pipat
|
วันหนึ่งอาจารย์ฝรั่ง (ศิลป์ พีระศรี) มาทำงานด้วยความหงุดหงิด อารมณ์เสียทั้งวัน อาจารย์ทวี นันทขว้าง ซึ่งเป็นศิษย์และลูกน้องใกล้ชิดทนรับอารมณ์ไม่ไหว เลียบเคียงถามว่าอาจารย์ฝรั่งเป็นอะไรท่านตอบว่า "นอนไม่หลับนาย ชั้นผูกปมผ้าเช็ดหน้าไว้สี่ปม แปลว่ามีเรื่องต้องคิดให้ตก 4 เรื่อง คิดเท่าไหร่ก็คิดได้แค่สามเรื่อง นอนไม่หลับทั้งคืน เดี๋ยวนี้ก็ยังคิดไม่ออก" แล้วท่านก็ลมเสียต่อไป
อาจารย์วี แอบย่องออกมาหน้าซีดอยู่นอกห้องทำงาน คิดในใจว่าฉิบหายแล้วเรา เมื่อวานเห็นผ้าเช็ดหน้าอาจารย์ฝรั่ง มีปมผูกอยู่สามมุม มือซนไปผูกเพิ่มอีกปม นี่ตูจะทำยังไงดีหว่า
-------- อภินันทนาการอาจารย์เทาชมพู
ขอเชิญร่วมลงขันเรื่องสนุกตามอัธยาศัย ให้มันรู้ไปว่าอาจารย์ของเราจะใจแข็งไปถึงใหน คุณปะกานินีต้องลงสองเรื่อง ส่วนคุณพิทยา พวกเรามาโหด(เอ๊ย...) โหวตกัน ว่ากี่เรื่องจึงจะไถ่โทษได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 20:46
|
|
ขอความกรุณาอาจารย์เทาฯ
"อ่านอย่างเดียว"
ห้ามลงแรงในกระทู้นี้ เว้นแต่หายโกรธแล้วเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดาวกระพริบ
อสุรผัด

ตอบ: 9
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 21:57
|
|
มาจากfw mail นะคะ
บาทหลวงคนนึงกำลังเข้าแถวอยู่หน้าประตูสวรรค์ ข้างหน้าท่านเป็นชายหนุ่มคนนึง สวมแว่นกันแดด ใส่เสื้อแจกเกตหนังแลกางเกงยีนส์
เทวดาได้ถามชายหนุ่มผู้นี้ว่า " เจ้าชื่ออะไร ทำอาชีพอะไรข้าจะพิจารณาว่าเจ้าสมควรที่จะได้อยู่บนดินแดนพระเจ้าไหม "
ชายหนุ่มตอบว่า " ผมชื่อโจ ทำงานเป็นคนขับแทกซี่ที่นิวยอร์ค "
เทวดาตรวจสอบรายชื่อแล้วก็ยิ้ม พร้อมกับมอบไม้เท้าทองคำและเสื้อคลุมผ้าไหมให้ชายหนุ่มไป เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์
เมื่อถึงคราวท่านบาทหลวง ท่านได้ตอบว่า " ผมชื่อเฮนรี่ เป็นบาทหลวง ทำงานรับใช้พระเจ้ามา 50 ปี "
เทวดาตรวจสอบรายชื่อแล้วก็มอบไม้เท้าไม้ และเสื้อคลุมผ้าป่านให้บาทหลวงไป
ท่านบาทหลวงรู้สึกประหลาดใจ จึงได้ทักท้วงกับเทวดาว่า " ทำไมครับ ไอ้หนุ่มคนเมื่อกี้เป็นคนขับแทกซี่ กลับได้เสื้อคลุมผ้าไหม และไม้เท้าทองคำ มันเกิดอะไรขึ้นนี่"
" ที่สวรรค์ เราวัดกันที่ผลงาน " เทวดาตอบอย่างเย็นชา " เวลาเจ้าเทศน์ ผู้คนหลับหมด" "แต่เวลาเค้าขับรถ ผู้คนต่างสวดภาวนา"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 22:52
|
|
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง (เรื่องก่อนก็เกิดขึ้นจริง) หลานชายผม เล่นซนที่โรงเรียน ถูกไม้กระแทกกระบอกตา เขียวปั้ด แม่แกร้องไห้แทบขาดใจ เจ้าต้น ตกใจไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ดุเดือดขนาดนั้น ด้วยความกลัว ปลอบแม่ว่า
แม่... ไม่เป็นไรหรอก ยังเหลืออีกข้างนึง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 22:54
|
|
คิกๆๆ ขำค่ะ อาจารย์เทาชมพูจะใจอ่อนไหมนะ
พี่พัฒน์ เล่าเรื่องอาจารย์ศิลป์ กับแม่ชีวัดสุทัศน์ด้วยซีคะ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 23:26
|
|
หนูเฟื่อง กินแรงคนแก่ เล่าเองซีจะ ------------- เรื่องนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะหาเรื่องตลกมาอ๓นันทนาการ อ่านมานานแล้ว จำติดใจ เพิ่งหาเจอครับ
วันที่ ๒๕ ตุลาคม เช้าวันนี้ มีผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ชาวเมืองอยุธยามาหาหมอบรัดเล ในขณะที่หมอบรัดเลพูดกับหญิงนั้นถึงเรื่องสวรรค์แลนรก หล่อนตอบว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น จนกว่าหล่อนจะได้พูดจาตกลงกับสามีเสียก่อน ถ้าสามีจะไปสวรรค์ หล่อนก็จะไปด้วย ถ้าสามีจะไปนรก หล่อนก็จะไปอยู่กับเขายังที่นั้นด้วยเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 23:32
|
|
นี่ก็เรื่องจริงอีกเรื่อง อาจารย์หลวงวิศาลศิลปกรรม พานักศึกษาไปดูวัดแห่งหนึ่ง แม่ชีคนหนึ่งมาสนทนาด้วย บ่นกระปอกกระแปดว่า ไม่ไหว อิฉันแก่มากแล้ว เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหาย ปวดหลังปวดเอวเหลือเกิน อาจารย์หลวงท่านเลยถามอย่างเห็นใจว่า นี่อายุเท่าไรแล้ว เราน่ะ
แม่ชีบอกว่า แก่แล้วท่านขา ปีนี้ก็หกสิบกว่าแล้ว
อาจารย์หลวงบอกว่า ลูกสาวฉันยังแก่กว่าเธอเลย
ท่านสอนหนังสือจนถึงเก้าสิบกว่า พระเจ้าอยู่หัวขอให้ท่านอยู่ให้ถึงร้อย ท่านรับสนองพระบรมราชโองการไม่ไหว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 04 พ.ค. 06, 23:46
|
|
พระราชอารมณ์ขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ---- หญิงชราคนหนึ่งก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วจับ พระหัตถ์พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกมากมาย
พระเจ้าอยู่หัวมิได้รับสั่งตอบว่ากระไร พวกข้าราชบริภารมองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าจะไม่ทรงพอพระราชหฤหทัย แต่พอได้ยินรับสั่งตอบ ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว
ตรัสว่า เรียกยายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก -------------- เผยแพร่ในเว็บ แจ้งว่ามาจากคุณวิลาศ มณีวัต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 00:09
|
|
ขออนุญาตเอาเรื่องจริงมาเล่ามั่งดีกว่าครับ (บางเรื่องสมาชิกในนี้อาจจะเคยได้ยินจากผมมาแล้วนะครับ อิอิ)
เรื่องแรก เกี่ยวกับ power point ที่เพื่อนใช้นำเสนองานครับ ครั้งนึงที่อ.ได้สั่งงานพวกผมให้ไปจับกลุ่มแปลงานวิจัยทางอินเตอร์เนต เพื่อนกลุ่มนึงลักไก่ไปจ้างนิสิตต่างคณะแปลงานเรื่องการเพาะเลี้ยงเนื่อเยื่อให้ แล้วก็รีบตัดข้อความแปะๆลงใน power point โดยไม่ได้ตรวจทานข้อมูลก่อน แต่ในที่สุดอ.ก็จับได้ครับ จากประโยคที่ว่า "During the project, all generations of the tissue culture plants will grown in glass bottles." เพราะนิสิตคณะนั้นแปลว่า "ระหว่างงานวิจัยชิ้นนี้ เนื้อเยื่อของวัฒนธรรมจะเจริญเติบโตในขวดแก้วใบน้อยๆจากรุ่นสู่รุ่น" !! อิอิ
.
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 00:26
|
|
เรื่องที่ 2 ยังคงอยู่กับ power point อีกล่ะครับ (ติดเรทนิดหน่อยนะครับ แหะๆ)
คราวนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่พิมพ์อะไรไม่ตรวจทานอย่างผมคนนึงล่ะ
เหตุเกิดจากคืนก่อนสอบครับ แต่ไม่ได้สอบอย่างเดียว มีการนำเสอนงานหน้าชั้นเรียนด้วยในช่วงเช้า ก่อนจะสอบในช่วงบ่ายครับ
นิสิตทั้งหลายที่จัดเวลาทำงานกันไม่ถูกมาตั้งแต่ต้นเทอมก็ทุ่มเวลากับการอ่านเลคเชอร์สัปดาห์หลังที่ยังไม่ได้อ่านมากกว่างานนำเสนอช่วงเช้า (ผมก็ด้วยล่ะ) งานที่ทำออกมาเลยตกๆหล่นๆ ไม่ได้ตรวจทานให้ดีเท่าที่ควร
เช้าวันนั้นหลังจากที่เพื่อนคนนึงนำเสอนข้อมูลเสร็จ อาจารย์บอกให้เขากลับไปที่หน้า "อาการสำคัญของผู้ป่วย" แล้วบอกให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นอ่านบนจอว่าเพื่อนเขียนว่าอะไร
สิ่งที่ทุกคนเห็นคือข้อความที่ว่า "ผู้ป่วยมีอาการบวม และมีอาการไอ หอย เหนื่อย"
ข้อแก้ตัวง่ายๆสำหรับเจ้าของ power point คือ "ก็ บ. กับ ย. มันอยู่ติดกันนี่ครับอาจารย์"
สงสารคนไข้จัง อิอิ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 09:47
|
|
หนูเฟื่อง มายั่วแล้วก็หายจ้อย เล่าก้อได้ฟะ เป็นที่ระลึกถึงอาจารย์ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ศิลปินแห่งชาติแห่งเมืองเพชรบุรี ผู้ถ่ายทอด เป็นเรื่องนินทาอาจารย์ฝรั่ง เหมือนเคย
แม่ชีวัดสุทัศน์ นี่ไม่เกี่ยวกับทั้ง แม่ชี และไม่เกี่ยวกับ วัดสุทัศน์ ด้วย มันเกิดขึ้นในวิชาทฤษฎีศิลปะ เกี่ยวกับวงจรสี เอ... มันยังไงกันน่ะ
คืออาจารย์ฝรั่งนี่พูดไทยหวัดสุดๆ ขนาดต้องมีล่ามแปลไทยเป็นไทยอีกที อย่างไพฑูรย์นี่ ท่านเรียก "ไป ตูน"
ลองเดาดูทีสิครับ แม่ชีวัดสุทัศน์ แปลว่าอะไร . . . . . . . . ท่านออกเสียงว่า แม ชี วัด ตุ ทัด . . . แปลว่า แม่สีวัตถุธาตุ ตอนนั้นท่านเลกเช่อร์ทฤษฎีสีอยู่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 11:33
|
|
One day, I went to central cemetary of Vienna to pay my visit to the grave of the great Ludwig van Beethoven. With some mysterious reasons, there was the sound of his symphony No 5 playing backward coming from his grave. Then there was a boy shouting " Listen  Beethoven is DECOMPOSING  "
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 16:27
|
|
กร๊ากกกกกกกกกกก
โอย ขำจนหอย เอ๊ยยยยย หอบ เด็กก็ร้ายจริงๆ ไม่รู้คิดได้ไง
พี่พัฒน์คะ ไม่ได้ยั่ว แต่เรื่องของอาจารย์ศิลป์นี่นา เลยต้องให้เกียรติลูกศิษย์ก้นคณะเล่าซี
เฟื่องฟังแล้วข้ำขำ เรื่องแม่ชีวัดสุทัศน์เนี่ย ได้ยินว่า แกพูดอยู่สองสามหน นักศึกษาก็แคร้กโค้ดกันแทบแย่ ว่าทำไมอาจารย์ฝรั่งสอนไปพูดถึงแม่ชีไป
ยังเช้าอยู่ค่ะ คิดเรื่องตลกไม่ออก ไว้ถ้ามีเรื่องเด็ดๆ จะมาเล่าบ้าง ตอนนี้ กินแรงผู้ใหญ่ กินแรงเด็กไปก่อน ฮ่าๆ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rinda
อสุรผัด

ตอบ: 25
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 17:26
|
|
หยิบเอาหนังสือเรื่อง " แผ่นดินของเรา " ของคุณ มาลัย ชูพินิจ มาอ่านอีกรอบ คับคล้ายคับคลาว่า Exact เคยนำมาทำเป็นละคร เรื่องราวกล่าวถึง คนในบ้าน "จิระเวสน์" บ้านที่มีชีวิต และ ผูกพันกับกลิ่นอายของดอก"จันทร์กระพ้อ"
ไม่ได้อ่านนิยายมานาน แล้ว ... หลายเล่มที่อ่านไป...ยังเป็นเรื่องของการเดินทาง.... เลยต้องเปลี่ยนอารมณ์ วางเป้ลงจาก " ข้างหลังโปสการ์ด" ของหลานเสรีไทย แล้ว ฝันถึง ชายรูปงาม ตามบทประพันธ์
"จันทร์กระพ้อ" ดอกไม้กลิ่นหอมแบบไทย ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่คิดที่ปลูกใหม่.... เคยซื้อต้นเล็กๆ มาจากสวนจตุจักร ด้วยราคาถึงต้นละ 400 บาท คนขายว่า หากเอาไปปลูกจนโต ก็ใช้เวลา 7 ปี กว่าจะได้เห็นดอก...พับผ่า 7 ปี แต่ยามนั้น ด้วยความซึมซาบกับความหอมของไม้ไทย... เลยกัดฟันซื้อไปปลูกที่ปากช่อง สุดท้าย...ก็ตาย.. เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่ชอบความชื้นอย่างมาก ยามเอาไปลงในหน้าแล้ง ที่ปากช่อง เลยไม่รอด... เสียดาย....
ไว้ปลูกใหม่ ... ปลูกต้นจันทร์กระพ้อ คงง่ายกว่าปลูกต้นรักอยู่โข
(เก็บมาจากเน็ต....หลายคนไม่ขำ แต่เราขำทุกครั้ง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pipat
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 05 พ.ค. 06, 17:55
|
|
ตลกศิลปินอีกเรื่อง นี่เพราะชอบแมวของหนูเฟื่องแก้วนะครับ ตั้งใจว่าจะหยุดบริจาค"ขัน" เสียที คนอื่นๆ หายไปใหนกันหมด หรือว่าเว็บวิชาการเขาห้ามหัวเราะ เรื่องนี้ออกจะสกปรกนิดหน่อย ตามสะตายพวกไม่เต็มบาท ชื่อคนต้องสงวนไว้นะครับ
เรื่องศิลปินหน้าพระลานกินเหล้านี่ เลื่องลือมาแต่ใหนแต่ไร กินกันขนาดเหล้าหมดตู้เสบียง ลงไปที่สถานนีกวาดมาหมดตลาด ก็ยังไม่พอกิน เรื่องนี้เป็นหลักฐานว่าพี่เขาเมาเละได้ขนาดใหน
กลางดึก กิจกรรมกินเหล้ากำลังได้ที่ ยิ่งออกมาแลนด์สะเขปด้วย ปกติถึงเช้า หรือเมื่อเหล้าหมด
พี่คนหนึ่ง เหนื่อยจัดไปหน่อย สู้น้ำเมาไม่ไหว แทบจะคลานเข้าครัว หาอะไรแก้คลื่นเหียน แต่ก็ยังทนไม่ไหว แกก็น้ำใจดีนักแถมมีสติ รู้ว่าถ้าปล่อยเรี่ยราดจะต้องเปรอะ แล้วจะต้องล้างอีก เห็นมะ ศิลปินก็รอบคอบเป็น
พี่แกคว้าชามมาได้ใบ สำรอกใส่ แล้วมีแก่ใจนึกถึงคนอื่น กลัวมาทำหก แกเลยเก็บเข้าตู้กับข้าว แล้วลากสังขารมุดหัวใส่หมอน สลบรวดเดียวถึงเช้า
เสียงเอะอะเตรียมเข้าของออกวาดรูป ทำแกตื่น ทันทีนั้นแกก็นึกถึงผลงานเมื่อคืน รีบเปิดตู้ จะเอาไปทิ้ง.......มันหายไปแล้ว
แกรีบตะโกนถามพรรคพวก
เฮ้ย ใครเอาชาม ในตู้กับข้าวไปวะ มีเสียงตอบมาจากหน้าบ้านพัก
อ๋อ......ไอ้วิด(นามสมมติ) มันแดกไปแล้ว ได้ยินมันบ่น บอกว่าใครวะ ใส่น้ำส้มหนักมือ
เปรี้ยวชิบหายเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|