เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
  พิมพ์  
อ่าน: 53017 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค)
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:02

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 113

มายั่วให้อยาก...
เรื่องผิวเผินนั่นแหละค่ะ อยากให้เล่า
คุณส.พลายน้อยและคุณเอนกเล่าว่าไงล่ะคะ

โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]  
วันที่ 25 เม.ย. 2549 - 11:37:30
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:03

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 114

ขอ ๒ หนแล้วนะคะ เล่นตัวจัง ไม่ให้ก็ไม่ขออีกแล้วนะ
ทีขอเจ้าสาว เขายังขอหนเดียวเลย จริงไหมคุณจ้อ

โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]  
วันที่ 25 เม.ย. 2549 - 11:38:49
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:03

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 115

อาจารย์เล่นไม้นี้ ถ้าผมยังเฉยอยู่ จะถูกไล่ออกจากชายคาใหมครับ
ผมขอเปิดเป็นกระทู้ใหม่นะครับ แต่จะเล่าสั้นๆเท่าที่นึกได้ตอนนี้ ผิดถูกอย่าว่ากันนะครับ

ชัย เรืองศิลป์เป็นคนแรก อ้อ ไม่ใช่สิ อาจารย์ชิน อยู่ดีมากกว่า ที่เปิดสมองผมให้รู้จักท่านผู้นี้ ในบทความเรื่องกุเรเตอร์เมื่อร้อยปีก่อน (หนังสือหนึ่งร้อยปีพิพิธภัณฑ์ไทยกระมังครับ) จากนั้นเมื่อมาอ่านประวัติศาสตร์ไทยของคุณชัย เรืองศิลป์ แกอ้างสยามรีโปสิตอรีของหมอสมิท ที่เขียนชมต้นตระกูลเศวตศิลา (แปลว่าหินสีขาว) ว่าเหนื่อยากแสนเข็ญเพียงไร ต้องบุกสวนลุยโคลน กระโจนข้ามท้องร่อง เพื่อรับใช้รัชกาลที่ 4 ตัดถนนเจริญกรุงนอกจนสำเร็จถึงถนนตก
(ถนนเส้นนี้ คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ยุคเบาว์ริงก์มาจนถึงยุคจีไอ แต่ทำไมไม่มีใครทำวิจัยก็ไม่รู้)

ขอตัวไปอ่าน The Wheel of the Law กับ โกศลกิตยานุกิตย์(บางทีเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ท่านก็ใช้คำนี้ครับ)
อีกนานละครับ กว่าจะเอาการบ้านมาส่ง

โดย: pipat  [IP: 58.9.185.221,,]  
วันที่ 25 เม.ย. 2549 - 12:10:19
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:04

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 116

จะรอการบ้านค่ะ นานก็ไม่ว่ากัน
ระหว่างนี้ขอเชิญคุณพิพัฒน์แวะเข้ากระทู้นี้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=18&Pid=4683
ไปเฉลยข้อสงสัยเรื่องงาพระคเณศหน่อยได้ไหมคะ

โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]  
วันที่ 25 เม.ย. 2549 - 13:15:19
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:05

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 117

จาก ค.ห. 29 ฝากวินิจฉัยด้วยครับ ว่าท่านใช้ภาษาอังกฤษได้ดีขนาดใหน
(คุณ pipat ใหน ใหม ใช้ไม้ “ไ” สะกดค่ะ)

กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า...จะรู้ภาษาอังกฤษเพียงใดทราบไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านพูดภาษาอังกฤษ
กับฝรั่งครั้งหนึ่ง ดูเหมือนจะพอสนทนา ปราศรัยได้ แต่การต่อเรือกำปั่นท่านศึกษาจนชำนิชำนาญไม่มีตัวสู้
ในสมัยของท่าน ได้เป็นผู้ต่อตลอดจนเรือกำปั่นไฟในรัชการที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕

โดย: Rinda  [IP: 124.121.186.237,,]  
วันที่ 28 เม.ย. 2549 - 17:33:28
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:06

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 118

ค.ห. 24 หลังคาโบสถ์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

ด้วยพระที่นั่งเดิมที่มีอยู่ล้วนมีขนาดเล็กและชำรุด ไม่เหมาะแก่การรับแขกบ้านแขกเมืองให้สม
พระเกียรติยศ จึงมีการสร้างพระที่นั่งใหม่ โดยวางศิลาฤกษ์วันที่ 17 พ.ค. 2419

ในการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาประสาท พระราชดำริเดิม เป็นที่เข้าใจว่าจะทรงให้สร้างตามสถาปัตยกรรมยุโรป
จึงได้จ้างช่างฝรั่งที่เคยสร้างที่ทำการรัฐบาลที่สิงคโปร์มากระทำ มีสเตอร์ยอนคลูนิช สถาปนิกชาวอังกฤษ
เป็นนายช่าง ตามแบบแปลนเดิมหลังคาพระที่นั่งทั้งสามองค์เป็นทรงกลม

มีผู้เข้าใจว่าสมเด็จเจ้าพระยาเป็นผู้กราบบังคมทูลถวายความคิดเห็นด้วยตัวเอง เพื่อขอให้เปลี่ยนทรง
หลังคาเป็นยอดปราสาท แต่จากจดหมายเหตุที่คัดมา น่าจะเป็นว่าท่านมิได้กราบบังคมทูลเองโดยตรง

“ท้าวราชกิจ (แพ บุนนาค) ได้มาทูล ด้วยสมเด็จเจ้าพระยาสั่งมาให้กราบทูลขอแก้หลังคาพระที่นั่งใหม่
ให้เป็นยอดประสาท 3 ยอด ทรงตอบไปว่าชอบแล้ว การเรื่องนี้ได้ทรงพระราชดำริไว้ในพระทัยว่า
หากจะทำด้วยในพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงสร้างปราสาทไว้ในกรุงเทพฯ เลยประการหนึ่ง ชื่อเสียง
สมเด็จเจ้าพระยาที่เป็นผู้ขอก็จะได้ปรากฏในแผ่นดินเป็นชื่อเสียงมาก ขอให้ท่านเรียกพระยาสงคราม
ไปคิดเถิด”

ด้วยเหตุฉะนี้แลจึงปรากฏเป็นปราสาทยอดแหลม “ฝรั่งใส่ชฎา” นั่นเอง

โดย: Rinda  [IP: 124.121.186.237,,]  
วันที่ 28 เม.ย. 2549 - 17:36:50
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:06

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 119

ไปสิงคโปร์ ดูการทำนุบำรุงเมืองตามแบบอารยประเทศ
(จาก "ยอดคน" ของ ชัย เรืองศิลป์)

การที่ไทยทำหนังสือสัญญากับฝรั่งต่างชาติเรื่องการเก็บภาษีนั้น เป็นเหตุให้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ต้องทรงเปลี่ยนการทำนุบำรุงบ้านเมืองใหม่ให้
ทันสมัย พระองค์ทรงหวั่นพระทัยว่าฝรั่งจะแย่งซื้อข้าวไปหมด จึงทรงมีพระราช
ดำริให้ขุดคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ เพิ่มถนนหนทางให้มากขึ้น และเป็น
การเปิดทางเพื่อให้มีที่ทำนาไร่มากขึ้น

ครั้นปีระกา พ.ศ. 2404 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดฯให้เจ้าพระยา
บรมมหาศรีสุริยวงศ์ออกไปเมืองสิงคโปร์ด้วยกันกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่น
วิษณุนารถนิภาธร ซึ่งได้ทรงบัญชาการกรมพระคลังมหาสมบัติ ให้ตรวจตรา
พิจารณาวิธีที่อังกฤษทำนุบำรุงบ้านเมือง แต่จะกลับมากราบบังคมทูลถวาย
รายงานอย่างไรบ้างหาปรากฏไม่ การทำนุบำรุงกรุงเทพฯตามคติฝรั่ง เช่น
ทำถนนและสะพานสำหรับใช้รถ จัดโปลิศ เป็นต้น เนื่องมาตั้งแต่ทำหนังสือ
สัญญาเปิดการค้ากับต่างประเทศ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เป็นผู้รับสั่งให้ดูแลการเหล่านั้นแทบทุกอย่าง


...เมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้างถนนทั้งสามสายเสร็จแล้วรัฐบาลขอร้องเจ้านาย
ขุนนาง และพวกเศรษฐี ให้ช่วยออกเงินสร้างสะพานข้ามคลองที่ถนนผ่าน
มีผู้สร้างสะพานรวมทั้งสิ้น 17 สะพาน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ได้ร่วมสร้างสะพานด้วย
โดยบริจาคเงิน160 ชั่ง สร้างสะพานเหล็กข้ามคลองรอบกรุงริมวังเจ้าเขมรสะพาน 1
และจ่ายเงิน 13 ชั่ง สร้างสะพานไม้ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมที่ริมป้อมปิดปัจจานึก
1 สะพาน...

ในพ.ศ. 2405 รัฐบาลได้ตั้งเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกรมพระนครบาล
เป็นแม่กองสร้างถนนเจริญกรุงตอนภายในกำแพงเมือง ต่อจากถนนเจิญกรุง
ที่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อำนวยการสร้าง ที่ริมคลองรอบเมืองตรงมาบรรจบ
ถนนสนามชัย ที่มุมวัดพระเชตุพนเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ให้สร้างตึกแถวชั้นเดียวขึ้น
ริมถนนทั้งสองฟาก สำหรับให้คนเช่าทำการค้าขาย...

โดย: Rinda  [IP: 124.121.186.237,,]  
วันที่ 28 เม.ย. 2549 - 17:38:44
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:07

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 120

"ถ้าเช่นนั้นกั้นกำแพงแบ่งกันเสียที่ท้องสนามหลวงก็แล้วกัน"
จดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต

ข้อสำคัญอันหนึ่งในเรื่องประวัติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เมื่อตอนก่อนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คือที่ท่านคิดอ่านยกกรม
พระราชวังบวรวิชัยชาญขึ้นเป็นพระมหาอุปราช ดังปรากฏอยู่ในเรื่อง
จดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต
(ซึ่งพิมพ์ในงานสตมวารของสมเด็จกรมหลวงสงขลาฯ) นั้น มีหลักฐาน
ปรากฏว่าท่านได้ตกลงใจมาแล้วหลายปี เห็นจะเป็นตั้งแต่พระบาทสมเด็จ
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อปีฉลู พ.ศ. 2408 และได้กราบบังคมทูล
ความคิดนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย

เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ามีพระราชดำรัสเล่า ว่าวันหนึ่งพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับ ณ พระทวารหน้ามุข
พระที่นั่งอนันตสมาคมอันเป็นที่รโหฐาน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เข้าเฝ้าฯ ส่วนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับคอยรับใช้
อยู่เบื้องพระขนองของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงสดับตรัสประภาษกับสมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ด้วยเรื่องต่างๆมาจนถึงเรื่องวังหน้า สมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรีสุริยวงศ์จะได้กราบทูลอธิบายว่ากระไรหาทรงได้ยินถนัดไม่ ได้ยินแต่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสตอบว่า

"ถ้าเช่นนั้นกั้นกำแพงแบ่งกันเสียที่ท้องสนามหลวงก็แล้วกัน"


เข้าพระทัยว่าเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์คงกราบทูลอธิบายว่าเห็นจำเป็นจะต้องให้กรม
พระราชวังบวรวิชัยชาญเป็นพระมหาอุปราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไม่ทรงเห็นชอบด้วย แต่จะทรงโต้แย้งขัดขวางก็เห็นไม่เป็นประโยชน์ จึงมีพระราช
ดำรัสอย่างนั้น

เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเล่านี้ ก็สมกับการที่พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องกรมหมื่นบวรวิชัยชาญในเวลาต่อมา
เช่นโปรดฯให้ไปเยี่ยมตอบราชทูตฝรั่งเศส (ที่ปรากฏในหนังสือเรื่องพระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนเสวยราชย์) และเล่ากันว่าเมื่อ
เสด็จออกรับเจ้าเมืองสิงคโปร์ที่พลับพลาหว้ากอ โปรดฯให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ
หมอบเฝ้าฯ ข้างที่ประทับฝ่ายหนึ่ง คู่กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดย: Rinda  [IP: 124.121.186.237,,]  
วันที่ 28 เม.ย. 2549 - 17:43:57
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:07

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 121

ค.ห.70 เรื่องการตั้งวังหน้า ขออนุญาตมองคนละมุมกับคุณ pipat

“เมื่อพ่อได้รับราชสมบัติในเวลาอายุ 15 ปี เท่านั้น เหมือนตะเกียงริบหรี่จวนจะดับ”

พระราชอำนาจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เมื่อยังทรงพระเยาว์มีจำกัด
เนื่องจากมีผู้สำเร็จราชการ ว่าการแทน ดังที่พระองค์ทรงรำพึงในพระราชหัตถเลขา
พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ในโอกาสที่ทรงเจริญ
พระชนมายุ 15 พรรษาว่า “เมื่อพ่อได้รับราชสมบัติในเวลาอายุ 15 ปี เท่านั้น
เหมือนตะเกียงริบหรี่จวนจะดับ”

สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาฯ ประสงค์ที่จะตั้งวังหน้าเป็นเพราะ

1) กรมพระราชวังบวรฯ มีพระชนมายุมากกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 16 พรรษา
โอกาสล่วงลับก่อนพระมหากษัตริย์มีสูง และไร้ช่องทางรับรัชทายาท

2) ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ว่าราชการแทนองค์พระมหากษัตริย์ เป็นตำแหน่งที่มี
ผู้ระแวงสงสัย ทำให้ท่านวางตัวลำบาก จึงต้องตัดระแวงโดยการตั้งพระมหาอุปราช

3) ในภายหน้า หากเมื่อวังหลวงทรงว่าราชการเต็มพระองค์ ท่านจะเป็นตัวกลางสำหรับ
วังหลวงและวังหน้า จึงต้องตั้งวังหน้าเองกับมือเพื่อความอุ่นใจ

โดย: Rinda  [IP: 124.121.186.237,,]  
วันที่ 28 เม.ย. 2549 - 17:48:56
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:08

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 122

ท่านใดเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างไหมคะ

ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจะสวรรคต ได้พระราชทานพระหีบซึ่งทำด้วยทองคำฝังเพชร
พร้อมเงินอีก 1,000 ชั่ง ให้แก่เจ้าพระยาฯ ทั้งหมดคิดเป็นเงิน 96,000 บาท ในสมัยนั้น
คงมีมูลค่าหลายล้านบาทในสมัยนี้

เคยอ่านวีรกรรมของเซอร์ ทอมัส นอกซ์ หลังจากเป็นที่ปรึกษาฝ่ายไทย ก็ได้ไปเป็นกงศุลอังกฤษ
เห็นว่าประวัติแกแสบสุดๆ จนเจ้าพระยาฯบันทึกว่า

"การสนทนาเจรจากับท่านกงศุลใหญ่อังกฤษนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนขยะแขยง เพราะกิริยามารยาทแปลกปลาดของบุรุษผู้นี้ ถ้าเขาไม่มีความเคารพต่อคำพูดของเรา เราก็ไม่มีทางที่เจรจากับเขาได้ ความโอหังของเขานั้น เกินกว่าที่รัฐบาลไทยจะทนได้"

โดย: Rinda  [IP: 125.24.90.212,,]  
วันที่ 29 เม.ย. 2549 - 15:37:19
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:08

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 123

คุณรินดาช่วยเติมเนื้อหาได้ถึงใจจัง กรุณาบอกแหล่งข้อมูลด้วยได้ใหมครับ

ปัญหาวังหน้านี่ ผมว่าต้นสายปลายเหตุมันมากกว่ากรณีของพระองค์เจ้าจอร์จ วอชิงตัน
แต่ใหนแต่ไรมา อำนาจวังหน้า(ตามระบบ) มีไม่มาก ระบบไม่ยอมให้มีเจ้าสองรองจากเจ้าชีวิตอยู่แล้ว
ปัญหาที่ปรากฏมาจากคนทั้งนั้น คือความมักใหญ่ไฝ่สูง หมายความว่าคนๆ นั้น ไปกินตำแหน่งใด คงอดสร้างปัญหามิได้
อย่างวังหน้าร. 1 เริ่มต้นขัดแย้งกัน มิใช่ด้วยเรื่องผลประโยชน์ แต่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาวังหน้าอีกเลย จนสิ้นแผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ

ขอนั่งเทียนเขียนเรื่องก่อนเกิดอย่างนี้นะครับ
สมเด็จเจ้าพระยาท่านเป็นนักปกครองชั้นยอด ที่ท่านทำไป หาใช่ไม่รู้การควรมิควร แต่ท่านเทียบแบบอย่างพระจอมเกล้าครับ

เมื่อรับเชิญเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ 4 เหตุใดทรงยกน้องชายเป็น วังหน้า และยกขึ้นถึงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่สอง
ตอบว่า เพราะจะได้ซ่องสุมอาวุธผู้คนได้อย่างเปิดเผย เพื่อคานอำนาจบุนนาค ถ้าไม่ตั้งให้สูง สรรพกำลังที่เจ้าฟ้าจุฑามณีทรงสะสมไว้ จะให้สลายทิ้งกระนั้นหรือ นองเลือดแน่นอน และกำลังเหล่านั้น ยังคงเพิ่มพูนขึ้น แม้สิ้นพระปิ่นเกล้าแล้วก็ตามที

เมื่อร. 5 เสด็จครองราชย์ ถามว่ากำลังของกรมหมื่นบวรวิไชยชาญ มีมากเพียงใด เราปัจจุบันไม่รู้(เปิดทำเนียบข้าราชการวังหน้า จะพอเห็นเค้า) แต่สมเด็จเจ้าพระยารู้

ถามว่า ไม่ยกท่านขึ้น แล้วจะทำกับท่านอย่างไร ในเมื่อ ร. 4 เองก็ไม่ได้กดพระเจ้าหลานเธอพระองค์นี้ลง หากยกสูงขึ้นอีก โปรดให้เสด็จคู้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เยี่ยมเรือรบฝรั่งเศส ให้นานาประเทศรับรู้

การสถาปนาวังหน้าของสมเด็จเจ้าพระยา จึงเป็นกุศโลบายอันแยบยลแต่ไม่ต้องพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินน้อย

คงจำได้ว่าครั้งสำเร็จโทษหม่อมไกรสรในรัชกาลที่ 3 ทำให้เกิดช่องว่างแห่งอำนาจ เจ้านายพากันฝันไฝ่ว่าจะถูกยก ตระกูลบุนนาคออกกุศโลบายแบบนี้เป็นครั้งแรก คือเลื่อนตำแหน่งยกกระบิ ให้รู้กันว่า ตัวเองจะได้เพียงเท่าไร
ท่านก็บอกกรมหมื่นบวรวิไชยชาญแบบเดียวกันแหละครับ ว่าเป็นได้สูงสุดเพียงวังหน้า อย่าฝันเลยเถิด

นี่ผมเป็นทนายของบุนนาคไปแต่เมื่อไรกันครับ

เห็นกระทู้นี้นิ่งมานาน แวะมาพรมน้ำพรวนดินนิดหน่อย

โดย: pipat  [IP: 58.9.183.177,,]  
วันที่ 3 พ.ค. 2549 - 10:03:14
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:09

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 124

ขออนุญาตมาแจมาในกระทู้นี้ด้วยคนนะครับ พอดีเห็นคุณ pipat เป็นทนายแก้ต่างให้ท่านสมเด็จฯ ก็เลยอยากจะมาแสดงความเห็นที่ต่างออกไปครับ


ผมว่าการตั้งกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ น่าจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ และอำนาจของตระกูลบุนนาคไว้มากกว่า ดังที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านได้เขียนไว้ว่าหากท่านสมเด็จฯ ไม่ตั้งเป็นตัวตั้งตัวตีในการสถาปนากรมพระราชวังบวรฯ และปล่อยให้เป็นพระราชอำนาจของยุวกษัตริย์แล้ว เจ้านาย 1 ใน 3 พระองค์ซึ่งรัชกาลที่ 4 ทรงเคยมีพระราชปรารภว่าจะไม่ทรงรังเกียจเลยหากได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ก็อาจได้เป็นวังหน้า และอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองของตระกูล โดยเฉพาะหากเป็นกรมขุนวรจักรฯ ที่เคยรับราชการทั้งในกรมท่า และกรมพระนครบาล ด้วยแล้ว ก็ไม่น่าไว้วางใจ เพราะอาจจะควบคุมไม่ได้ ก็เหมือนกับปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ได้เลือกพระภิกษุ เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นรัชทายาท เพราะพระองค์สามารถควบคุมดูแลได้ง่ายน่ะครับ


อีกประการหนึ่งความน่าจะเป็นไปได้ที่กรมขุนวรจักรฯ อาจจะได้เป็นวังหน้านั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพระองค์ก็ทรงพระปรีชาสามารถในหลายๆ ด้าน และตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเมื่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเสร็จแล้ว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้วาดพระรูปกรมขุนวรจักรฯ ติดไว้ในห้องน้ำเงิน ทั้งๆ ที่ทรงเป็นเพียงเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าเท่านั้นครับ

โดย: หยดน้ำ  [IP: 202.28.62.245,unknown,]  
วันที่ 3 พ.ค. 2549 - 14:48:02
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:09

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 125

ขอแสดงความคิดเห็นบ้างค่ะ แต่ดิฉันยืนอยู่มุมไหนยังดูตัวเองไม่ออกเหมือนกัน

รอยร้าวระหว่างสกุลบุนนาคกับพระเจ้าแผ่นดินเริ่มมีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 แล้ว ตั้งแต่ยุคสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่(สมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์)และสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย(สมเด็จเจ้าพระยามหาพิชัยญาติ) พ่อและอาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

ขอลอกบันทึกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ มาให้อ่านดีกว่า จะแจ่มแจ้งกว่าย่อมาให้อ่าน

" เมื่อทราบกันว่าสมเด็จพระนั่งเกล้าทรงพระประชวรหนักนั้น ก็ได้มีผู้ตระเตรียมการกันไว้พร้อม
แต่ไม่มีฝ่ายใดพร้อมเพรียงหรือมีกำลังมากเท่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ กับสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย
และท่านทั้งสองนี้ตั้งใจไว้มั่นคงว่าต้องให้ทูลกระหม่อมปู่ได้ราชสมบัติ
และไม่ยอมเปนอันขาดที่จะให้ลูกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าได้
ท่านทั้งสองนี้มีความแค้นเคืองสมเด็จพระนั่งเกล้าอยู่ เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ได้เปนผู้ ๑ ในพวกที่สนับสนุนให้พระนั่งเกล้าขึ้นทรงราชย์
แต่มาครั้งเมื่อพระนั่งเกล้ากริ้วหม่อมไกรสร ได้พลอยกริ้วสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ด้วย จนต้องหนีออกไปตั้งกองสักเลขอยู่ที่เมืองชุมพร จึ่งได้รอดภัย

เมื่อครั้งหม่อมไกรสรรับพระราชอาญา สมเด็จองค์ใหญ่ร้องว่าพระนั่งเกล้าไม่ทรงซื่อตรงต่อผู้ที่ภักดี
ใช้คำว่า " ท่านใช้เราเป็นบรรไดขึ้นถึงที่สูงได้แล้ว ท่านจะเตะบรรไดเสีย"

ยังมีต่อ ค่ะ

โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]  
วันที่ 3 พ.ค. 2549 - 16:48:13
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:10

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 126

ฉนั้นพอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคตลง สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่กับสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยก็รีบไปจัดการล้อมวงที่วัดบวรนิเวศ
และอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมปู่เข้าไปในพระบรมมหาราชวังทั้งๆยังทรงพระผนวชอยู่
และทูลอัญเชิญให้เสด็จลาผนวชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วและจัดการให้มีการถือน้ำโดยเร็วด้วย

โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]  
วันที่ 3 พ.ค. 2549 - 16:53:59
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 11 พ.ค. 06, 17:10

 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 127

ผมไม่คิดว่าคนรุ่นนั้นจะเล่นการเมืองโดยมีบ้านเมืองเป็นเดิมพันขนาดนั้นมังครับ นั่นมันพวกฝรั่งเศส ตั้งสีหนุเพราะคิดว่าเป็นเจ้าเสเพล ฝรั่งเศสก็คิดได้สิครับ พวกนั้นไม่รักประเทศเขมรนี่
ส่วนที่สำนักศิลปวัฒนธรรมปล่อยหนังสือการเมืองเรื่องตั้งพระจอมเกล้าฯ โดยยกเหตุผลแบบที่คุณอ้าง"ได้เป็นกษัตริย์เพราะอ่อนแอ" หมายความว่าพระบรมราชโองการนัดสุดท้ายของ ร. 3 เป็นแค่ลมพัดผ่านหูกระนั้นหรือ

ผมคิดเอาว่าคนรุ่นที่ถือน้ำพระพิพัทฯ ต้องมีหลักยึดเหนี่ยวทางใจอะไรอยู่บ้าง ที่บางทีเราอาจมองข้ามไป
ในยุคนั้น ถ้าจะคิดเอาบ้านเอาเมืองกันมันปิดไม่มิดครับ ฆ่าทิ้งมาทุกรัชกาลแล้ว แต่พอถึงรัชกาลที่ 4 ระบบนี้คงหมดสภาพไป เพราะสังคมเปลี่ยนมาก
ก่อน ร 3 ขึ้นไป ขุนนางไปมาหาสู่กันนี่ โทษถึงตาย แต่สมัย ร. 3 ไม่เข้มงวดขนาดนั้น ก็แปลว่า มีระบบสอดส่องที่มาชดเชยกัน

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระปิ่นเกล้าท่านสะสมอาวุธไว้ มากกว่าวังหลวงอีก เป็นของทันสมัยทั้งนั้น แต่พระจอมเกล้า เสด็จไปกับพระโอรส เข้าไปถึงข้างเตียง บุกถ้ำเสือด้วยมือเปล่า แปลว่าท่านรู้กันครับ ไว้ใจกัน
แล้วอาวุธพวกนี้ไปใหนหมด ก้อยังอยู่กับลูกพระปิ่นเกล้าสิครับ
ร. 4 ท่านจึงยกย่องกรมหมื่นบวรวิไชยชาญยิ่งกว่าเดิม

ถ้าสมเด็จเจ้าพระยาอยากให้ท่านพระองค์นี้เป็นกษัตริย์ คงง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย ยิ่งถ้าเชื่อตามคุณชายคึกฤทธิ์ว่านะครับ แค่เถียงกันหนเดียว ไม่ออกจากวังตั้งห้า-หกปี ทั้งแผ่นดินจะมีใครทำอะไรบุนนาค+ยอดยิ่งยศได้

ทำไมเราชอบคิดกันจัง ว่าท่านช่วงไม่เห็นแก่บ้านเมือง
อีตาโปรเฟสเสอร์อะไรที่อิธากะเขียนเป็นตุเป็นตะเรื่องสยามเก่าสยามใหม่ นั่นมันการเมืองแบบฝรั่ง สันดานฝรั่ง

คิดดูเถิดครับ วันที่ท่านช่วงนั่งเรือจากราชบุรีเข้ามาถวายคำเตือนเรื่องพระที่นั่งจักรีน่ะ ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว เหนื่อยยากลำบากล่องเรือมาเป็นวัน เพื่อจะบอกเด็กหนุ่มคนหนึ่งเรื่องหลังคาบ้าน
มันไม่เข้าแก๊ปเลยขอรับ

มันต้องมีสิครับ คนประเภทที่นั่งก้อคิด นอนก้อคิด ฝันยังคิดถึงเรื่องบ้านเมือง มีน้อง มีลูก มีหลาน ยกให้เป็นข้าแผ่นดินหมด
เราเรียกท่านเหล่านี้ว่ารัฐบุรุษครับ

แต่ไอ้เรื่องผิดเส้นกันมันต้องมีอยู่แล้ว ปุถุชนนี่ครับ

โดย: pipat  [IP: 58.9.183.177,,]  
วันที่ 3 พ.ค. 2549 - 17:20:29
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.044 วินาที กับ 19 คำสั่ง