เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
อ่าน: 37157 ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:21

 เพื่อนๆของไดอะน่าต่างร่วมด้วยช่วยกันสานฝันให้สหายรักให้เป็นความจริงขึ้นมา อย่างแรกคือการช่วยกันจัดหาเสื้อผ้าที่ดูดีเผื่อว่า อาจมีการออกเดท..
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเธอๆเหล่านั้นไม่เคยมีโอกาสได้พบกับเจ้าฟ้าชายสักที เพราะพระองค์ไม่เคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนถึงอพาร์ทเมนต์ หรือ แม้ยามจะไปไหนด้วยกัน ก็ไม่เคยเสด็จมารับ
จนเพื่อนของเธอได้เล่าเรียงให้ฟังว่า...
"ของขวัญก็แทบไม่มี ..จะมีก็หนังสือเล่มหนึ่งในวันคริสต์มาส   ภาพวาดสีน้ำฝีพระหัตถ์เป็นรูปพระราชวังบัลมอรัล...ดอกไม้ช่อหนึ่งหลังจากวันหมั้นที่มหาดเล็กส่งมาให้ การ์ดพระนามไม่ได้แนบมาด้วย อ้อ..มีกบพลาสติคเขียวๆอีกตัวหนึ่งที่ทรงส่งมาให้
ไดอะน่าเอาไปติดที่หน้ารถ เพราะเคยล้อพระองค์ไว้ว่า..ตอนนี้เธอคงไม่ต้องไปจูบกบเพื่อหาเจ้าชายที่ไหนแล้ว..กลัวแต่ว่าจะจูบเจ้าชายแล้วพระองค์จะกลายเป็นกบนี่ซิ..จะยุ่งกันใหญ่"

การออกเดทกันในตลอดหกเดือนแรกนั้น..เจ้าฟ้าชายไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อมาเองเลย หน้าที่นี้คือหน้าที่ของราชเลขาฯ ที่มักจะโทรมาในเวลาที่จวนเจียน และทุกครั้งไม่ว่าจะนัดกันที่ไหน ไดอะน่าจะต้องหาทางไปเองทั้งสิ้น   ไม่มีใครมารับ..

เรื่องของครอบครัวสเปนเซ่อร์และรายละเอียดในการแต่งงานของเจ้าฟ้าชายชารลส์จะข้ามไปนะคะ เพราะเล่ามาแล้ว ในตอนของรักร้าวฯ...แต่จะเล่าในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ....

เช่นว่า ในยามนั้น บรรดานักข่าวทั้งหลายกำลังเริ่มหาข่าวมาสนองความต้องในความอยากรู้อยากเห็นของประชาชนอังกฤษ (และทั่วโลก) เพราะข่าวเรื่องอะไรหรือใครก็ตามที่จะมาเป็นพระราชินีในอนาคตต่างขายได้เงินเป็นก้อนเป็นกำทั้งนั้น
อีกทั้ง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้ถึงสามร้อยปี ว่าจะมี เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมารพระองค์ไหนได้ครองความเป็นโสดมาได้นานถึงขนาดนี้
ยิ่งพอเลดี้ไดอะน่าก้าวเข้ามาในวงจร แบบพกห่อมาด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเกินร้อย ทุกคนจึงต่างต้องรีบกัน"ชิงข่าว" เพื่อที่จะได้นำมาพิมพ์ก่อน ขายก่อน รับทรัพย์ก่อน..

ในยามนั้น ระหว่างที่ว่ากำลังตัดสินพระทัยจะทรงเลือกหรือไม่เลือก เลดี้ ไดอะน่า..
ท่านเอิร์ล สเปนเซ่อร์ ผู้บิดาต้องทำงานอย่างหนัก  ที่จะต้องออกมาปูประวัติของธิดาสาวคนเล็กให้ดูเลิศหรู และปราศจากที่ติทั้งปวง โดยการต้องขอความร่วมมือไปทางแม่ยาย คือ คุณหญิง บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ นักประพันธ์ชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบ ของเหล่าบรรดานักอ่าน ให้ช่วยกัน"โปรโมท" ให้หน่อย
คุณหญิง บาร์บาร่า วัยแปดสิบ..เห็นแก่ลูกเขย..จึงเปิดคฤหาสน์ประชุมบรรดาผู้สื่อข่าวทันที โดยตัวเองนั้น ออกมาให้สัมภาษณ์ในชุดแพรชีฟองสีชมพูหวานแหวว พร้อมประดับขนนกด้วยสีเดียวกันออกแนวหรูหรา
รอบข้างห้อมล้อมรอบตัวไปด้วยสุนัขพูดเดิ้ลถึงห้าตัว..เธอได้จีบปากจีบคอให้ข่าวว่า..
"เจ้าฟ้าชายจำเป็นที่จะต้องเลือกคู่ครองที่เป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ...สำหรับไดอะน่านี่ ฉันรับรองด้วยเกียรติยศเลยนะ ว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อน เธอช่างใสซื่อราวกับนางเอกในนิยายของฉันเปี๊ยบเลย แหม..มันช่างเหมาะเจาะลงตัวอะไรเช่นนั้นก็ไม่รู้ซินะ.."

ทั้งนี้ทั้งนั้น..คือ เบื้องหลังแล้ว ระหว่างฝ่ายทางแม่เลี้ยง และ ทางเด็กๆในตระกูลสเปนเซอร์ ไม่ได้ถูกกันเลย..เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เรนได้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งแม่เลี้ยง..
ส่วนเรนเอง..แม้จะชังหน้าลูกเลี้ยง แต่การที่เลดี้ไดอะน่าจะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่ง ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น ย่อมหมายถึงชื่อเสียงที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์อื่นๆ
ดังนั้น การปรุงแต่งอาการและวาดสีภาพกันใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องทำ  โดยเฉพาะในยามนั้น ข่าวเรื่องภาพ"โป๊" ของเลดี้ไดอะน่าได้หลุดไปอยู่ในมือของช่างภาพชาวเยอรมัน ซึ่ง มันหมายถึง การดับวูบของอนาคตที่คาดหวังไว้ทั้งหมด
(ภาพโป๊ที่ว่านี่ คือภาพที่ไดอะน่าได้ถอดเปลี่ยนบิกินี่ริมสระน้ำเมื่อครั้งไปเรียนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีภาพบางภาพในชุดริมสระน้ำนี่ออกมาปรากฏประปราย แบบว่า เกือบโป๊ แต่ เธอก็ยังเด็กมาก แข้งขายาวเก้งก้าง)
เรนได้ทำหน้าที่แม่เลี้ยงที่ดี ด้วยการติดต่อทนายความ อายัดภาพทั้งหมด (ในฐานะที่เลดี้ไดอะน่ายังถือว่าเป็นผู้เยาว์) และได้ขอความร่วมมือไปทาง ลอร์ด เฟอร์มอย ลุงของไดอะน่าให้ช่วยกันกระพือความดีของหลานสาวให้หนักๆเข้าไว้
ท่านลอร์ด จึงได้ใช้เส้นสายวงในไฮโซ จัดงานพบปะนักข่าว และให้สัมภาษณ์ในฐานะญาติสนิทว่า
"สำหรับไดอะน่า หลานของฉันคนนี้นะ รับรองได้เลยว่า เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสาวของเจ้าฟ้าชายอย่างที่สุด ไม่อื้อฉาวเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ (ที่ทรงเคยควง) นี่ละ คือประเด็นที่สำคัญที่สุด "

ความดีอีกอย่างหนึ่งของเรน (ในยามที่กำลังดีดลูกคิดในรางแก้ว) นั้นคือ เธอได้เก็บความลับให้ลูกเลี้ยงอย่างสนิทแน่น..ในเรื่องของเพื่อนชายที่สนิทสนมกันจนเกินเลยมาก่อนนั้น คือ นาย เจมส์ กิลบี้ (ทายาทเหล้ายินที่โด่งดัง) และ ร้อยโท รอรี่ สก๊อตต์ ที่สนิทสนมรักใคร่กันถึงขนาดตามไปเก็บเสื้อผ้าสกปรกมาซักรีดให้..
เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับไปจนวันตาย..
หากแต่...เมื่อวันที่การเดินทางได้บรรลุไปถึงดวงดาว คือในวันอภิเษกสมรสที่ได้มาเป็นความจริงแล้วนั้น  คุณหญิงบาร์บาร่า กระบอกเสียงตัวช่วยคนสำคัญไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมในงาน
ซึ่ง..เรน..ตัวแม่เลี้ยงเอง ก็เกือบหวุดหวิดหลุดโผไปจากชื่อปรากฏในรายการแขกเชิญนั่นเอาซะด้วย  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:25

 เหล่าบรรดานักข่าวก็พลอยพากันเป็นใจ อยากให้เจ้าฟ้าชายได้ทรงอภิเษกไปเสียที จะได้มีข่าวใหญ่"เล่น" ไปได้อีกนาน..
จะไปขุดคุ้ยอะไรกันกับเด็กสาวคนนี้ให้มากความ   อีกทั้งเธอออกจะมีท่าทางเป็นกันเองกับช่างภาพจะตาย..ขอให้ยืนตรงไหน หันหน้ามุมไหน ก็ได้ทั้งนั้น..
ไม่เหมือนกับคณะเดอะ เฟิร์ม..

ในตอนนั้น คือ ใกล้สิ้นปี 1981 ทั้งหมดกำลังเหม็นเบื่อกับการตามล่าของนักข่าวอย่างสุดประมาณ ไ ม่ว่าจะขยับองค์กันไปทางไหน กองทัพนักข่าวก็กรูติดตามอย่างไม่ลดละ
จนทั้งหมดมีความรู้สึกเหมือนกับถูกจองจำอยู่ในบ้านของตัวเอง
เจ้าชายฟิลิป ทรงมองออกไปที่นอกพระแกล และ ทรงด่าเป็นชุดใส่กองทัพนักข่าวอย่างไม่มีความเกรงใจ
สมเด็จเอง..ถึงกับออกพระโอษฐ์ไล่พวกเขาอย่างทรงรำคาญเต็มที่ เพราะ ทุกคนรู้ว่า พระองค์จะต้องเสด็จออกทรงม้าแทบทุกวัน จึงไปเฝ้ารอคอยเจาะข่าว..
"ไป..ไปให้พ้น..พวกบ้า.." ทรงตรัสไล่..ขณะที่ทรงประทับอยู่บนหลังม้า..
ณ.ที่นั้น มีอยู่นักข่าวด้วยกันสามคน คือ นาย เลส วิลสัน นาย จิมมี่ เกรย์ และ นาย เจมส์ วิตเทเกอร์  ที่ต่างก็หลบทาง..เมื่อทรงเสด็จผ่าน ยังมีการหันมาเอ็ดให้อีกว่า..
"Get away, you bloody......................."
นายเจมส์ได้กระแทกเสียงตอบไปว่า..
"มาดาม..พวกเราก็หลบทางให้อยู่แล้ว..ทรงหงุดหงิดไปหน่อยกระมังพะยะค่ะ..."

วันต่อมาคือ วันขึ้นปีใหม่..ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงประชดประชันให้กับกลุ่มนักข่าวว่า..
"สวัสดีปีใหม่นะ...อ้อ ฝากสวัสดีไปให้พวกบรรณาธิการตัวแสบๆของพวกคุณด้วย..."

เลดี้ไดอะน่าได้เข้ามาในพระราชวังแซนดริงแฮมในสองวันต่อมา..และ กว่าจะฝ่าฝูงนักข่าวและช่างภาพไปได้ก็แทบอ่อนใจ
สมเด็จ..ทรงตรัสเปรยกับพระโอรสว่า..
"ถ้าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ก็เห็นท่าจะไม่ไหวแล้วนะ"
เจ้าชายฟิลิป ได้ทรงขมวดข้อความให้กระชับเข้า..โดยการพูดกันตรงๆอย่างแมนๆว่า
"จะคิดอ่านทำอะไรก็ทำซะ..ควงกันนานไปผู้หญิงเขาจะเสียหาย"

เรื่องการเลือกคู่ครองของเจ้าฟ้าชายนั้น เจ้าชายฟิลิปพระบิดาคอยเฝ้าดูอยู่ตลอด..และ คอยสกัดหญิงที่ไม่เหมาะสมหลายต่อหลายนาง อย่าง สาวนางแบบหน้ากลางของหนังสือเพนท์เฮ้าส์
หรือเรื่องของคามิลล่า พระองค์ก็ทรงทราบดี..
หากแต่ทุกคนต่างคิดว่า อย่างน้อยกับคามิลล่าก็ยังพอหลอกชาวบ้านได้ว่าอยู่ในฐานะเพื่อน เพราะหล่อนก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนทนโท่..
แต่สำหรับผู้หญิงที่จะต้องกลายมาเป็นคู่ตุนาหงัน นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเลือกเฟ้นให้เหมาะเจาะ   เพราะจะต้องเป็นหน้าเป็นตาของเดอะ เฟิร์มอีกต่างหากด้วย..  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:30

 ครั้งหนึ่ง ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ออกเดทกับ ซาบริน่า กินเนสส์ (ทายาทสาวของโรงเบียร์ดำ Guinness ที่ขึ้นชื่อ) และพระองค์ได้เชื้อเชิญให้ซาบริน่ามาร่วมโต๊ะดินเน่อร์ในบ้านชนบทของพระสหายสนิทและเป็นข้าราชบริพารชั้นในด้วย
ข่าวการเชิญได้รั่วไปถึงนักข่าว..ดังนั้น พาดหัวในวันต่อมาคือ..
"หรือ..เจ้าฟ้าชายจะทรงมีความรักอีกแล้ว?"

เจ้าชายฟิลิปได้ทรงเดือดดาลในตัวพระโอรสยิ่งนัก ทรงติดต่อไปยังฝ่ายเจ้าภาพให้ยกเลิกบัตรเชิญของสาวคนนั้นเป็นการด่วน..
และเพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีการตบตา พระองค์ได้บอกไปว่า จะเสด็จไปทอดพระเนตรที่นั่นด้วยองค์เอง เวลา ห้าโมงเย็น..
เจ้าภาพต่างอึกอัก..ในที่สุดจึงต้องเบี่ยงประเด็นไปให้กับซาบริน่าได้ทราบว่า..ขอเชิญให้มาร่วมเวลากลางวัน แต่ต้องกลับก่อนห้าโมง เพราะทางเจ้าภาพจะต้องรับเสด็จเจ้าชายฟิลิป..
(เรื่องที่จะยกเลิกบัตรเชิญที่ออกไปแล้ว ในเจตนาว่าไม่ต้อนรับนั้น..เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะฝ่ายครอบครัวตระกูลกินเนสส์นั้น ก็จัดว่า อยู่ในฐานะที่ไม่ด้อยไปกว่าพิณทองแถม หรือ แพรทองทาบ...ไปสักเท่าไร)

ในที่สุด ห้าโมงเป๊ะ เจ้าชายฟิลิปก็เสด็จถึงตามที่ได้ทรงตรัสไว้.. และทรงพบกับซาบริน่า ที่กำลังจะเดินทางกลับพอดี พระองค์ได้เชิญให้หญิงสาวให้เข้าไปสนทนาด้วยในห้องรักแขกด้วยมาดที่ชาเย็น เธอได้เดินตามเข้าไปอย่างหงอยหงิมระคนเกรงกลัว
พระองค์ได้ตรัสตรงๆว่า..ขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้าฟ้าชาย และขอให้เลิกขาด พระองค์ไม่ต้องการเห็นชื่อของเธอห้อยติดอยู่กับพระโอรสอีก..
สาวซาบริน่า..ต้องกลับบ้านไปด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา..

และตอนนั้นคือ ตอนที่เจ้าชายฟิลิปได้เปิดพระอุระพูดกับพระโอรสตรงๆเกี่ยวกับเลดี้ ไดอะน่า สเปนเซ่อร์ ว่า..
"จะแต่งก็แต่งซะ.."
ใครต่อใครก็รู้ว่า ระหว่างสองพ่อลูกนี้...ใครคือผู้ที่ชี้ชะตาในทุกอย่างและทุกเรื่อง และ ใครที่รับถือไปปฏิบัติอย่างไม่มีข้อแม้...
ฉะนั้น ในสี่อาทิตย์ต่อมาของเจ้าฟ้าชาย ที่พระทัยเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ทรงสับสน..จับต้นชนปลายแทบไม่ถูก ทรงเขียนไว้ในสมุดไดอะรี่ว่า..
"คิดไม่ตก กลุ้มใจจริงๆกับเรื่องนี้"
พระองค์ได้ปรึกษากับเพื่อนรัก คามิลล่า ว่าจะทรงทำอย่างไรดี
คามิลล่าได้ตอบว่า..
"ตามพระทัย..หม่อมฉันเห็นดีด้วย"
แต่กับเพื่อนๆของหล่อน คามิลล่าได้เล่าไปในจดหมาย โดยเรียกไดอะน่าว่า..
"นังหนู"
(อ้าว..จริงๆนะ เขาเรียกว่า..The Mouse เลยเชียว)

เจ้าฟ้าชายได้ทรงจดหมายไปบรรยายความรู้สึกกับพระสหายว่า..
"คิดอ่านอะไรก็ตันไปหมด เพราะหนทางข้างหน้านั้นมันช่างแตกออกไปได้หลายสายจริง ใจหนึ่งเราก็อยากจะทำให้ถูกต้อง เพื่อ ชาติและราชบัลลังค์ แต่ อีกใจหนึ่งเราก็กลัวว่า ถ้าผลออกมาในด้านลบ  เราจะต้องทนอยู่กับความผิดพลาดครั้งนี้ไปจนตลอดชีวิต..นี่ซิ ที่เราต้องคิดหนัก"

(ต่อมา ที่ผลออกมาในด้านลบเข้าจริงๆ เจ้าฟ้าชายได้กล่าวโทษให้กับเจ้าชายฟิลิปพระบิดา ที่มีส่วนผลักดันให้พระองค์ต้องรีบผลีผลาม ทำไปทั้งๆที่จิตใจยังไม่พร้อม)

และด้วยกระแสที่เร่งเร้าเข้ามาในทุกด้าน ทำให้เจ้าฟ้าชายได้ตัดสินพระทัย ขอเลดี้ไดอะน่า แต่งงานในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1981 และ ได้ประกาศออกมาเป็นทางการในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ต่อมา
เจ้าฟ้าชายได้ทรงตรัสแก่ผู้สื่อข่าวว่า..
"ฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ประชาชนไม่รัก..ไม่ได้หรอกนะ "
ประชาชนต่างโห่ร้องด้วยความปิติยินดี เพียงแต่..คนเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียน้ำตาในครั้งนี้นานถึงหกอาทิตย์ คนนั้นคือ นาย ฟรานเซส ชานด์ คีดด์ เพราะ เธอเข้าใจดีว่า ไดอะน่าจะต้องไปอยู่ในฐานะเช่นไร   และ ประสบการณ์ที่แสนน้อยนิดอย่างเธอ จะไปรอดได้นานแค่ไหน..

(ประวัติของนางฟรานเซส ได้เขียนไว้ให้อ่านแล้วนะคะ ในรักร้าว..จะทราบกันดีว่า ขนาดเป็นแต่เมียท่านเอิร์ลกว่าจะมีลูกชายออกมาให้ได้ก็ต้องเสียน้ำตาไปเป็นปี๊บ อีกทั้งแทบจะเสียสติ เพราะถูกคนในสังคมนินทาตลอดว่า..คลอดออกมาทีไรก็เป็นผู้หญิง เธอจึงต้องทนท้องแล้วท้องอีก..กว่าจะได้สมใจก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:47

 หลังจากการหมั้นผ่านพ้นไปไม่นาน...ทุกคนต้องพากันประหลาดใจที่เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่  
จากเลดี้ไดอะน่า สาวน้อยที่แสนสวยใส ท่าทางติ๋มๆ มาเป็นสาวสะพรั่ง ใจถึง กล้าโชว์ส่วนสัดอย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในคนของเดอะ เฟิร์ม
นั่นคือ การปรากฏตัวที่งานการจัดมหาอุปรากรการกุศลของ บีบีซี ที่ทุกคนต้องมองมาที่เธอจนลูกตาแทบถลน..
ในชุดราตรีไร้สายสีดำสนิท  ส่วนหน้าอกนั้นตัดต่ำจนเห็นเนื้อนวลนูนเด่น.. จนเจ้าหน้าที่ของบีบีซีถึงกับอุทานว่า..
"ให้ตายซิ..นี่มันคือ เต้าที่สร้างมาเพื่อให้โลกละเมอ เลยนะเนี่ย.."
อีกคนหนึ่งก็เสริมว่า
"พระมาเห็นชุดเด็ดนี่เข้าละก้อ วิ่งกลับวัดไปสึกแทบไม่ทัน.."

สาเหตุที่เลดี้ไดอะน่า ต้องการที่จะเป็นจุดเด่นสุดๆในงานนี้ เพราะว่า เธอจะต้องพบและต้องดินเนอร์กับดาราค้างฟ้า เจ้าหญิง เกรซ แห่ง โมนาโค ที่ใครต่อใครว่ากันว่า ทรงงามอย่างหยาดฟ้ามาดิน..ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมหลังจากการแสดงจบ..
เลดี้ไดอะน่า อาจจะไม่ทราบว่า สาเหตุที่เจ้าหญิงเกรซได้รับเชิญมาในงานนี้ เพราะว่าเป็นการจัดงานแบบการกุศลที่พระองค์ได้มีส่วนร่วมด้วย เพราะจริงๆ ดังที่เล่ามาให้ทราบแล้วว่าเดอะ เฟิร์ม ไม่ได้โปรดปรานอะไรกับเจ้านายแห่งโมนาโคหนักหนา
อีกทั้งแทบจะไม่ได้นับว่าเป็นเจ้าเสียด้วยซ้ำ แถมยังเป็นอดีตดาราฮอลลีวู๊ดเข้าไปอีก ยิ่งเหมือนกับโดนดูถูกสองเด้ง..

ทั้งๆที่จะว่ากันตามจริงแล้ว..เจ้าชายเรเนียร์ ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์มานานที่สุดในยุโรป
(สถิติตอนนั้น คือ ปี 1996 มีกษัตริย์สองพระองค์ในโลกที่ครองราชย์นานกว่าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธ  นั่นคือ เจ้าชายเรเนียร์ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ของเรา)

ในงานนั้น เลดี้ไดอะน่าได้เข้าร่วมวงสนทนากับนักข่าวอย่างสนิทสนม และ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ถ่ายรูปอย่างเต็มที่ด้วยอาการที่เป็นกันเองอย่างธรรมชาติ ไม่มีพิธีรีตองจนน่าอึดอัด
ในงานหนึ่งที่เธอได้ทำไวน์หกลงเปื้อนถุงมือ..เธอขำ..และบอกกับนักข่าวว่า..
"อุ๊ยตาย..นี่ต้องรีบเอามันไปร้านซักแห้งอีกแล้ว"
หรือยามที่คนถามว่า ชีวิตในพระราชวังเป็นอย่างไร...เธอได้ตอบว่า
"ต้องทานอาหารแบบมีพิธีรีตองตลอดเลย เบื่อจัง"
หรือยามที่มีชายคนหนึ่ง เข้ามาบอกว่า
"ขอได้มีโอกาสจุมพิตมือของพระราชินีในอนาคตหน่อยได้ไหม?"
ไดอะน่าได้ส่งมือให้ด้วยความยินดี และตอบว่า..
"จูบซิ..และเชื่อเลยนะ ว่าคุณจะไม่มีวันลืมวินาทีนี้ไปจนตลอดชั่วชีวิต"
นักข่าวทั้งหลายต่างชอบใจ นึกศรัทธาจะนิยมชมชื่นเด็กสาวคนนี้อย่างหมดใจ.. นับแต่วินาทีนั้นมา
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:59

 ในคืนเดียวกันนั้น เราต้องไม่ลืมว่า เลดี้ไดอะน่ามิได้ไปงานแต่เพียงคนเดียว เจ้าฟ้าชายพระคู่หมั้นได้เสด็จไปด้วย..
หลังจากที่เลดี้ไดอะน่าได้กำลังเป็นจุดสนใจท่ามกลางวงล้อมของนักข่าวนั้น
เจ้าฟ้าชายได้แยกพระองค์ออกมาเพื่อจะได้ไปสนทนากับกลุ่มคนอื่นๆ หากแต่พระองค์ได้ออกมาอย่างโดดเดี่ยว และเป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นมกุฏราชกุมาร ที่ไม่มีนักข่าวคนไหนสนใจที่จะตามมา..
ทุกคนกำลังแห่แหนชื่นชมอยู่กับสาวหน้าใส ว่าที่พระชายา...
วันต่อมา..แน่นอนว่า ข่าวของเธอปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ไม่ว่าจะออกมามุมไหน ท่าไหน ก็สวยไปหมด
ในเนื้อข่าวบางคอลัมน์ได้เขียนเย้าด้วยคำว่า "อวบอิ่ม" หรือ "หนั่นเนื้อที่อวบอั๋น"
นี่คือสิ่งที่เลดี้ไดอะน่าได้ประหวั่นพรั่นกลัวเป็นที่สุด แถมภาพที่ออมาทางข่าวโทรทัศน์ ที่ฟ้องต่อสายตาว่า..เธอนั้นอวบไปจริงๆ..
จนถึงกับร้องบ่นออกมากับพระคู่หมั้นว่า..
"ตายแล้ว..ทำไมหม่อมฉันดูอ้วนยังกับแม่วัวอย่างนั้นล่ะ
เพคะ...ตาย ตายจริง..."
เจ้าฟ้าชายก็พอกัน..ไม่ทันได้คิด เพราะพระองค์เองก็ทรงระวังพระวรกายเป็นที่สุด (เนื่องจากสมัยเมื่อยังทรงพระเยาว์ เพื่อนๆที่โรงเรียนเรียกล้อเลียนว่า ไอ้อ้วน)
พระองค์ทรงเสวยแต่อาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ใข่ขาวเจียว ปลาแห้งเส้น สลัดเขียว เครื่องขบเคี้ยวคือ เมล็ดพืชอบแห้ง ลูกพรุนแห้ง ผลไม้แห้งนานาชนิดรวมกัน ที่ทรงจัดใส่ถุงเล็กๆสะดวกต่อการพกพา
ทรงออกกำลังกายติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เครื่องดื่มที่ทรงโปรดคือ น้ำมะนาวเจือเกลือนิดๆ..
ที่ไดอะน่ามักล้อเลียนทำหน้าเหยเก ว่า.."น่าคลื่นใส้ละไม่ว่า"

แต่เจ้าฟ้าชายทรงว่า...นี่คือสูตรสำเร็จที่ทรงคิดขึ้นมาเอง เพื่อความสะดวกสบายในการขับถ่าย..
พระองค์มักทรงล้อเลียนพระคู่หมั้นเสมอ ในเรื่องของความอั๋น..โดยการเรียกชื่อว่า แม่ฟักทอง บ้าง..หรือ แกล้งสั่งงดของหวานบ้าง..
นี่คือที่มาและแรงผลักดันให้ไดอะน่าได้ก้าวกลับไปพึ่งสูตรสำเร็จของการลดความอ้วน สไตล์ สเปนเซ่อร์ อีกครั้งตามอย่างพี่สาว... เลดี้ เจน...ที่เคยมีอาการของโรค อะโนเรคเซีย.. ที่มีพื้นเพมาจากสภาพทางจิตที่ไม่ปรกติ ของเด็กที่อยู่ในสภาพของการที่มีครอบครัวแตกแยก..เลดี้เจนได้อดอาหารจนซูบโซ ถึงขนาดที่ต้องส่งไปบำบัดก่อนที่ร่างกายจะเกิดการปฏิเสธอาหารจนถึงกับช๊อค
(จะอาจทำให้เสียชีวิตในที่สุด ดังที่ได้เกิดขึ้นกับนักร้องหญิงของเดอะ คาร์เพนเตอร์)

ในกรณีของไดอะน่าก็เช่นกัน เธอเคยอดอาหารจนหิวทนไม่ไหว ต้องสวาปามทุกอย่างที่ขวางหน้า..
จากนั้น พออิ่มจนเต็มกระเพาะ ทางสภาพจิตใจและความคิดจะเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ..จึงต้องหาทางระบาย
ด้วยการล้วงคอให้ขย้อนคายทุกอย่างออกมา..
อันนี้ เราเรียกว่า..โรคบูลิเมีย
(ซึ่งทางการแพทย์ ถือว่าเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง...ที่ต้องได้รับการบำบัด ผู้ป่วยด้วยโรคนี้มักจะมีจิตใจไม่ปรกติ เดี๋ยวดีใจหาย หรือ อาจมีอารมณ์ร้ายจนเข้าขั้นอาละวาด เพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 10:04


นี่คือไดอะน่าในชุดราตรีสีดำที่ลือลั่นไปทั้งงานค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 10:07

 การย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมก่อนการอภิเษกสองสามเดือนนั้น   เจ้าฟ้าชายชารลส์มิได้ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา  เนื่องจากต้องเสด็จประพาสนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นเวลาถึงห้าอาทิตย์
และตอนนี้เองที่เหล่ามหาดเล็ก และคุณพนักงานรับใช้พระคู่หมั้นต้องวิ่งกันวุ่น เนื่องจาก อาหารจำพวกซีเรียลกล่องๆ และอาหารอื่นๆนั้นหายไปจำนวนมาก จนเกือบตั้งมีการไต่สวนหาตัวการที่บังอาจโขมย..
เลดี้ไดอะน่าได้ออกมารับว่า เอาไปกินเอง ชาววังถึงกับตกใจ ว่าจะกินอะไรเข้าไปได้มากมายขนาดนั้น.. หรือ อาจจะทำความดีออกมาช่วยปกป้องคนผิดกันแน่
แต่คุณพนักงานทำความสะอาดได้คอนเฟิร์มอย่างแน่นอนว่า..พระคู่หมั้นอ้วกได้อ้วกดีในห้องน้ำ..

ใครต่อใครต่างพากันไม่เชื่อหู ว่าสาวสวย สาวมั่นอย่างเลดี้ไดอะน่าที่แสนจะงามสง่าในราชรถเทียมม้า..จะมานั่งซบกอด"คอห่าน" ให้บัดสีบัดเถลิงได้อย่างไร..
ไม่เชื๊อ ..ไม่เชื่อ...
ทุกคนต่างทำใจไม่ยอมรับ และพร้อมที่จะลืมเรื่องนี้ไปให้สนิท เหมือนกับว่า มันไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เป็นความจริง...

การเดินทางต่างประเทศในครั้งนี้ของเจ้าฟ้าชาย คือการดูลาดเลาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากพระองค์ได้เคยคิดไว้ว่าหลังจากงานอภิเษก พระองค์อยากจะย้ายมาประจำช่วยราชการพร้อมพระชายาในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลอังกฤษ ประจำที่กรุงแคนเบอร่า
ความคิดนี้ได้ทรงกราบบังคมทูลไปยังพระมารดา ซึ่ง สมเด็จได้ทรงนำไปปรึกษาในความเป็นไปได้กับนายกรัฐมนตรีหญิง นางมาร์กาเร็ต แทชเช่อร์
ซึ่งหลังจากผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรีออกมา ผลคือ เป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ในการเสด็จเยือนครั้งนี้..พระองค์ได้ทรงโทรศัพท์มาคุยกับพระคู่หมั้นว่า..
"โชคดีจริง ที่เขาไม่มีตำแหน่งให้ เพราะไม่อยากจะมาแล้ว อีตานายกรัฐมนตรีที่นี่ท่าทางเซ็งจัด ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย"
ตั้งแต่จากไปห้าอาทิตย์ พระองค์ได้โทรศัพท์ไปหาพระคู่หมั้นเพียงสี่ครั้ง กับพระมารดา ครั้งเดียว
และทุกครั้งได้ถูกแอบบันทึกเทปไว้หมด โดยคณะขบวนการต่อต้านอังกฤษในแคนาดา  เทปนี้ได้มีการจัดจำหน่ายในอังกฤษให้กับนักข่าวอิสระที่สนใจที่จะนำไปประจาน...
ซึ่งทางฝ่ายเสนาบดีของเดอะ เฟิร์ม ต้องวิ่งกันวุ่น มีการจัดหาทนายความแก้ต่างว่า  เสียงในเทปทั้งหมดนั่นคือการปรุงแต่ง เลียนเสียงโดยใช้เทคนิคเข้าช่วย   ศาลให้อำนาจสั่งให้งดการแพร่กระจาย..

หากแต่..ข้อความทั้งหมดได้ไปลงในหนังสือพิมพ์ที่เยอรมัน (Die Aktuelle)  ซึ่งได้แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษลงในหนังสือพิมพ์ Irish Independent..เพราะห้ามไม่ทัน

ในข้อความระหว่างเจ้าฟ้าชายและเลดี้ไดอะน่า...มีว่าดังนี้...ว่า สองเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องงานอภิเษกนั้น คือ เรน..แม่เลี้ยง และ ท่านเอิร์ล สเปนเซ่อร์ บิดาของเธอเอง ที่เพิ่งจะหายป่วยแหม็บๆ ได้ออกมายืนเคียงคู่ ให้ข่าวในทีวีด้วยใบหน้ายิ้มหราแป้นแร้น...
ไดอะน่าได้บ่นให้พระคู่หมั้นฟังว่า
"ยัยนั่นได้จัดการเอาพ่อไปถ่ายรูป เซ็นชื่อกำกับ แล้วเอาไปใส่กรอบขายให้พวกนักท่องเที่ยว ใบละครึ่งปอนด์ แถมมีการคิดค่าร่วมดื่มน้ำชากับยายเฒ่าสีชมพูนั่นด้วย (หมายถึง คุณหญิงบาร์บาร่า คาร์ทแลนด์) งานแต่งงานของเราครั้งนี้เห็นทีจะวุ่น ถ้าขืนพระองค์ปล่อยให้ยัยบ้านั่นเข้ามาวุ่นวายเพคะ"
"อย่าเป็นห่วงเลยที่รัก...เอ็ดเวิร์ด (อะดีน) คงรู้หน้าที่ของตัวเองดี ว่าต้องทำอะไรมั่ง หรือไม่ก็พระมารดาท่านคงต้องลงมากำกับเองถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล"
"ก็รู้แล้ววว...แต่นี่มันงานแต่งงานของหม่อมฉันเช่นกัน  หม่อมฉันไม่มีสิทธิออกความเห็นบ้างเลยหรือเพคะ?"
"ก็แน่นอนซิ..ต้องมี...แต่ถ้าจะให้ดี...ลองคุยกับแม่ของเธอดูซิ"
"เพคะ หม่อมฉันจะทำตามนั้น ความจริงก็ไม่อยากบ่นหรอกนะเพคะ แต่ยังไงพรุ่งนี้หม่อมฉันก็จะพบกับแม่ คงจะได้ความคิดอะไรดีๆ เพราะแม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี และมีเหตุผลเป็นที่สุด"

แต่..ความจริง หลังจากที่ข่าวโทรทัศน์ที่ทุกคนได้เห็นความเจ้ากี้เจ้าการของเรนแล้วนั้น หนังสือพิมพ์ The Spectator รู้สึกสงสารเลดี้ไดอะน่าเป็นกำลัง ถึงขนาดออกข่าวพาดหัวว่า
"คุณนาย ชานด์ คีดด์ กรุณากลับบ้านด่วน ประเทศชาติกำลังต้องการคุณ"
ในเนื้อข่าวได้ลงใจความออกความเห็นว่า..น่าจะมีการออกมาต่อต้านการกระทำของสองแม่ลูกคู่นี้บ้าง เพราะ
นับวันยิ่งดูเหมือนกับกำลังจะหากิน ทำมาค้าคล่องกับงานพิธีอภิเษก ซึ่งสมควรจะต้องเป็นงานแห่งชาติ หาใช่อุตสาหกรรมในครัวเรือนของใครไม่..

เลดี้ไดอะน่า..ไม่สามารถตัดเรนออกไปจากแขกรับเชิญในงานได้ เพราะเป็นภริยาของพ่อ  แต่..บาร์บาร่า หรือ ยัยเฒ่าสีชมพูนั้น ลืมไปได้เลย...
ไม่เชิญ   !

ในภาพ คือ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ หรือที่ถูกเรียกว่า ยัยเฒ่าสีชมพู
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 10 มี.ค. 06, 10:12

 ความจริงก็น่าสงสารบาร์บาร่า พอสมควร เพราะจะว่าไปแล้ว เธอได้ทำชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์นิยายโรแมนติคอังกฤษให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้า
ประชาชนต่างก็คลั่งไคล้ใหลหลงในบทประพันธ์ของเธอกันทั่วบ้านทั่วเมือง   จนตัวเองยังพาหลงเข้าใจผิดไปว่า..ใครๆก็ต้องรัก อยากได้เธอมาเป็นดาวประดับเป็นเกียรติกับงาน
แต่..การที่ไม่ได้รับเชิญในงานอภิเษกของเจ้าฟ้าชายชารลส์ เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง ว่าจะพลิกล็อคได้ถึงขนาดนั้น
เพราะตามโผแล้ว..เจ้าบ่าวได้โควต้าให้เชิญแขกได้ สามร้อยคน...
เจ้าสาวเชิญได้ หนึ่งร้อยคน ฝ่ายพ่อแม่เจ้าสาวเชิญได้ ห้าสิบ แต่บัตรเชิญได้พิมพ์ออกมา 2500 ใบ ที่เหลือคือแขกของสมเด็จและของรัฐบาล
เมื่อเลือกได้ว่าจะเชิญใครได้แล้ว คู่บ่าวสาวยังต้องส่งรายชื่อไปให้ฝ่ายกรมวังของสมเด็จได้พิจารณาอีกครั้ง..
บาร์บาร่ามั่นใจหนักหนาว่า ถึงแม้เธออาจจะไม่ได้รับเชิญจากโควต้าของไดอะน่า  แต่..ทางโควต้าของเหนือหัวและของรัฐบาล คนสำคัญอย่างเธอย่อมไม่มีวันหลุดไปจากโผ..
แต่ที่ไหนได้..กลายเป็นว่า..ความปรารถนาของไดอะน่าได้บรรลุผล สมเด็จมิได้ทรงใยดีกับความเป็นนักประพันธ์ของเธอแม้แต่นิด
ในที่สุด ในวันนั้น..เพื่อเป็นการล้างอาย บาร์บาร่าจึงต้องรีบจัดงานหารายได้เข้าการกุศลเป็นการเอิกเกริก จะได้มีข้ออ้างกับนักข่าว..ว่า ฉันกำลังบิซี่

กลับมาเล่าเรื่องการสนทนาทางไกลออสเตรเลียของเจ้าฟ้าชายชารลส์กับพระคู่หมั้นต่อ...
ไดอะน่าได้บ่นพึมถึงเรื่องการที่จะต้องเรียนรู้กฏเกณฑ์และระเบียบพิธีการต่างในระยะเวลาอันสั้น..ว่า
"ตื่นเต้นจังเลย..กลัวว่าถึงเวลาเข้าจริงๆจะทำตัวไม่ถูก...หม่อมฉันคิดถึงพระองค์จัง"
"คิดถึงเธอเช่นกัน...นี่จะต้องไปงานอาจจะต้องช้าหน่อย ไม่เป็นไร..ปล่อยให้เขาคอยกันนิดๆหน่อยๆคงได้ เพราะ วันนี้ทำงานมาทั้งวันแล้ว ขอเวลาคุยกับที่รักหน่อยคงไม่มีใครว่าอะไรกระมัง"
และทรงเล่าต่อว่า..ที่สนามบินมีผู้หญิงหลายคนที่มีหน้าตาคล้ายๆกับพระคู่หมั้นอีกทั้งพยายามแต่งตัวให้เหมือน ในสไตล์ของ Di look-alikes พากันมารับเสด็จในเชิงล้อเลียนแบบน่าเอ็นดู
แต่พระองค์ได้หยอดคำหวานไปว่า...
"ไม่ดีเท่ากับของจริงหรอก.."
เรียกเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างมีความสุขได้จากทางปลายสาย
พระองค์ทรงบ่นต่อไปว่า..
"ไอ้พวกช่างภาพนี่ก็ไม่รู้เป็นอะไรซิ..ชอบตามถ่ายรูปทางด้านหลังเสมอ มันจะเอารูปกระหม่อมช่วงที่มีผมบางๆให้ได้เชียว"
"อ้าว..มีด้วยหรือเพคะ..หม่อมฉันไม่ยักสังเกตว่าพระเศียรเริ่มล้านแล้ว"
"มีซิ..เมื่อก่อนพวกเราก็เคยล้อพ่อในเรื่องที่ทรงเป็นกังวลกับพระเศียร..และเรื่องการหายาปลูกพระเกศา"
"โอย..หม่อมฉันหวังว่าคงไม่เป็นวงใหญ่อย่างของเจ้าชาย
ฟิลิปหรอกนะเพคะ..แต่อย่างไรเสีย พระองค์อยู่ที่นั่นก็ยังสนุกกว่าหม่อมฉันที่ต้องอยู่โยงคนเดียวที่นี่"

จากนั้น..เธอก็ได้พยายามเล่าเรื่องน่ารักๆของควีนมัมให้พระคู่หมั้นทรงสดับเป็นการประจบประแจง เพราะใครๆก็ทราบดีว่า ยายหลานคู่นี้รักกันมากเพียงไร..
ลับหลัง..ไดอะน่าได้มาเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า..ยามที่เธอได้เข้าไปพักอยู่ในพระตำหนัก คลาแร้นซ์ กับควีนมัมเพื่อเตรียมการฝึกการเป็นปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น..เธอว่า ควีนมัมมิได้สนใจใยดีในตัวเธอเลยแม้แต่นิด

ต่อมา เธอก็ได้ย้ายไปอยู่ที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ได้รับมอบสำนักงานเล็กๆใกล้กับที่ทำงานของ นาย โอลิเวอร์
เอฟเวอเร็ตต์ ผู้ช่วยเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ให้เป็นที่ทำการของเธอ (ชั่วคราว)
นายโอลิเวอร์ ถึงกับกลั้นหัวเราะในครั้งแรกที่เลดี้ไดอะน่าโผล่เข้ามาหาในออฟฟิซของเขา..เพราะเธอมาในสภาพชุดรัดรูปแบบที่ใช้ในการเต้นอะโรบิค ที่ศีรษะคาดด้วยวิทยุหูฟัง
ซึ่งเมื่อสอบถามได้ใจความว่า..เธอมีคลาสเรียนเต้นรำประเภท ร็อค แอนด์ โรลล์ อาทิตย์ละหลายวัน และนี่คือสิ่งที่โปรดปรานที่สุด
อีกทั้ง ในช่วงเช้าและกลางคืนเธอมักติดภาระกิจที่ต้องเฝ้าหน้าจอทีวีดูละครน้ำเน่าแบบต่อเนื่อง..  
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 01:46

 ขอบพระคุณ คุณวิวันดามากครับ
เรื่องของคุณวิวันดาเป็นเรื่องแรก ที่ผมเริ่มติดตามอ่าน หลังจากสอบปลายภาคการศึกษาเสร็จ
กว่าจะอ่านทันที่ อ.เทา นำมาแปะไว้ ก็กินเวลาเกือบ 3 วัน ได้ (เรียกได้ว่าอ่านอย่างติดงอมแงมเลยครับ)


ต้องขอบพระคุณสำนวนสนุกๆของคุณวิวันดาครับ ที่อ่านรอบที่ 2 แล้วก็อาจจะมีรอบถัดไป
และขอบพระคุณ อ. เทาฯ สำหรับภาพที่นำมาเสริมไว้ในกระทู้ด้วยครับ


วันนี้เข้านอนก่อนล่ะครับ พรุ่งนี้เข้างานแต่เช้า (ปิดเทอมวันสุดท้ายนะเนี่ยะ ผมยังต้องทำงานอีกเหรอ)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 09:20

 ถ้าหากว่าพวกเราอยากอ่านเรื่องควีนวิคตอเรียเต็มแก่  
จะช่วยกันส่งคุณวิวันดาไปอลาสก้าอีกสักทีจะดีไหมเนี่ย    
ตอนนี้เข้าใจว่าคุณวิวันดามีงานประจำรัดตัว
แต่ก็หวังว่าจะพอปลีกตัวมาเล่าเรื่องสนุกๆสู่กันฟังได้นะคะ
เล่าทีละเล็กละน้อยก็ยังดีค่ะ  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 11:30



   รีบเข้ามาแปะต่อค่ะ  ไม่เว้นวันหยุด

เห็นใจแฟนๆที่ติดตาม



ฝ่ายสำนักเลขาธิการจึงต้องรีบสางอุปนิสัยกันใหม่ โดยแจ้งให้ไดอะน่าทราบว่า..ภาระกิจของเธอในรอบปีจะต้องมีการออกงาน 170 ครั้งเป็นอย่างน้อย

โดยผู้ที่เข้ามาช่วยคือ ท่านผู้หญิง ซูซาน ฮัสซี่ นางสนองพระโอษฐ์คนสำคัญใกล้ชิดของสมเด็จ..ว่าด้วยเรื่อง การที่ต้องสวมหมวกในทุกโอกาส การโบกมือโดยใช้กำลังจากข้อศอกและข้อมือ ห้ามใช้ห้องสุขาสาธารณะเป็นอันขาด

จนไดอะน่าได้ไปบ่นกับเพื่อนๆว่า..

"สิ่งที่แย่ที่สุดในการเป็นเจ้าหญิงเนี่ย..คือเรื่องชิ้งฉ่อง.."



นายโอลิเวอร์ ได้เริ่มบทเรียนอันดับแรก..โดยการมอบหนังสือประวัติศาสตร์ยกชุดที่ว่าที่เจ้าหญิงแห่งเวลส์สมควรอ่านให้ซึมซับทราบแบบลึกซึ้ง และทันที่ที่นายโอลิเวอร์ หันหลังกลับ

หนังสือเหล่านั้นก็ถูกโยนโครมไปที่พื้น เธอว่า

"เรื่องอะไรจะอ่าน..ฝันไปเถอะ"



เพราะด้วยความอดอาหารเพื่อให้น้ำหนักลดนั้น อารมณ์ของไดอะน่าจึงบ่จอย  ในสนามโปโลก่อนการอภิเษกไม่เท่าไหร่ ที่เธอได้ปล่อยโฮออกมาต่อหน้านักข่าวและช่างภาพ

ผู้ที่เข้าแก้สถานะการณ์คือนางฟรานเซส มารดา ที่ช่วยพาตัวออกไป ส่วนเจ้าชายพระคู่หมั้น แก้ตัวให้ว่า ไดอะน่ารู้สึกเหนื่อย และกดดันนิดหน่อย ตามประสาคนที่ไม่เคยกับการเป็นข่าว..

ที่สนามเทนนิส ในการแข่งขันวิมเบิลตันรอบสุดท้าย ที่เลดี้ไดอะน่าต้องรีบลุกขึ้นกลับก่อนที่จะรับรู้ว่า จอห์น แมคเอนโร เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ

ที่ต้องรีบกลับก่อนนั้น เพราะว่า  จอห์นได้ตีลูกไป ด่ากรรมการไป อย่างไม่ธรรมดาเพราะเขาเป็นคนที่ชอบสบถหยาบคาย ไม่ได้สนใจสักนิดว่าใครจะอยู่นั่งอยู่ใน royal box

พวกนักข่าวที่ไปทำข่าว ถึงกับถือเป็นเรื่องตลก นำมาล้อเล่นกันว่า..

"สงสัยจะต้องล้มเลิกพิธีอภิเษกซะแล้ว เพราะตอนนี้.... Lady Di's ears are no longer virgin."



ฝ่ายเลขาธิการของเจ้าฟ้าชาย ต่างก็เข้ามาช่วยในการฝึกฝนว่าที่เจ้าหญิง แห่ง เวลส์ โดยการบอกให้ทราบถึงผังงานพระราชพิธีในรอบรายเดือน และ รายปี อีกทั้งการออกนอกเมืองหรือประเทศ  ที่ได้วางไว้ในระยหกเดือนล่วงหน้า..



แต่...ไดอะน่ากลับไม่สนใจในเรื่องงานหรือพิธีอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการทราบ..นั่นคือ ความสัมพันธ์ของพระคู่หมั้นกับหญิงอื่นๆ โดยเฉพาะกับ คามิลล่า..

เพราะเธอได้เคยทูลถามกับเจ้าฟ้าชายโดยตรงมาก่อน แต่พระองค์มิได้ทรงตอบอะไรทั้งสิ้น ไม่รับ และ ไม่ปฏิเสธ

นี่คือ..สิ่งที่คาใจเธออย่างที่สุด

คำถามนี้ได้ถ่ายทอดมาถามกับข้าราชบริพารใกล้ชิด..อย่างนายโอลิเวอร์ ที่เขาก็ได้แต่หลบตาต่ำไปที่พื้น และเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างทันทีทันใด..

จนมาจับได้คาหลังคาเขา เมื่อเธอได้ไปพบกับกำไลข้อมือที่ทีตัวอักษรสลักไว้ว่า G.F. อันหมายถึง Girl Friday ฉายาของคามิลล่า วางบนโต๊ะทำงานของนาย ไมเคิล โคลบอร์น

เลขาธิการส่วนพระองค์ของพระคู่หมั้น ซึ่งเธอได้คาดคั้นจนได้ใจความว่า เป็นของขวัญให้กับคามิลล่า

แน่นอนว่า..ไดอะน่าได้ติดตามไปเอาเรื่องกับพระคู่หมั้นอย่างไม่ลดละ  ..ว่า..ทำไมถึงทำอย่างนี้..??

พระองค์ได้ตอบว่า..ตั้งพระทัยจะให้กับคามิลล่า เพื่อเป็นของขวัญในการลาจากและเป็นการตัดสัมพันธ์กันแต่แค่นี้..



ไดอะน่า..ไม่เชื่อเลยสักนิดในคำตอบเหล่านั้น เธอได้กลับออกมาด้วยใบหน้าที่นองน้ำตา...นำความทั้งหมดไปปรึกษากับพี่สาวทั้งสอง  ซาร่าห์ และ เจน

ซึ่งทั้งสองได้บอกว่า..

"ช้าไปแล้ว..ดัช..ตอนนี้หน้าเธอน่ะ ถูกพิมพ์ไปในผ้าเช็ดจาน ในที่จางแก้ว ในถ้วยกาแฟ ออกขายไปทั่วประเทศโน่นแน่ะ.."

(ดัช..คือชื่อเล่นของไดอะน่าที่เรียกกันในครอบครัว มาจากคำว่า ดัชเชส เนื่องจากทุกคนค่อนข้างมั่นใจว่า สักวันหนึ่งเธอจะได้เป็น ดัชเชส ออฟ ยอร์ค เพราะมีอายุไล่เลี่ยกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์)



วันต่อมา..เธอได้ออกอาละวาดต่อ..ขีดฆ่าชื่อของคามิลล่าออกจากรายการแขกเชิญ..รวมทั้งชื่อของ เลดี้ เดล ไทรอน หรือ "คังก้า" สองแฟนเก่า

หากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะ ทั้งสองสาวพร้อมสามีของพวกเธอคือแขกสายตรงของเจ้าฟ้าชาย



มาถึงตอนนี้ แม้แต่เจ้าชายพระคู่หมั้นเองก็เริ่มสงสัยในอาการเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดีของเธอ อีกทั้งเริ่มไม่เข้าใจในการร้องไห้คร่ำครวญอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของไดอะน่า..

จนต้องไปปรึกษากับพระขนิษฐา หากแต่ในยามนั้น เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ กำลังทรงครรภ์แปดเดือน ใกล้คลอดเต็มที จึงไม่มีพระอารมณ์ที่จะฟังเรื่องของพระเชษฐา

อีกทั้งตัดบทว่า..

"ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ก็ต้องสานต่อไป "

เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงใช้ประโยคเด็ดที่สมเด็จพระนางวิคตอเรียเคยสั่งสอนกับพระธิดาในยามที่ต้องไปอภิเษกโดยปราศจากความรักว่า

"Just close your eyes and think of England."  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 11:33

 เมื่อยังไม่ได้ความกระจ่างแก่พระทัย เจ้าฟ้าชายจึงหันไปพึ่งแฟนเก่า โซ ซัลลิส ที่แฟลตที่พักในลอนดอน ซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากสถานีตำรวจไปสักเท่าใด ขนาดทรงปลอมพระองค์
ด้วยการสวมหมวกหลุบพระพักต์ ปิดพระนลาฏ แต่ตำรวจเจ้ากรรมก็ยังจำพระองค์ได้ พากันเล่าขำๆว่า
"ก็หูกางซะขนาดนั้น ..จะไปหลอกใครที่ไหนด๊ายยย..ฮืม"

นาย โรแลนด์ ฟลามินี่ แห่งหนังสือ ไทม์ ได้มาเล่าในทีหลังว่า โซ ซัลลิส ได้บอกเขาว่า เจ้าฟ้าชายได้มาปรึกษาจริง ในเรื่องของการอภิเษกที่พระองค์ไม่ค่อยมั่นพระทัย แต่ ทรงว่า
"จะต้องทำให้ดีที่สุดเพราะนี่คือหน้าที่"

ห้าวันก่อนการอภิเษก เจ้าฟ้าชายได้ไปพบและเยี่ยมเยียนพระญาติสนิทตระกูล เมาท์แบตเทนถึงที่คฤหาสน์ บอร์ดแลนด์ เพราะพระองค์ทรงเลือกที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับระยะแรกของฮันนีมูน
จอห์น แบร์เร็ต เล่าว่า..
"เจ้าฟ้าชายได้บอกกับผมและท่าน ลอร์ด รอมซี่ย์ ว่า คามิลล่าคือผู้หญิงคนเดียวที่ครองพระทัยของพระองค์แบบหมดจด และพระองค์ไม่ทรงมีความรู้สึกอย่างเดียวกันนี้กับเลดี้ไดอะน่าเลย"
แต่ท่านลอร์ด รอมซี่ย์ ก็เหมือนกับคนอื่นๆที่เชื่อว่า..ความสาว สวยสด และความน่ารัก มีเสน่ห์ของพระชายาจะทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัยได้ไม่ยาก..

.....เดี๋ยวพักก่อน..ก่อนที่จะงงว่า จู่ๆลอร์ด รอมซี่ย์
{Lord Romsey}มาจากไหน ทำไมโผล่มาอยู่ในคฤหาสน์บอร์ดแลนด์ ของ เมาท์แบตเทน คืองี้...
ลอร์ด รอมซี่ย์ คือ ลูกชายคนโตของ แพตริเซีย (ธิดาคนโตของท่านลอร์ด หลุยส์) กับสามี จอห์น นัชบูล ที่มาเป็นท่านเอิร์ล บราเบิร์น ในทีหลังตามการถ่ายทอดบรรดาศักดิ์มาจากบิดา
ทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกันถึง เจ็ดคน คือ
1947 Norton Knatchbull ............ ที่ได้มาเป็น Lord Romsey ใช้ชื่อตามพระวิหาร Romsey เป็นพระวิหารประจำตระกูลของ บราเบิร์น
1950 Michael-John Knatchbull
1955 Joanna Knatchbull
1957 Amanda Knatchbull .... คนนี้คือ คนที่ท่านลอร์ด หลุยส์ ลุ้นอยากให้เป็นคู่ครองของเจ้าฟ้าชายชารลส์
1961 Philip Knatchbull
1964 Timothy Knatchbull... คู่แฝดกับนิโคลาส บาดเจ็บในเรือที่ถูกลอบวางระเบิด
1964 Nicholas Knatchbull ... เสียชีวิต จากวินาศกรรมครั้งนั้น
ส่วนแพตริเซีย นั้น ตามที่ท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ขอกับสมเด็จเป็นกรณีพิเศษด้วยเรื่องขอให้ลูกสาวได้รับถ่ายทอดบรรดาศักดิ์ เพราะตัวเองไม่มีลูกชาย..เธอจึงได้มาเป็น..
2nd Countess Mountbatten of Burma หลังจากที่ท่านลอร์ด หลุยส์ได้ถึงแก่อสัญกรรม
ความจริงเธอต้องมาแทนที่ในอภิสิทธิ์ต่างๆของบิดา เช่น ที่นั่งใน"สภาขุนนาง" หรือเป็นที่รู้จักกันในคำว่า
The House of Lords อันเป็นที่ชุมนุมของเหล่าบรรดาขุนนางถือบรรดาศักดิ์ ซึ่งเมื่อก่อนได้มีสิทธิและเสียงเหนือ The House of Commons สภาสามัญ หรือ รัฐสภา
หากแต่เมื่อปี 1999 นายโทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคแรงงาน ได้พลิกผันวงการเสียใหม่ เพราะรำคาญพวกขุนนางด้อยพัฒนาเต็มที ที่ไม่ว่าจะเสนออะไรไปก็ขัดขวางแบบไม่ลืมหูลืมตา
จึงเริ่มจำกัดสิทธิ ลดที่นั่ง และออกกฏเกณฑ์ของการเป็นสมาชิกในสภาขุนนางเสียใหม่ โดยเลือกเฟ้นว่า ใครคือขุนนางแท้ และ ใครคือ ขุนนางพวกที่ได้รับถ่ายทอดมา
โดยพิจารณาใหม่จากโหวตว่า ใครดีใครอยู่ ตามความสามารถ

ในที่สุด ในปี 2004 พวกที่ได้ถ่ายทอดมาทางสายเลือดนั้น เหลือติดสภาอยู่แค่เก้าสิบกว่าคน และ ยังจะต้องทำการคัดเลือกต่อไปอีก ว่า..จะเหลือชั้นหัวกระทิจริงๆกี่คน
แต่..แพตริเซีย นั้นหลุดโผไปตั้งแต่รอบแรก..

มาถึงตอนนี้ พวกบรรดาขาประจำนักอ่าน เริ่มมองเห็นภาพหรือยังว่า...บรรดาสะใภ้วินด์เซอร์ที่ไม่ใช่สายเลือดสีน้ำเงินนั้นต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ในยามที่ สภาขุนนางมีอำนาจสูงสุด
แต่ละคน..ช่างมีเล่ห์กล สืบ ค้น ล่า อย่างชนิดที่เจมส์ บอนด์ กลายเป็นเรื่อง ชิลด์ ชิลด์ ไปเลยแหละ...  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 11:36

 หลังจากพิธีอภิเษก ในวันที่ 29 กรกฏาคม 1981 ที่กว่าจะได้ผ่านพ้นไปได้ผ่านพ้นไป ฝ่ายกรมพิธีการต้องวิ่งทำงานกันอย่างหนัก เพราะ จากบัตรเชิญที่สมเด็จทรงส่งออกไปกว่าสองพันใบนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นประมุขของประเทศที่ต้องมีการหยั่งชั้นเชิงกันมากมาย อย่าง..สหรัฐอเมริกา ที่ ประธานาธิบดี รีแกนที่ถูกท้วงติงว่า ไม่สมควรไป เนื่องจากไม่สมฐานะของมหาอำนาจที่จะไปร่วมในงานแต่งงานของ (แค่) รัชทายาท ..
จึงได้ส่ง ท่านผู้หญิงแนนซี่ไปแทน ตามข่าวว่า หอบเสื้อผ้าไปกว่า ยี่สิบหกกระเป๋า พร้อมทั้งขอยื้มตุ้มหูเพชรราคากว่าแปดแสนเหรียญไปจากห้างดัง

ส่วนกษัตริย์ ฮวน คาโลส แห่งสเปน ปฏิเสธ เพราะกำลังมีปัญหา"คาพระทัย" กับอังกฤษในเรื่องพรมแดนไอบีเรียน แถบช่องแคบยิบรอลต้า แถมในการฮันนีมูนของบ่าวสาว จะมีการล่องเรือยอชบริแตนเนีย มาหยามกันถึงในน่านน้ำเมดิเตอเรเนียนซะอีก นี่มันเป็นเรื่องการเมืองชัดๆ...ทรงว่า..
(แต่ตอนหลังก็ดีกัน)

คนทั้งโลกต่างวาดภาพกันไว้ว่า แล้ว..เจ้าชายและเจ้าหญิงก็จะครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต....
แต่ไม่ใช่ในกรณีนี้ ที่ พระชายาก็เป็นโรคจิตกลัวอ้วน กลัวความว้าเหว่ กลัวการถูกทอดทิ้ง เจ้าชายก็เป็นคนที่ไม่เคยกล้าที่จะตัดสินอะไรด้วยตัวเอง
แต่การอภิเษกครั้งนี้ ได้ทำให้เลดี้ ไดอะน่า ปรับฐานันดรจากอันดับล่างๆนับชั้นลงไปได้ว่าคืออันดับที่สามสิบแปด...มาเป็นอันดับสามของประเทศ นั่นคือ รองลงมาจาก สมเด็จ และ ควีนมัม
และจะต้องได้รับการเคารพ เช่นการคำนับและการถอนสายบัวเช่นเดียวกับที่พระสวามีได้รับ
รวมทั้งหมายถึงว่า จากบรรดาเชื้อพระวงค์ฝ่ายหญิงในวินด์เซอร์ เช่น เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต เจ้าฟ้าหญิงแอนน์

นั่นคือ ตัวอักษรที่ลิขิตไว้เท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว..ไม่มีทางที่เจ้าฟ้าหญิงสองพระองค์นั่น จะถวายบังคมให้ใคร..นอกจากสมเด็จและควีนมัม
ยิ่งเจ้าฟ้าหญิงแอนน์..พระบิดาได้เคยตรัสไว้ว่า
"ถ้าลองไม่กินหญ้าแบบม้า ตดไม่เหมือนม้าแล้วละก้อ แอนน์ไม่เคยสนใจให้เปลืองสมอง"

ทางสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ว่า ต่อไปนี้
เลดี้ไดอะน่า คือ ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์
(ไม่ใช่เจ้าหญิงไดอะน่านะคะ เพราะ ไม่ใช่ลูกเจ้า ไม่มีเชื้อเจ้า ทางอังกฤษไม่นับว่าเป็นเจ้าหญิง ..คำว่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ คือ ชื่อของตำแหน่งและนั่นคือเป็น พระยศที่ใช้กำกับชื่อ..แต่คนไทยถนัดปากที่จะเรียกว่า เจ้าหญิง แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ใช้มาผิดๆคือปริ้นเซส ได)

บนเรือยอช บริแตนเนีย ที่ได้ล่องพาคู่ฮันนีมูนไปพนร้อมกับลูกเรือ 256 นาย และ ฝ่ายพนักงานเสริฟที่ต้องสวมรองเท้าพื้นยาง เพื่อไม่ให้เดินเสียงดังรบกวนบ่าวสาว
ทุกคนได้รับการฝึกให้มองไปยังที่อื่นที่ไม่ใช่เจ้านายตรงๆ
และต้องทำตัวเหมือนกับเป็นอากาศธาตุ
แต่ใครเล่าจะละสายตาไปจากเจ้าสาวที่กรุยกรายในชุดนอนบางๆนั่นได้
พนักงานคนหนึ่งได้เล่าว่า
"ผมเห็นว่า พระชายาได้ออกมาจากห้องบรรทมในชุดนอนสีขาวโปร่งเบา ตรงส่วนหน้าอกมีโบว์ผ้าซาตินสีชมพูหลุดลุ่ยอยู่ เธอได้พยายามดึงหนังสือไปจากพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าชาย และทำเสียงเล็กเสียงน้อย ว่า
"ชัลลส์จ๋า...มาทำการบ้านเพื่อประเทศชาติกันเร้วววว" พอเธอหันมาเห็นผมเข้า..เธอหัวเราะออกมากิ๊กกั๊ก และ ไม่อาย..ที่จะชวนพระสวามีเข้าห้องหอทั้งวัน และผมเห็นว่า เจ้าฟ้าชายก็ดูชื่นมื่นดี ไม่มีอะไรผิดปรกติ...

คำว่า "ผิดปรกติ" คือ ในหนังสือพระชีวประวัติที่ทรงอนุญาตให้
นาย โจนาธาน ดิมเบอร์บี้ นำคำให้สัมภาษณ์ไปตีพิมพ์รวมเล่มนั้น (หนังสือเล่มโต ชื่อว่า The Prince of Wales Biography) ทรงเล่าว่า ตลอดในช่วงเวลาของการฮันนีมูน พระองค์จึงได้ทรงทราบเป็นครั้งแรกว่า
ไดอะน่าเป็นโรคบูลิเมีย ที่ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนอย่างไม่มีสาเหตุ นาทีนี้ดีใจหาย นาทีต่อไปก็ร้ายสุดๆ
และเมื่อลงจากเรือ ก็คือการไปร่วมกิจกรรมครอบครัวกับพระราชวงค์ที่พระราชวังบัลมอรัล
ที่อยู่กันพร้อมหน้าทุกพระองค์ ทำให้ไดอะน่ายิ่งเกิดความเครียด ถึงขนาดต้องเสียมารยาทลุกขึ้นระหว่างการร่วมโต๊ะเสวยเพื่อไปอาเจียนในห้องน้ำ  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 11:38

 ภาพวันวิวาห์ ในสายตาประชาชนจากทุกมุมโลก  ดูเหมือนเป็นเทพนิยายที่กลายเป็นจริง   คนนอกไม่คิดเลยว่าเป็นเพียงภาพลวงตา
เอาภาพแต่งงานมาโชว์บ้างค่ะ  แม้ว่าเป็นอดีตไปแล้วก็ยังน่าชมอยู่ดี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 11 มี.ค. 06, 11:39

 อีกภาพหนึ่ง ที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.102 วินาที กับ 19 คำสั่ง