ะ อ่อ ถามว่าทำจากสิ่งใดฤๅเจ้าคะ เขาทำด้วยแป้งฝรั่งเจ้าค่ะ เรียกว่าแป้งสาลี ผสมน้ำตาล แลไข่เป็ด อย่าเผลอไปหยิบไข่ไก่มาล่ะเจ้าคะ ต้องตัดนมตัดเนยออก ชาวบ้านเขาเหม็นนมเหม็นเนย ขืนใส่ก็ไม่มีใครซื้อ ปรุงแบบดั้งเดิมสืบมาจากกรุงเก่านู่นแน่ะเจ้าค่ะ เขาว่ากันว่าเป็นตำรับท้าวทองกีบม้ามาจากในวังหลวง คนรุ่นอิฉันรู้จักท้าวทองกีบม้าเหมือนรุ่นคุณๆรู้จักท้าวแดจังกึมน่ะแหละเจ้าค่ะ
อ้าว คุยเพลิน ไหนเจ้าคะ ถามว่ากระไร ไม่ทันฟัง อ๋อ ถ้าจะให้กะว่าแป้งกี่ถ้วย น้ำตาลกี่ช้อน อิฉันบอกไม่ถูกดอกเจ้าค่ะ ก็กะๆเอาตามเคยชิน คะเนว่ากลมกล่อมดีก็ใช้ได้ หยอดลงพิมพ์เอาเข้าเตาอบ ใส่ฟืนไม้ตะบูนทั้งข้างล่างข้างบน เผาแล้วกลายเป็นถ่าน ขนมจะหอมหวนทวนลมเจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้ถ่านหายากยิ่งกว่าทอง ของแต่งหน้าขนมฤๅเจ้าคะ ก็หลายอย่าง ลูกพลับแห้งเอย ลูกเกดเอย ฟักเชื่อมเอย โรยน้ำตาลทรายขาวบางๆ แค่นี้ก็รับกันไม่หวัดไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ คุณเจ้าขา"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กุรุกุลา
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 16 มิ.ย. 06, 13:20
|
|
ขนมฝรั่งกุฎีจีนสมัยนี้ผมว่าไม่พิสมัยแล้วล่ะครับ วันก่อนไปชมวิวอยู่หน้าวัดซางตาครูส เห็นคุณยายขายขนมตรงศาลาหน้าวัดก็หมายใจไว้ว่าคงอร่อยลิ้น
ซื้อกลับมาสองห่อ.........
ปรากฏว่าไม่ไหวครับ แห้งจนต้องดื่มน้ำตาม
ขออนุญาตบังอาจแนะนำว่านอกจากซางตาครูสแล้ว ที่บ้านเขมรเองก็ยังมีการทำขนมฝรั่งเชื้อสายโปรตุเกสเช่นเดียวกัน
ชื่อแปลกๆก็อย่าง กุสรัง ปาสแตน ขนมฝรั่งแบบกุฎีจีนก็มีแต่ทำเป็นฤดุกาลช่วงคริสตมาส เคยกินแล้วนุ่มกว่าหลายครับ ข้างนอกกรอบแต่ข้างในแป้งยังเหมือนทำไม่สุก นุ่มๆนิ่มๆเนื้อนวลดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 17 มิ.ย. 06, 12:03
|
|
ยอมรับเหมือนกันว่า ด้วยลิ้นยุค 2006 ขนมฝรั่งกุฎีจีนแห้งไปค่ะ กลิ่นไม่หอม เนื้อไม่นุ่มเหมือนขนมเค้ก คงเป็นเพราะขาดนมเนยซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญไป แต่เมื่อร้อยสี่สิบปีก่อน ลิ้นกินหมากของไทยคงรับรสแป้งและน้ำตาลได้ง่ายดายกว่านมเนย เขาเหม็นนมเหม็นเนยกันพอๆกับปลาร้า
ไกด์ตัวจริงกลับจากพิมายมาชั่วคราว ถามถึงเตาอบและพิมพ์ขนม ว่าสมัยใหม่ไปหรือเปล่า ดิฉันไม่เคยเห็นเตาอบสมัยโบราณ อำแดงเหมือนเธอก็ไม่มีรูปให้ดู ท่านจิตไม่ได้ชักเงารูปเตาอบไว้ มัวแต่ชักเงารูปลูกค้าผู้ลากมากดี ก็ไม่มีเวลาว่างแล้วละค่ะ เท่าที่รู้คือเตาอบโบราณของไทย ออกแบบให้เกลี่ยถ่านไว้ทั้งข้างบนและล่าง เพื่อให้ขนมสุกทั่วถึงกันดี ไม่ใช่ลังถึงนึ่งขนม
เตาแบบนี้เดาว่ามีมาตั้งแต่อยุธยา เพราะคุณท้าวทองกีบม้าต้องใช้นึ่งขนมด้วย แล้วสืบทอดกันมาถึงรัตนโกสินทร์
ส่วนพิมพ์ขนม ดูจากรูปร่างหน้าตาของขนมฝรั่งกุฎีจีน ดิฉันเดาว่าเดิมคงเป็นถ้วยปากกว้าง เป็นเครื่องกระเบื้องของจีน แบบหนาๆ ทนทานต่อความร้อน ยุคก่อนมีพิมพ์สังกะสี เพราะขนมที่ใช้ถ้วยกระเบื้องเป็นพิมพ์ก็ยังมีร่องรอยให้เห็นมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างพวกขนมถ้วยไงคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 17 มิ.ย. 06, 13:06
|
|
ขออนุญาตคุณpipat แวะออกจากเรื่องภาพมาคุยเรื่องขนมกับอาจารย์เทาชมพู และคุณกุรุกุลา ซักความเห็นนะครับ
ผมเดาว่าอย่างนึงที่ทำให้ขนมฝรั่งกระดีจีน มีรสชาติเปลี่ยนไป (แห้งมากขึ้น ?) น่าจะมาจากเนื้อแป้งที่ใช้ทำขนมครับ สมัยก่อน แป้งสาลีที่ใช้ คงสั่งเข้ามาขายกันเป็นถุงๆมีแค่เนื้อหนักแบบที่ใช้ทำขนมปัง และเนื้อเบาที่น่าจะใช้ทำขนมกระดีจีน แต่ทุกวันนี้ เนื้อแป้งที่ใช้ถูกแยกเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด ซึ่งใช้ทำขนมที่แตกต่างกันออกไป เช่น เค้กเนื้อหนัก เค้กเนื้อเบา คุ้กกี้ หรือขนมปังเป็นต้น
คนขายขนมในยุคปัจจุบันก็คงใช้วิธีเลือกเอามาซักเนื้อนึง แล้วทำเป็นขนมออกมาเลย ไม่ได้มาหาอัตราส่วนการผสมแป้งที่เหมาะสม เนื้อขนมก็เลยออกมาแห้งๆอย่างที่อาจารย์และคุณกุรุกุลาตั้งข้อสังเกตไว้
ถ้าไม่อยากให้เนื้อขนมแห้ง วิธีแก้ที่ถูกคือการนำแป้งเนื้ออื่นที่หนักกว่ามาเจือลงไปในอัตราส่วนที่เหมาะสม เหมือนเวลาที่เราทำเค้กใส่ผลไม้แห้งแล้วอยากให้ชิ้นผลไม้เล็กๆลอยแทรกอยู่ในเนื้อได้อย่างเสมอตัวไงครับ แต่กว่าจะหาอัตราส่วนของแป้งที่เหมาสมได้เนี่ยะยากน่าดูล่ะ แล้วก็เสียขนมที่ไม่ตรงสูตรไปอีกเยอะเลย
ผมเลยขอเดาเอาว่าคนขายขนมเดี๋ยวนี้อาจจะใช้วิธีการอบขนมไม่ให้แห้งสนิท เนื้อขนมก็จะมีความชื้นมากขึ้นหน่อย แต่วิธีนี้คนชิมที่ช่างสังเกตชิมเข้าไปจะทราบทันที ว่ามีกลิ่นขาวของไข่แดงมากเกินไป เพราะเนื้อขนมไม่แห้งพอ คนขายก็ต้องมานั่งแก้เรื่องกลิ่นคาวของไข่แดงอีกรอบ อาจจะใช้วิธีเติมกลิ่นสังเคราะห์ลงไปอีกซักกลิ่น เช่นกลิ่นนมแมว ก็ได้ (แต่วิธีนี้ผมมไค่อยชอบล่ะครับ เพราะกลิ่นสังเคราะห์แรงๆดมแล้วทราบได้นะครับ ว่ากลิ่นนี้น่ะ "ของปลอม")
เสียดายครับ ผมทำขนมกระดีจีนไม่เป็น คนที่ทำเป็นผมก็ไม่รู้จักซักคน ไม่งั้นจะลองทำดูซักหน่อยแล้วล่ะครับ แหะ แหะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Oam
แขกเรือน
ชมพูพาน
  
ตอบ: 168
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 12:34
|
|
แวะเข้ามาทักทายคุณ pipat หลังจากได้เจอตัวเป็นๆ ประทับใจกับงานของคุณ pipat มากๆ แล้วจะหาโอกาสมาร่วมวงคุยด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 13:57
|
|
ยินดีครับ ที่ได้มาเจอตัวเป็นๆ ของผม ตัวเป็นๆ ของผม ก็ยินดีที่ได้เจอตัวเป็นๆ ของคุณ Oam เช่นกัน
เอ .... ผมว่าทักทายกันอย่างนี้ มันแม่งๆ อยู่นา 5555
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 14:05
|
|
คราวนี้ ขอย้อนกลับไปดูรูป 151 กันอีทีนะครับ ท่านที่ตาดีหน่อย น่าจะเห็นกล่องอะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่ในหลีบประตู เป็นกล่องสี่เหลี่ยม มีผ้าคลุมเสียด้วย ถามคนเดี๋ยวนี้ อาจจะมีบางคนนึกว่าเป็นห้องอบสมุนไพรอะไรประมาณนั้น รับประกันซ่อมฟรีว่าไม่ใช่นะครับ
ท่านจิตของผม ไม่อุตริไปตั้งสปารารมณ์กลางป่าหิมพาต์ เอ้ย กลางพิมายเป็นอันขาด
แต่จะเป็นกล่องอะไร ลองทิ้งท้ายให้พ่อแม่พี่น้องลองเดาเล่น ใครเดาถูกก็อนุญาตให้ไปซื้อขนมกระดีจีน ที่หน้าประตูธรรมศาสตร์ด้านท่าพระจันทร์ รับประทานเล่น อร่อยพอประมาณ
แต่จะเลิกกิจการไปแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 15:43
|
|
เคยได้ยินคุณpipat เฉลยไปแล้วครับ ว่าไอ้เจ้ากล่องที่ว่าน่ะคืออะไร เลยตอบไม่ได้เดี๋ยวโดนเตะก้นเอา แต่ย้อนกลับไปดูภาพที่ 151 ใหม่แล้วเห็นอะไรแปลกๆครับ
พ่อหนุ่มคนที่นั่งยองๆในภาพน่ะ ตัวใสๆยังไงก็ไม่รู้นะครับ (อย่างน้อยก็ใสจนมองเห็นกรอบประตูด้านหลังได้ล่ะ กรึ๋ยๆ) เขาเป็นใครน๊อ เป็น ผะ ผะ ผะ ผี๋ ในรูปถ่ายหรือเปล่าอ่ะครับ คุณpipat หรือแค่คนธรรมดาที่เข้ามาอยู่ในรูปช้าไปหน่อยหรือเปล่าครับ ภาพเลยบันทึกเอากรอบประตูเข้าไปด้วยบางส่วนครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 17:48
|
|
เปิดหน้ากล้องนานมากครับ พ่อหนุ่มคนนั้นคงถอดใจเสียก่อนเลยเดินออกมาระหว่างกระบวนการ หรือม่ายก็อย่างที่คุณติบอสงสัย คือเขาเดินเข้าไประหว่างที่กล้องถ่ายรูปอยู่
ถ้าเป็นกรณีนี้ ตอนจบอาจมีรายการเบิ๊ดกระโหลกกันมั่ง
ส่วนเจ้ากล่องนั้น ขอเดาดูสักตั้งว่าเป็นห้องมืดเคลื่อนที่หรือเปล่าครับคุณ pipat
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 18:36
|
|
อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเดาแล้วละครับ ตอบถูกอย่างไม่มีข้อให้บิดพริ้ว นั่นคือห้องมืดเคลื่อนที่ของช่างภาพทุกคน ในยุค 150 ปีก่อน
ยุคนั้น มิสเตอร์โกดัก ยังไม่เกิด ฟิล์มสำเร็จรูปก็ยังไม่มี แม้แต่ฟิล์ม ก็ยังไม่ถูกผลิตนะครับ
มิศฟะรันซิศ จิต ก้อเลยต้องทำวันสะต็อป เซอร์วิศ ครับ ชงเองกินเอง เอ้ย...ไม่ใช่ ต้องทำทุกอย่างที่จำเป็นเอง แล้วเวลาถ่ายรูปทีนะครับ จะต้องมีลูกหาบอย่างกะนักร้องลูกทุ่ง คือนำหีบติดตัวไป 5 ใบ 3 ใบเป็นหีบกล้อง 2 ใบเป็นหีบน้ำยา ผู้ช่วยอีก 2-3 คน ดูรูปก่อนดีกว่า เป็นรูปห้องมืดแบบอยู่กับบ้านหรือสะตูดิโอครับ
.
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 19 มิ.ย. 06, 18:53
|
|
 .
อันนี้เป็นกระโจมห้องมืด มาจากตำราถ่ายรูปรุ่นต้นรัชกาลที่ 5 หลังท่านจิตของผมไปถ่ายรูปพิมายครั้งนี้ ห้าหกปี
ผู้แต่งออกจะเว่อร์สักหน่อยนะครับ แทบจะย้ายบ้านไปทำงานนอกสถานที่ เปรียบเทียบห้องมืดนี้กับของท่านจิต อันนี้รุ่มร่ามกว่าแยะครับ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|