ในสมัยที่พระพุทธเจ้า ไปเทศนามหาสมยสูตร ในเมืองกบิลพัสดุ์ เหล่าเทวดาทั้งหลายก็พากันมาฟังเทศน์กันถ้วนทั่ว วิมานทั้งหลายก็เลยไม่มีเทวบุตรเทวดาองค์ไหนสถิตเลยสักองค์ ยามนั้นปรไมสวรก็พาอุมมาเทวี อันเป็นชายา และบริวาร อันมีนันทิสสรเทวบุตร และ มหิกาลิวเทวบุตร ไปเที่ยวเล่น ก็เห็นวิมานต่าง ๆ นั้นว่างเปล่า ก็นึกฉงน ก็สอดส่องเล็งดู ก็เห็นเหล่าเทวบุตรเทวดาพร้อมทั้งท้าวพระญาศากยะท้งหลายสดับตรับฟังธรรมเทศนาอยู่ อันมี สัมมาปริสัพพาชนิยสูตร พลหทวาทสูตร มหาพยุหสูตร จุฬพยุหสูตร ปราเภทสูตร
ปรไมสวรก็คิดว่าหากเทวดาทั้งหลายฟังธรรมพระโคตรมะแล้ว จะไม่รับเอาข่าวสารแห่งปรไมสวรอีกต่อไป จึงคิดจะทำลายการเทศนาธรรมแห่งพระสมณโคดมนั้นเสีย
ปรไมสวร จึงไปยังป่าช้าอันใหญ่ พร้อมบริวาร แล้วเกลือกกลิ้งเหนือกองไฟที่เผาผีนั้น เพื่อให้เถ้าและหนังผีที่ไหม้ไฟทาตัว เอาข่าย(สิ่งที่ถักเป็นตา ๆ )ดอกไม้ แล้วเนรมิตงูเกี้ยวหัวแล้วแผ่พังพาน เอาเหลาวเหล็กสามอัน เข้าไปสู่ยังสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา
แล้วปรไมสวรก็ขับฟ้อนต่าง ๆ ใครที่จิตพร่องเบาก็โห่ร้องตามการฟ้อนรำของปรไมสวร ไม่เป็นอันฟังธรรม แล้วปรไมสวรก็ให้นามอุมมาเทวีฟ้อนด้วย คนและเทวดาทั้งหลายที่จิตพร่องเบาก็สาธุการต่อการฟ้อนหล่านั้น พร้อมกับตีกลองน้อยใหย่ บัณเฑาะว์ ระนาด ฆ้อง กังสดาล บ้างก็ลุกขึ้นฟ้อนตามไปด้วย จนกึกก้องโกลาหล กวนการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก
แต่เทวดาและฝูงชนผู้เป็นอริยสาวกแล้วนั้น เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น ปรไมสวรก็ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มนี้หวั่นไหวได้ง่ายๆ ส่วนพระพุทธเจ้าก็คล้ายกับว่ามองไม่เห็นปรไมสวร จึงทำการเทศนาจนจบ ปรไมสวรเมื่อเห็นว่า ไม่สามารถทำลายการเทศนาธรรมได้ จึงหนีไป หากขืนอยู่เท่ากับว่าตนเองได้มาสดับฟังธรรมเทศนานั้นด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมจบลงแล้ว ผู้ที่มีใจหนักแน่น ก็ถึงอรหัตผล ประมาณแสนโกฏิอักโขเภณี และถึงโสดาปัตติผลมรรคผล สกิทาคามีมรรคผล และ อนาคามีมรรคผล ได้ ๑ อสงไขย ครานั้น ท้าวพระญาเมืองโกลิยะและเมืองศากยะ ก็ให้ราชกุมารทั้งหลายบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าถึง ๕๐๐ ตน (องค์)
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=50253&page=1ในความเห็นเพิ่มเติมที่ 38, 39, และ 40 ซึ่งโพสต์โดย คุณศศิศ ครับ