เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
อ่าน: 45199 เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ของไทย
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 20 พ.ค. 06, 08:36

 อ่านแล้วดิฉันก็เห็นว่าเรือนไทยมีทางรอด  จากข้อ ๑ ๒ ๓ และ ๖

อย่างหนึ่งที่น่าจะเป็นข้อลดหย่อนผ่อนปรนได้มากที่สุด คือทุกคนที่เข้ามาในเว็บวิชาการ  ไม่ว่าทีมงานหรือสมาชิก
ไม่มีใครได้ค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์จากการค้นคว้าหรือหาข้อมูลมาตอบ  
อย่าว่าแต่ได้กำไรเลย  แม้แต่ค่าแรงก็ไม่มี ทำฟรีกันทุกคน

ไม่มีใครอ้างสิทธิ์ในภาพและคำตอบในเว็บบอร์ด ว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
ทุกคนรู้เมื่อเห็นภาพหรือข้อความ ว่าคนตอบไปเอามาจากที่ใดที่หนึ่ง ไม่หนังสือก็ในเว็บไซต์

ดิฉันยังถืออีกว่า เรือนไทยคือห้องเรียน  การตอบในเว็บบอร์ดนี้คือการเผยแพร่ความรู้  ซึ่งก็คือการสอนนั่นเอง
แต่เรือนไทยไม่เหมือนชั้นเรียนตามโรงเรียน  เป็นห้องเรียนเปิด   ที่เปิดกว้างให้เรียนได้ทั่วโลก  แล้วยังเรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนอีกด้วย  คนที่มาสอนก็สอนฟรี ฟรีหมดทุกอย่าง

แต่ขอความเห็นใจสักอย่างว่า ผู้ที่เคยชินกับการอ้างอิง มักอยู่ในแวดวงครูบาอาจารย์หรือนักวิจัยที่ชินกับการเขียนตำรา ค้นคว้าหาข้อมูล
พวกนี้มักจะมีความเคยชินอัตโนมัติที่จะบอกแหล่งข้อมูลควบไปกับคำตอบ  
ในขณะที่คนในอาชีพอื่นๆ หรือครูที่สอนอย่างเดียวไม่ได้เขียนตำรา  มักจะไม่ชินกับเรื่องนี้ ไม่ว่าทำลิ้งค์หรือบอกหนังสือที่ตัวเองไปเปิดมาตอบ
บางคนก็ตอบจากความทรงจำ นึกไม่ออกว่าไปเอามาจากไหน  

ภาพก็เหมือนกัน  สแกนมาจากหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ เสร็จแล้วปิด  สิบนาทีนึกไม่ออกแล้วว่าเล่มไหน  แค่รู้แน่ๆว่าตัวเองไม่ได้ถ่ายภาพมาเอง

เอาเป็นว่าถ้าดิฉันไปเอาภาพ หรือลอกข้อความมาจากหนังสือไหน ต่อไปจะระวัง
แต่ถ้าเก็บความมา   หรือไปเอาภาพมาจากเว็บที่ไม่เกี่ยวกับความรู้  ไม่บอกนะคะ
ข้อนี้แถมท้ายไว้เพราะเว็บที่มีภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหามีเยอะ  ภาพพวงมาลัยไทยอยู่ในเว็บร้านอาหาร    ภาพจิตรกรรมใช้ประกอบเว็บเพลง   ภาพบุคคลสำคัญอยู่ในเว็บตลกก็ยังมีฯลฯ
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 20 พ.ค. 06, 23:44

 เอออ.... คุณ๊ญ ครับ
ใช่แต่กระทู้ของอาจารย์สมศักดิ์นะครับเนี่ยะ ที่มีวิวัฒนาการก้าวไกล ไปจนกลายเป็นปูน้อยคอยลงครกตำส้ม
กระทู้นี้ก็ใช่ย่อยนะครับจากอิทรา มาจนศาลพระภูมิ แล้วเลยไปเรื่องกฏหมายไม่พอ มีลูกมีหลานออกไปอีก 1กระทู้เป็นอย่างน้อย
เสียแต่ว่าเจ้าของกระทู้ที่สัญญาว่าจะมาเล่าเรื่องเสากันต่อ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้นะครับ
ปล่อยให้คนตั้งใจมาอ่านมานั่งคอน นอนคอย ยืนคอย ชะเง้อคอคอย จนจะหลับอยู่หน้าจอคอมพ์อยู่แล้วนะครับ คุณpipat


ปล. อ.นิรันดร์ครับ อ. ก็เป็น vTeam นะครับอย่าดุลูกบ้านตาดำๆอย่างพวกผมขนาดนี้เลยนะครับ
คุณpipat เธอเพิ่งถูกตัวป่วนจิตป่วยที่ใช้ชื่อ คุณRinda ป่วนมา แล้วมาเจอ อ.ดุแรงขนาดนี้ต่อ
ถ้าผมเป็นคุณลุงเขา ผมคงไม่เล่นที่นี่แล้วแหละครับ ใจเสียไม่ว่า เสียใจมากกว่านะครับ
บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 00:58

 อ่านเรื่องราวแล้ว ก็เข้าใจทั้ง อ.นิรันดร์ กับ คุณ pipat ครับ คือ ผ่ายหนึ่ง หยิบยืมภาพเว็บอื่นมา โดยบอกที่มาบ้าง ไม่บอกที่มาบ้าง เพราะคงไม่ได้ซีเรียสอะไร เห็นว่าเป็นบอร์ดที่พูดคุยให้ความรู้กัน

ส่วน อ.นิรันดร์ ก็พูดถูกในหลักการครับ คือ "ควร" อ้างที่มา แต่ก็มีบางประโยคที่แรงไปหน่อย คนถูกตำหนิ อ่านไปแล้วก็เลย "ของขึ้น"

ถ้าความเห็นของผม ก็จะมองว่า รูปแบบของบอร์ดนี้ ไม่เคร่งครัดเรื่องอ้างอิงครับ คือ ใครจะอ้างก็ดี ไม่อ้างก็ได้ ไม่น่าจะเสียหาย ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความขยันมากกว่า คือ ขยันจะ copy แล้ว paste URL หรือเปล่า

เหตุผลก็เพราะว่า "เว็บบอร์ดนี้ ไม่ได้แสวงหาผลกำไร" ครับ ดังนั้น เรื่อง อ้างอิง URL จึงไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับคนโพสมากกว่า ที่จะบอก หรือไม่บอก

ดังนั้นประเด็นเรื่องฟ้องร้องจึงตกไป

เรื่อง กฎหมายลิขสิทธิ์ ผมมองว่า มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์หลักๆ ๒ ประการครับ คือ
๑. ป้องกัน ไม่ให้ผู้อื่น คัดลอก หรือ ดัดแปลงผลงานที่มีลิขสิทธิ์ไปหากำไร หรือ ความมีชื่อเสียงส่วนตัว
๒. ป้องกัน ไม่ให้ผู้อื่น คัดลอก หรือ ดัดแปลงผลงาน แล้วไปเผยแพร่ในทางเสียหาย

อาจมีอีก แต่นึกไม่ออกครับ ดังนั้น ถ้าเราโพส ภาพ จากแหล่งอื่น ด้วยใจบริสุทธิ์ ก็ไม่ผิดกฎหมายครับ

แต่ถ้าเป็นบทความ ผมเห็นว่า "ต้อง" มีที่มาที่ไปครับ เพราะบทความ ผู้เขียนจะได้ชื่อเสียง ถ้าไม่บอกแหล่งที่มาของข้อมูล ก็จะทำให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า เป็นความคิดอ่านของผู้เขียนบทความเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ลอกมา อันนี้ ก็ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวทางอ้อมครับ ถ้าเจ้าของผลงานมาเจอ ก็สามารถเอาเรื่องได้

คนเรามักจะผิดใจกันเพราะประโยคเล็กๆ น้อย แบบนี้แหละครับ

ยังไงก็อย่าผิดใจกันเลยครับ

-----------------------------------------------

มาที่กระทู้ดีกว่า

เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ของไทยที่เด่นๆ จริงๆ ก็มี ๒ องค์ ครับ คือ พระอินทร์ กับ พระพรหม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ช่วงสมัยพุทธกาลนั้น ศาสนา พราหมณ์ยังเป็นศาสนาที่มีลัทธินับถือเทพเจ้าประจำธรรมชาติ อยู่หลายองค์ และองค์ที่เป็นที่นิยมคือ พระอินทร์ กับ พระพรหม ส่วน ปรัชญาเรื่อง ตรีมูรติ (ศิวะ วิษณุ พรหม) ยังไม่เกิดครับ แต่องค์เทพนั้น มีมานานแล้ว แต่ลัทธิยังไม่ใหญ่โต ดังนั้น ในพุทธประวัติ จึงไม่กล่าวถึงพระศิวะ กับ พระวิษณุเลย

การนับถือ พระอินทร์ กับ พระพรหม ของไทย ก็มาจากพุทธประวัตินี่แหละครับ

อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนาแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิเสธ การดำรงอยู่ของเทพโดยตรง แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามี ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของของพุทธศาสนิกชนเองว่า อำนาจเหนือธรรมชาติมีจริงหรือไม่

เป็นธรรมดาครับ เนื่องจากพุทธศาสนา อยู่ในแวดล้อมของศาสนาพราหมณ์ ดังนั้น หลักปรัชญาโบราณของศาสนาพราหมณ์ จึงได้ถูกนำมาใส่ในพระไตรปิฎกด้วย เช่น การกล่าวถึง สวรรค์ชั้นต่างๆ นรกขุมต่างๆ ระดับความเป็นพรหมชั้นต่างๆ เหล่านี้ เป็นปรัชญาของศาสนาพราหมณ์โบราณครับ

ดังนั้น แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จึงอยู่ที่หลักปฏิบัติของ "จิต" มากกว่าหลักปฏิบัติทาง "พิธีกรรม" ครับ

ส่วนทำไมสังคมไทย มีการนับถือเทพฮินดู นับถือผี ด้วย นั่นก็เพราะว่า สังคมไทยดั้งเดิม มีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษอยู่แล้ว เป็นสังคมที่เชื่อโชคลางและไสยศาสตร์มาแต่เดิม ซึ่งก็แปลกที่ว่า แทนที่พระพุทธศาสนาจะทำลายความเชื่อไสยศาสตร์ให้หมดไป กลับเป็นว่า ไสยศาสตร์นำเอาพระพุทธศาสนา เป็นสร้างเสริมความเชื่อถือให้กับตัวเองได้อย่างสัมฤทธิ์ผล

เคยอ่านพระไตรปิฎก แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ท่านบอกว่า คนมีปัญญา มีมากเท่าสัตว์บก แต่คนด้อยปัญญา มีมากเท่าสัตว์น้ำในมหาสมุทร ก็คิดว่า ชัดเจนนะครับ (ไม่ได้ว่าคนที่นับถือไสยศาสตร์นะครับ แต่ยกมาให้อ่านเท่านั้น)

ผมก็เข้าใจคนที่นับถือไสยศาสตร์ และโชคลางเหมือนกันครับ คือบางคนก็ต้องการที่พึ่งทางใจ หรือ ที่พึ่งพาแห่งชีวิต ก็เป็นเรื่องนานาจิตตังครับ ว่ากล่าวกันไม่ได้ พูดชี้แจงให้ฟังได้ แต่ถ้าไม่เชื่อก็ต้องปล่อยไปครับ

ถ้าคนเราเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สังคมเราก็จะไม่มีปัญหาครับ
บันทึกการเข้า
ภูมิ
แขกเรือน
ชมพูพาน
***
ตอบ: 196


ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 02:06

 ตอบคุณPIPAT เรื่องหล่อครับ

ตัวทรายถมองค์พระถูกแล้วครับ แต่ไม่ใช่ขุด
เป็นการถมขึ้นจากพื้นทีละชั้น จากประวัติเห็นว่าต้องทำถึงแปดชั้นจึงเสร็จสิ้น


 http://www.at-takaoka.co.jp/casting/c_history04.html
ปล. รูปนี้ผมก็ แอบ เอามาใช้สอน เหมือนกันครับ คงต้องถือตามข้อ6 แล้วกันครับ
บันทึกการเข้า
UP
แขกเรือน
องคต
*****
ตอบ: 516


ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 09:42

 คนไทยคงถือเรื่องการมีปกติไหว้กราบต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์ เป็นสัมมาคารวะอันจะนำมาซึ่งจตุรพิธพรด้วยกระมังครับ

หากเรานับว่าเทวดาหรือเจ้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อยู่มาก่อน จัดเข้าเป็นบุรพชน หากจะกราบไหว้ด้วยความอ่อนน้อม เหมือนเรากราบไหว้ผู้มีอาวุโสสูงกว่า มิได้ยึดถือเป็นสรณะ ก็คงไม่ได้ผิดหลักพระพุทธศาสนามากมายนัก เข้าทางผู้มีปกติไหว้กราบด้วยซ้ำ

นับประสาอะไรคนไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนเลย เมื่อเราทราบว่าเจริญด้วยวัยวุฒิหรือคุณวุฒิ เราก็ไหว้ เราก็กราบ เพียงแต่ไม่ได้ถือเป็นสรณะ คงต้องถามตัวเองว่า บางคราวเราทราบว่าผู้ใหญ่บางท่านอาจมีข้อด่างพร้อย ไม่ได้มีจริยวัตรบริสุทธิ์สะอาด ๑๐๐ เปอร์เซนต์ แต่เรารู้ทันและจะไม่ทำตามอย่างข้อเสียของท่าน คำถามคือ..เราไหว้ท่านเหล่านั้นทำไม?

จริงอยู่ การบูชาอ้อนวอนต่อเทพ อาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมขั้นสูง แต่หากเรากราบไหว้ด้วยน้ำใจระลึกว่าคุณของการเป็นเทวดานั้น คือการมีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นเบื้องต้น ท่านเหล่านั้นถือเป็นเทพเทวดาได้และเป็นแรงบันดาลใจให้ตนทำดีจนถึงความเป็นเทวดาอย่างนั้นได้บ้าง ก็นับได้ว่าต้องตรงกับหลักพระพุทธศาสนาทีเดียว นับเป็นกองกรรมฐานประการหนึ่ง เรียกว่า เทวตานุสติ

ส่วนตัวผม ผมนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แต่เวลาผมเข้าไปในสักการสถานต่างศาสนา ผมก็ยินดียกมือไหว้ศาสดาของศาสนาอื่นๆ นั้นได้อย่างเต็มใจที่สุด ไม่ได้เข้ารีตศาสนาอื่น แต่ไหว้ด้วยความเคารพต่อพระคุณวุฒิประการหนึ่ง และด้วยความนับถือต่อพระคุณธรรมอีกประการหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาต่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าโภคทรัพย์ของท่านนั้นพึงใช้จ่ายไปการบำรุงบิดามารดา บุตรภรรยา บ่าวไพร่ เพื่อนฝูง เพื่อบำบัดป้องกันภยันตราย ทำทานให้สมณพราหมณ์ และให้ทำ "พลี" ๕ อย่าง ดังนี้

๑. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ
๒. อติถิพลี ต้อนรับแขก
๓. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ
๔. ราชพลี บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น

และ

๕. เทวตาพลี ถวายเทวดา คือ สักการะบำรุงและทำบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชา

ยิ่งในส่วนของ "เจ้าที่" นั้น บางทีอาจไม่ใช่เทวดา ฉะนั้น การทำบุญอุทิศแก่เจ้าที่นั้นผมว่าอาจเข้าข่ายปุพพเปตพลีด้วยซ้ำไป

ก็แล้วแต่จะไตร่ตรองมองให้เข้ากับหลักธรรมในพระพุทธศาสนานะครับ

..ไหงผมกลายเป็นอนุศาสนาจารย์ไปเสียแล้วนี่

ถือเสียว่าคุยเรื่องธรรมะสักหน่อยในวันอัฐมีบูชาแล้วกันนะครับ
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 11:09


ขณะนี้ กำลังประดิษฐานองค์ท้าวมหาพรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัน
เปิดดูโทรทัศน์ช่อง 11 กำลังถ่ายทอดสด
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 15:53

 เมื่อเช้ากำลังเผ้าชมการประดิษฐานเท้ามหาพรหม ก็เลยไม่ทันได้ตอบเรื่องที่ถูกพาดพิง ขอโทษด้วยนะครับ
ขอเล่าเรื่องที่ดู TV สักนิดเดียวว่า
ช่างสิบหมู่บอกว่า ท่านมาเข้าฝันว่าอยากกลับบ้าน
ตอนนี้ ท่านก็กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
แล้วก็มีนักการเมืองจะนวนมากมาร่วมพิธีอัญเชิญท้าวมหาพรหมกลับบ้าน
ภาพที่เอามาให้ดู ถ่ายจาก TV ก็เลยไม่ชัดเท่าไร
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 16:09

 คือ ผมเห็นคำเตือนเรื่องการเอาบทความหรือรูปภาพที่อยู่ในเว็บวิชาการ
ว่ามีลิขสิทธิคุ้มครองอยู่
หากนำไปใช้ ก็ต้องให้เกียรติผู้เขียนหรือเจ้าของผลงาน
แล้วเราชาววิชาการด็อทคอมเองไปเอาของคนอื่นมาใช้ ผมก็ว่าน่าจะมีกฎเดียวกัน ไม่ได้จงใจตำหนิใครตรง ๆ หรอกครับ
นอกจาก มีอยู่ท่านหนึ่ง ที่ไปยกของเขามาแล้วก็บอกว่า ไม่สนใจหรอกว่ามาจากไหน
ทั้งที่ท่านผู้นั้น ตั้งกระทู้ว่าเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของสื่อที่ทำให้สังคมไทยเสื่อม
แล้วยังวิธีที่เขาใช้คำพูด(เขียน) ดูแล้วจะยิ่งเป็นการให้เสื่อมหนักขึ้นไปอีก หากเด็กเข้ามาอ่าน
ก็เลยอยากจะปราม ๆ ไว้บ้าง

รูปภาพหรือบทความในหลายเว็บก็อนุญาตให้นำไปใช้ได้โดยไม่ต้องอ้างถึงเขา
นับเป็นความเมตตาที่เขามีต่อชาวไซเบอร์ด้วยกัน
เอามาใช้เฉย ๆ ก็ไม่นับเป็นกระไรได้
แต่การเอามาใช้แล้วบอกว่ามาจากไหนก็ช่าง ฟังแล้วไม่ค่อยเพราะ
ไม่ต้องพูด(ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์)จะสวยกว่าแยะเลยครับ
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 128  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 16:17

 เรียนอาจารย์เทาชมพู (อ้างถึง 118)
ผมไม่ได้คิดตำหนิใครหรอกครับ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตนิดหน่อย
แต่วิธีการใช้คำของผมอาจไม่รื่นหู สะดุดตา ก็กราบขออภัยต่อทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 129  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 16:38

 อปริหานิยธรรม
ธรรมที่หมู่คณะใดผู้ปฏิบัติแล้วจะไม่เสื่อม เรียกว่าเป็นสามัคคีธรรมก็ได้
ผมจำมาจาก “สามัคคีเภทคำฉันท์” ของกวี “ชิต บูรทัต”

หนึ่งเมื่อมีราชกิจใด ................... คิดพร้อมยอมไป ...... บ่วายบ่หน่ายชุมนุม
สองย่อมพร้อมเลิกพร้อมประชุม ..พร้อมพรักพรรคคุม...ประกอบณกิจควรทำ
สามต่างยึดมั่นในสัม-...................มาจารีตจำ................ประพฤติมิตัดดัดแปลง
สี่ใครเป็นใหญ่ได้แจง ................. โอวาทศาสตร์แสดง...ก็ยอมและน้อมบูชา
ห้าที่อันบุตรภริยา ....................... แห่งใครไป่ปรา........ รภประทุษข่มเหง
หกที่เจดีย์คนเกรง ...................... มิย่ำยำเยง .............. ก็เซ่นก็สรวงบวงพลี
เจ็ดที่อรหันต์อันมี ........................ในรัฐวัชชี ................ก็คุ้มก็ครองป้องกัน

หากมีที่ผิดพลาด รบกวนท่านผู้รู้แก้ไขด้วย
อปริหานิยธรรม 7 ประการนี้ องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสกับพระอานนท์ไว้ก่อน
ที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพานไม่นาน ว่า หากหมู่คณะใดปฏิบัติเพียงข้อเดียวอย่างเหนียวแน่นมั่นคงแล้ว
จะไม่มีทางเสื่อมได้เลย หากพระเจ้าอชาติศัตรูจะเอาชนะรัฐวัชชี จะต้องทำลายสามัคคีธรรมนี้ให้ได้ก่อน

ที่ผมยก “อปริหานิยธรรม”เข้ามาในกระทู้นี้ก็ตรงข้อ หก
การที่คนไทยเรานับถือไปหมด ไม่ว่าใครเขาจะนับถืออะไร เราก็นับถือไปกับเขาด้วย
แม้เราจะนับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง แต่เราก็ยังให้ความเคารพต่อสิ่งที่ผู้อื่นนับถือด้วยจริงใจ
ข้อนี้กระมังที่ทำให้เรา สามารถอยู่รอดปลอดภัย

การที่คนนับถือพระพุทธศาสนา กล่าวว่าตนจะรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่พาให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
แต่ก็ไม่มีข้อห้ามไม่ให้เคารพนับถือสิ่งอื่น
เพียงแต่บอกว่าการถือเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งไม่อาจทำให้พ้นจากทุกข์ได้
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
องคต
*****
ตอบ: 522


ความคิดเห็นที่ 130  เมื่อ 21 พ.ค. 06, 16:49

 ต่อจาก 129

หกที่เจดีย์คนเกรง ...................... มิย่ำยำเยง .............. ก็เซ่นก็สรวงบวงพลี

ความหมายของเจดีย์ หมายถึงสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึง
อย่างพระพุทธรูปหรือรูปท้าวมหาพรหม ก็สามารถนับเป็นเจดีย์ได้

การที่เราให้ความเคารพในสิ่งที่คนอื่นเขานับถือกัน ไม่ไปดูถูกเหยียดหยาม
ก็นับเป็นข้อปฏิบัติหนื่งในสามัคคีธรรม "อปริหานิยธรรม"
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.074 วินาที กับ 19 คำสั่ง