เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 15 พ.ค. 06, 20:09
|
|
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 15 พ.ค. 06, 20:30
|
|
หนูเฟื่อง: ฮือๆๆๆๆ แมวน้อย หัวกับตัวคนละทางเลย Nu says: ของใคร…ตัวไหน หนูเฟื่อง: แมวพี่นุชแหละ Nu says: อ้อ เหรอ หนูเฟื่อง: หมายถึงหัวมันไม่อยู่ด้วยกันไง….. หัวขาด Nu says: บอกแล้ว ยังปราณีนะอุตส่าห์ใช้ invert color mode; or else you would be ............ screamingggggggg!! หนูเฟื่อง: นั่นก็กรี๊ดแล้ว ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ Nu says: โอ โอ โออออ หนูเฟื่อง: แงๆๆๆๆๆๆ Nu says: แงทำไม ทีนี้จะเอา multi color/256 shades เลยไหม ขอเวลามิกซ์หน่อย หนูเฟื่อง: โหย...โหดว่ะ พี่นุชอ่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 15 พ.ค. 06, 21:09
|
|
 แง่ง.. |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 15 พ.ค. 06, 21:21
|
|
 หนูเฟื่อง...ฝึกไว้ให้ชินกับความไม่เที่ยงของสังขารานะจ้ะ จะได้พร้อมทุกเมื่อไง |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 00:09
|
|
หลังจากที่โพสต์ภาพท้าวไปแล้ว....
เฮ่ย อันนั้นมันเล่าแชร์แล้วป่าวหว่า เอาภาพมือมาฝากมั่งครับ ฝากทั้งอ.เทาฯ เจ้าของเรื่อง (เผื่ออยากแปลงร่างจากอ.ใจดีเป็นครูไหว ก็ตีมือในภาพก่อนนะครับ) แล้วก็ฝากคุณ pipat ผู้ชื่นชอบ Escher ด้วยครับ จะได้มีกำลังใจหาภาพต่อไปได้อีก
ส่วนคุณเฟื่องแก้วอย่าเพิ่งต๊กกะใจ๋ เป็นลมล้มพับจับไข้หนาวสั่นไปก่อนล่ะครับ ผมว่าภาพฯสวยดีอ่ะ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 00:11
|
|
อันนี้จิ ... น่ากัวก่าเยอะเยย
จิงป่ะคัฟ พี่เฟื่อง อิอิ
ปล. ผมว่าถ้ารวมๆภาพ Escher ในเครื่องของสมาชิกชาวเรือนไทย คงพอเปิดกระทู้ 2 หน้าได้ซัก 1 กระทู้นะครับเนี่ยะ อิอิ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 01:32
|
|
พับผ่าเถอะ
คดีนี้ สางยากยิ่งกว่าคดีห่อสภาไรช์ตาร์กเสียอีก นักสืบพราน บ่นกับผู้ช่วย .
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 03:50
|
|
อุ๊ย ปู่โสม ยังอยู่เฝ้ากระทู้อีกหรือคะ ระวังเน้อ ดึกแล้วน๊า
หาเพื่อนมาเฝ้าทู้ เป็นเพื่อนปู่
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 09:02
|
|
 . หวัดดี..........เ ฟื่ อ ง ง ง ... เพื่อนนู๋ หร่อยแมะ......ท่าทางน่ากิน |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
B
แขกเรือน
ชมพูพาน
  
ตอบ: 148
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 09:18
|
|
มาลงชื่อว่าตามอ่านกระทู้นี้ด้วยความสนุก และรอลุ้นผลการสืบสวนค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ขออนุญาตติง-ด้วยความเคารพนะคะว่า การโพสต์ภาพบางภาพ เช่นศพหรือชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ไม่น่าดูเลยค่ะ ทราบว่าแต่ละท่านที่โพสต์ เพราะต้องการร่วมสนุก แต่โปรดไตร่ตรองถึงความเหมาะสมด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 09:56
|
|
ดินเนอร์มื้อดึกเมื่อคืนนี้ ท่าทางอร่อยกันใหญ่ *********************** คงจะจำกันได้ว่าเมื่อสาวใช้วิ่งวุ่นไปตามหมอ อลิซบอกเพื่อนบ้านว่า แม่เลี้ยงของเธอได้รับจดหมายจากใครไม่รู้ให้ไปเยี่ยมคนป่วย ทุกคนก็เข้าใจว่าคุณนายมาร์ธาไม่อยู่บ้าน เพิ่งมาพบว่าเธอกลายเป็นศพนอนอยู่ข้างบนนั้นเอง
ค้นจนทั่วบ้านก็ไม่มีใครเห็นจดหมายฉบับนั้น ซาร่าห์ประกาศลงหนังสือพิมพ์ให้รางวัลอย่างงามสำหรับผู้หาเจอหรือชี้เบาะแส ก็ไม่มีใครมารายงานสักคน จดหมายลึกลับนั้นก็ยังเป็นปริศนาหาคำตอบไม่ได้ว่าใครเขียน และเขียนทำไม
มีความลึกลับอีกอย่างที่สางไม่ออก ก็คือก่อนหน้าเกิดเหตุประมาณ 10 วัน อลิซไปที่ร้านขายยา แล้วขอซื้อกรดชนิดหนึ่ง เพื่อไปกำจัดแมลง แต่ว่ามันมีฤทธิ์เป็นยาพิษ เจ้าของร้านไม่อาจขายได้โดยปราศจากใบสั่งยาจากหมอ เธอก็เลยซื้อไม่ได้ ต่อมาอีกสองสามวัน นายวิลเลียม ภรรยา กินอาหารเข้าไปแล้วมีอาการอาหารเป็นพิษ ปวดท้องรุนแรงจนต้องนอนแซ่วอยู่ในห้อง หมอประจำครอบครัวถูกตามตัวไปรักษา จนทุเลาเพิ่งลงมากินอาหารได้ตามปกติ แต่จากการผ่าชันสูตรศพ ไม่พบยาพิษหรืออะไรที่ส่อว่าเป็นสารเคมีในกระเพาะอาหารของทั้งสองคน
ความลึกลับน่าพิศวงอีกอย่างก็คือ ญาติที่มาพักที่ว่าชื่อนายเจมส์นั้น ให้การในศาลว่า เดิมนายวิลเลียมตั้งใจจะยกทรัพย์สินให้ลูกสาวทั้งสองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนภรรยา เขาก็ซื้อบ้านให้เช่า เป็นรายได้เลี้ยงตัวเมื่อเขาถึงแก่กรรม แต่ยังไงไม่รู้ นายวิลเลียมเปลี่ยนใจ บอกเขาว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เขายกให้ภรรยา ลูกสาวทั้งสองได้เพียงส่วนน้อย
คำให้การของนายเจมส์ ทำให้อลิซตกที่นั่งลำบากมากขึ้นไปอีก แล้วยังมีหลักฐานแวดล้อมว่า นายเจมส์กับหลานสาวคนนี้ไม่ชอบหน้ากัน ตอนฝ่ายชายมาพัก เขาไม่ได้เห็นหน้าค่าตาอลิซ เพราะเธอเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา แต่ต่างคนต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในบ้าน ถึงกระนั้นก็ไม่ยักถามหาหรือทักทายกันอย่างที่ญาติพึงทำ
ความน่าฉงนยังไม่จบแค่นี้ คือนายเจมส์บอกว่านายวิลเลียมทำ หรือไม่ก็จะทำพินัยกรรมใหม่ แต่ค้นหาจนทั่วบ้านก็ไม่มีวี่แววพินัยกรรม แม้แต่ในตู้เซฟ ก็ไม่มีกระดาษสักแผ่น ที่ยืนยันคำให้การว่าผู้ตายตั้งใจทำอย่างนั้นจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 10:13
|
|
หลักฐานแวดล้อมทั้งหมด ทำให้อัยการเห็นว่ามีน้ำหนักพอที่จะฟ้องอลิซในฐานะว่าเป็นผู้กระทำฆาตกรรมพ่อ และแม่เลี้ยง จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อหา พร้อมทั้งจ้างทนายมาสู้คดีอย่างเต็มสติม กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งครึกโครมนานนับเดือน
จากการนำสืบพยานหลายๆปาก อัยการเชื่อว่าอลิซได้กระทำฆาตกรรมพ่อและแม่เลี้ยงด้วยแรงจูงใจเรื่องมรดก และความชิงชังแม่เลี้ยงเป็นส่วนตัว เธอฆ่าแม่เลี้ยงก่อน แล้วก็อยู่ในบ้านรอจนพ่อกลับมาจากธุระ ย่องเข้าไปขณะพ่อหลับแล้วฆ่าเสียอีกคน หลังจากนั้นก็ตะโกนเรียกสาวใช้ ให้ไปตามหมอ สร้างฉากเหมือนกับว่ามีคนเข้ามาทำร้ายพ่อเธอ
คำให้การวกไปวนมาของอลิซเป็นจุดอ่อนที่อัยการชี้ว่าเป็นพิรุธ และเพื่อให้จำเลยยอมจำนน อัยการทำถึงขั้นไปเอากระโหลกของผู้ตายทั้งสองมา เปิดให้ดูบนโต๊ะในห้องพิจารณาคดี กระโหลกที่ยับเยินด้วยคมอาวุธ ทำให้อลิซเห็นเข้าก็ล้มพับลงไปทันทีกลางห้อง แต่ก็ไม่มีผลอย่างใดต่อจากนั้น เมื่อฟื้นเธอก็ยังยืนกรานว่าเธอไม่ได้ฆ่าอยู่นั้นเอง
ส่วนทนายจำเลยก็มีหลักฐานเด็ดๆมาสู้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ตัดเข้าโฆษณาค่ะ บอกแล้วว่าของดีมีน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 10:33
|
|
คุณ B คงหมายถึงรูปในความเห็น 37 "A harvest of death" Gettysburg, July, 1863 ฝีมือ Timothy H. O Sullivan (1840-1882) เป็นส่วนหนึ่งของกระจกรูปนับหมื่นชิ้น ที่เหลือรอดมาจากการเอาไปล้างรูปทิ้ง เพื่อเอากระจกใสไปทำกรีนเฮาส์ ปัจจุบันเก็บรักษาเป็นสมบัติของชาติสหรัฐ อยู่ที่ library of congress
การแสดงรูปคนตายนั้น โดยทั่วไปถือเป็นการละเมิด และถือว่าแสดงถึงรสนิยมที่เบี่ยงเบนของผู้ดำเนินการ แต่....
สงครามจบเร็วขึ้น ก็เพราะการตีพิมพ์รูปสงคราม อย่างสงครามเวียตนาม เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่ช่างภาพ Time-Life คนหนึ่ง เผยแพร่รูปจากการฆ่า "ล้าง" หมู่บ้านที่ไมลาย โดยฝีมือทหารอเมริกันสติแตก รูปที่ผมนำมาลงนั้น ในตำรายกให้เป็นบิดาของ photojournalism เพราะมันถ่ายทอดความ "เป็นจริง" ของสงครามได้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง ในรูปเดียว ได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของชีวิต ความศักดิ์สิทธิ์แห่งภาระหน้าที่ ความกล้าหาญของวีระบุรุษ และเสียงที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน เราจึงยอมรับได้ว่า บางครั้งรูปคนตายก็เป็นอุปกรณ์สูงค่าให้เราเข้าใจส่วนลึกของความเป็นมนุษย์ ว่าสูงหรือต่ำเพียงใด
ข้างบนถือเป็นคำขอโทษนะครับ หากอาจารย์เทาฯ เห็นว่ารูปของผม อาจจะล่อแหลมต่อความรู้สึกของบางท่าน ก็ขอความกรุณา กำจัดทิ้งเสียบ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
elvisbhu
แขกเรือน
พาลี
   
ตอบ: 215
เป็นคนเขียนรูป
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 11:11
|
|
ดีแล้วครับ เรื่องคุณเทาชมพูยังสยองกว่ารูปที่ลงอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
หมูน้อยในกะลา
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 16 พ.ค. 06, 11:57
|
|
คุณพี่pipat มีหมอนเก่าๆที่ไม่ใช้แล้วบ้างไหมหนา? ผมจะขอยืมมาหนุนนอนทุกคืนซึมซับเอาเสี้ยวแห่งความเก่งกาจปราชญ์เปรื่อง ในทุกเรื่องแห่งประวัติศาสตร์ของพี่ท่านเข้าสู่สมองกลวงๆของหมูฯบ้าง..
(ทุกวันนี้ ถ้าเห็นอาจารย์เทาฯท่านไปนั่งในกระทู้ไหน หมูฯก็ยังรีบแอบไปนั่งแหมะ อยู่ใกล้ๆ หวังจะซึมซับเอากลิ่นอายนักปราชญ์มาสู่ตัวเลย.. )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|