|
ชื่นใจ
ชมพูพาน
  
ตอบ: 136
นักศึกษาปริญญาเอก
University of East Anglia
England
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 03:49
|
|
อ้างจาก คหพ ที่ ๖๑ ค่ะ ส่วนว่าที่พระพี่เขย กัปตัน มาร์ค ฟิลลิป ที่มีท่าทางแหยๆ นั่น ... อาจารย์เทาชมพูคะ จากที่อ่านมาตั้งแต่ต้น อิฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลท่านประสูติก่อนเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ท่านจึงเป็นพระเชษฐา ไม่ใช่พระอนุชา และเมื่อเจ้าฟ้าหญิงแอนน์เป็นพระกนิษฐา ทำไมพระสวามีของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ จึงเป็น"พระพี่เขย" แทนที่จะเป็น"น้องเขย"ล่ะคะ หรือว่า อิฉันจะจำผิด งงจังค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 08:21
|
|
สี่เดือนต่อมา..เจ้าฟ้าหญิงแอนน์และพระสวามีนายหมอกได้สร้างวีรกรรมให้ชาวอังกฤษได้ภูมิใจในพระปรีชาของพระองค์อย่างหนักหนา กล่าวคือ ได้ทรงต่อสู้กับผู้ร้ายที่มีปืนด้วยมือเปล่าอย่างไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เรื่องมีอยู่ว่า.. พระองค์และพระสวามีได้กำลังเสด็จกลับพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ซึ่งในรถยนตร์พระที่นั่งนั้น ได้มีเครื่องหมายคือไฟสีน้ำเงินเปิดอยู่เหนือกระจกหน้ารถ อันเป็นที่ทราบกันว่า เจ้านายได้ประทับอยู่ข้างใน.. ขณะนั้น ก็ได้มีรถยนตร์ ยี่ห้อ ฟอร์ดได้ขับเข้ามาชนรถพระที่นั่งเพื่อให้หยุด.. คนขับรถฟอร์ดได้กระโดดออกมาพร้อมทั้งสาดกระสุนไปยังทิศทางของคนขับ และ ทางรถตำรวจที่แล่นติดตามมา..และ ทางประชาชน ก่อนที่เขาไปพุ่งตัวไปทางประตูรถพระที่นั่ง หมายใจว่าจะกระชากเปิดออกและเข้าทำร้ายเจ้าฟ้าหญิง
แต่..นายนั่นก็ได้แต่เยื้อชักเย่อกับประตูอยู่นั่นแล้ว..เปิดไม่ออก เพราะทางข้างใน... เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ทรงออกแรงยึดบานประตูไว้อย่างแน่นเหนียวเช่นกัน.. จนกระทั่ง ประชาชนได้กรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จับตัวคนร้ายได้ไว้..
นั่นคือครั้งแรกของการก่อเหตุของผู้ก่อการร้ายในอังกฤษ..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เหล่าตำรวจติดตามนั้น ไม่มีใครพกปืนสักคน ไม่เคยพกกันมาในประวัติศาสตร์ จะมีก็เพียงครั้งเดียวที่ตำรวจอังกฤษได้รับอนุญาตให้พกปืนพร้อมกระสุน นั่นคือ คืนวันที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด ทรงประกาศสละราชบัลลังค์ ปี 1936 ซึ่งทางรัฐบาลเกรงว่าประชาชนจะก่อเหตุจลาจล เพราะยังมีคนส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจ.. จากนั้นมาถึง 1974 ที่เกิดเหตุนี่..ตำรวจไม่เคยพกปืน...
พอหลังจากหายอกสั่นขวัญแขวนกันไปแล้ว..ใครต่อใครจึงพากันยกย่องเจ้าฟ้าหญิงแอนน์กันทั่วทั้งเกาะ ที่สมเป็นขัตติยนารีเอาซะจริงๆ .. หนังสือพิมพ์พากันลงข่าวถึงความเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่..ข้อพระกรแข็งแรงราวกับเหล็กวิลาส.. (จากการให้สัมภาษณ์ของคนขับแท๊กซี่ที่เห็นเหตุการณ์) ข้อความที่ว่ามานั้น เจ้าชายฟิลิป พระบิดา ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง..พระองค์ทราบข่าวจากโทรศัพท์ทางไกลที่เจ้าฟ้าหญิงได้โทรไปทูลถึงในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่พระองค์และสมเด็จกำลังประพาสเอเซียในช่วงนั้นพอดี เจ้าฟ้าหญิงมิได้ทูลให้สมเด็จทรงทราบ เกรงว่าจะตกพระทัย แต่..ในฐานะที่เป็นลูกรักของพ่อ พระองค์จึงสะดวกพระทัยที่จะคุยเรื่องนี้กับเจ้าฟิลิปมากกว่า.. หลังจากที่มีการสืบสวนคนร้าย ได้ใจความว่า ต้องการจะลักพาเจ้าฟ้าหญิงด้วยเหตุผลทางการเมือง
เจ้าชายฟิลิปถึงกับโล่งพระทัย..ทรงตรัสว่า "โล่งใจแทนไอ้หมอนั่น..ขืนมันจับตัวแอนน์ไปได้ละก้อ..มันนั่นแหละจะซวย.. เพราะรับรองได้เลยว่า แม่อาละวาดสุดฤทธิ์"
เมื่อตอนที่เสด็จกลับถึงลอนดอน สมเด็จได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับพลเมืองดีสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือเจ้าฟ้าหญิง ส่วนเจ้าชายฟิลิป ได้ทรงลูบหลังลูบไหล่พระธิดา และชมเชยว่า.. "เก่งเหลือเกินลูก และ ขอบใจที่ช่วยรักษาหน้าพวกเราไว้ได้เป็นอย่างดี"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 08:34
|
|
กฏหมายการหย่าร้างของอังกฤษคือ ถ้าทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกันที่จะหย่าขาด นั่นคือ ต้องรอสองปี แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหาเรียกร้องเรื่องลูกหรือการแบ่งทรัพย์สิน นั่นหมายถึงต้องคอยไปถึงห้าปี เจ้าฟ้าหญิงทรงอิดออด..ไม่อยากหย่า แต่ว่า ทางท่านลอร์ด พระสวามีพร้อมที่จะหย่าในแทบทุกนาที ทำให้พระองค์ทรงโทมนัสพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกว่าไม่มีใครรักและต้องการในตัวพระองค์
ดังนั้น จึงมีการประชดชีวิตแบบแปลกๆตามออกมาเป็นกระบวน เช่นการออกเฮฮาปาร์ตี้ในที่สาธารณะจนถึงย่ำรุ่ง (สถานที่โปรดคือ บับเบิ้ลส์คลับ ครั้งหนึ่งเมืองไทยก็มีกะเขาเหมือนกัน บับเบิ้ลส์คลับ เนี่ยย..) สมเด็จได้แต่ทรงเหนื่อยอ่อนในพระทัยต่อการพระทำของพระขนิษฐา ถึงกับไม่ยอมตรัสด้วยนานเป็นหลายอาทิตย์ ประหนึ่งว่า ได้ตัดเชือกตัดสายใยในน้องสุดที่รักคนนี้อย่างหมดสิ้น ทีนี้ก็เข้าทำนอง "ผีบ้านไม่ดี ผีป่าเข้าสิง" กล่าวคือ ประชาชนและผู้สื่อข่าวอื่นๆต่างพากันหมดความเคารพ และ สิ้นความเกรงพระทัย
ในตอนนั้นโจ๊กที่ออกมาขายดิบขายดี เรียกเสียงเฮฮาได้ตามผับ ล้วนแต่เป็นโจ๊กที่ส่วนพัวพันกับเรื่องข่าวคาวๆของเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ที่ดังมากในยุคนั้น ถึงกับมีการเลียนล้อเป็นรายการทอล์คโชว์...มีว่าดังนี้ว่า
(เรื่องโจ๊ก....สมเด็จพระราชินีได้เสด็จไปยังพระตำหนักนอกเมืองโดยรถยนตร์พระที่นั่ง โรลล์ รอยซ์ อย่างไปรเวทกับนางพระกำนัล พอไปได้ครึ่งทางก็ปรากฏว่ามีโจรเข้ามาดักปล้น ทันที่ที่เห็นว่า ผู้ใดที่อยู่ในรถ... เจ้าโจรจึงได้จัดแจงเรียกร้องขอเครื่องเพชร และ เงินทอง แต่ทว่า..เมื่อได้กระชากกระเป๋าถือออกมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่า..มิมีทรัพย์สินอะไรเลย โจรจึงได้บังคับให้พระองค์และนางพระกำนัลลงไปจากรถ..แล้วมันก็ขับรถพระที่นั่งนั่นไป..
ขณะที่สมเด็จทรงปัดฉลองพระองค์ให้เข้ารูป นางพระกำนัลได้ทูลถามขึ้นมาว่า "พระธำมรงค์ล่ะเพคะ ทรงซ่อนไว้ที่ไหน?" "ในที่ลับในตัวฉันนี่แหละ....อ้อ แล้วมงกุฏเพขรล่ะ เธอเอามันไปซุกที่ไหน?" "แหม..อ้า.อ้า..ก็เป็นที่ลับในตัวของหม่อมฉันเช่นกันเพคะ" สมเด็จทรงถอนพระทัยก่อนที่จะตรัสว่า.. "แหม..เสียดายที่มาร์กาเร็ตไม่ได้มาด้วย ไม่งั้นเราก็จะไม่เสียโรลล์รอยซ์...")
ฉาวโฉ่ออกขนาดนั้น หาใช่ว่าเจ้าฟ้าหญิงจะทรงเลิกติดต่อกับนายฮิปปี้นั่นซะที่ไหน ป๊าวว... กลับทรงหันมาโอ๋ ทนุถนอมเจ้านั่นอย่างออกนอกพระพักต์ ทรงว่า "เพราะไม่มีสักคนที่เข้าใจในฉันเลย นอกจากรัดดี้คนดีนี้คนเดียว" ประชาชนต่างร้องขอให้ทรงคิดใหม่ ทำใหม่....แต่...ไม่เป็นผลสำเร็จ นาย วิลลี่ เฮมมิลตัน นักการเมืองปากร้ายนั่น ก็ไม่หยุดการโจมตีที่มีขึ้นรายวันในรัฐสภา เขาว่า "เรื่องการพบปะ คบหากับคนที่มีอายุอ่อนกว่านั่น อาจจะเป็นเรื่องของสังคมสมัยใหม่ แต่กับสมาชิกในพระราชวงค์อย่างเจ้าฟ้าหญิง มันช่าง..บัดซบ..สิ้นดี"
ทางฝ่ายพรรคจารีตนิยมที่เคยเถียงและค้านคอเป็นเอ็น.. ตอนนี้ถึงกับจุกพูดไม่ออก ต่างพากันกลอกหน้า จำนนต่อหลักฐาน.. คนที่ออกมาเถียงนายวิลลี่ มีอยู่คนเดียวคือ รัดดี้ ฮิปปี้หนุ่มน้อย ที่เขาออกมาให้ข่าวว่า "คนที่ด่าว่าพระองค์ หรือ อย่างนายวิลลี่นั่นน่ะ ผมอยากจะท้านัก ว่าถ้าลองให้มาทำงานแบบเจ้าฟ้าหญิง จะมีความสามารถทำได้เหมือนพระองค์ไหมล่ะ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 08:59
|
|
แม้ว่าเวลาได้ผ่านไปหลายเดือน เจ้าฟ้าชายชารลส์ยังทรงระทมทุกข์ต่อการจากไปของท่านลอร์ดอย่างไม่เว้นวาย..พระองค์ทรงหันเข้าหากลุ่มเพื่อนสนิทของท่านลอร์ดในการขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาในด้านราชการงานเมืองและด้านส่วนตัวอื่นๆ คนหนึ่งในนั้น ที่พระองค์ได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างมากคือ นาย ลอเรนส์ แวน เดอ โพสต์ ( Laurens Van der Post) นักเขียน และเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือในราชการของท่านลอร์ด เมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช แห่ง อินเดีย
จากลู่ทางและแวดวงของนายลอเรนส์...ที่เขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ได้ชักจูงมาให้เจ้าฟ้าชายได้มักคุ้นด้วย คือ นาย คาร์ล ยัง (Carl Jung) ที่เป็นนักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดชาวสวิส ที่ได้ถวายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และพลังลึกลับของอำนาจจิตอื่นๆ ที่เขาเชื่อว่ามีจริงอยู่ในโลกให้กับเจ้าฟ้าชายได้ทรงรับทราบ ซึ่ง..มันได้ผล เจ้าฟ้าชายทรงสนใจและเริ่มศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขนาดเสด็จไปยังทะเลทราย คาลาฮารี ประเทศอาฟริกา พร้อมกับนายคาร์ล เพื่อที่จะหาทางติดต่อกับเหล่าวิญญาณต่างๆ เพื่อเป็นการทดลองก่อนที่พระองค์จะพยายามติดต่อกับวิญญาณของท่านลอร์ด พระอัยกาที่รัก
นาย จอห์น แบร์เร็ตได้เล่าว่า "เจ้าฟ้าชายทรงเล่นกระดานผีถ้วยแก้ว เรียกหาวิญญาณของท่านลอร์ดให้เข้ามาบ่อยๆ แต่พอข่าวรั่วไปถึงหูนักข่าว ทางสำนักพระราชวังรีบออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน เพราะ ไม่งั้นผู้คนจะพากันนึกว่าเจ้าฟ้าชายทรงมีพระสติฟั่นเฟือนไปแล้ว"
ในช่วงนี้เอง ที่เจ้าฟ้าชายได้ทรงรู้จักและมีความสัมพันธ์กับ โซ ซัลลิส (Zoe Sallis) ดาราสาวสวย เชื้อชาติอินเดีย เป็นอนุน้อยๆของผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังแห่งฮอลลีวู๊ด นาย จอห์น ฮิวสตัน เธอได้มีลูกชายกับจอห์น (ในปี 1962) และ นับถือพุทธศาสนา เป็นลูกศิษย์เอกของท่านสวามิส แถมยังแก่กว่าเจ้าฟ้าชายถึงสิบปี.. แต่อายุเป็นเพียงตัวเลขที่ใช้เขียนเท่านั้น เจ้าฟ้าชายทรงหลงไหลและเชื่อในทุกอย่างที่โซได้พยายามถ่ายทอดให้..เช่นเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ หรือ เรื่องสวรรค์ และนรก
หนังสือที่เธอได้ถวายให้อ่านนั้นคือ เรื่อง The Path of the Masters และทูลให้ทรงทราบด้วยว่า สวรรค์ได้ส่งเธอมาเพื่อโน้มน้าวพระทัยให้เชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ซึ่งจะว่าไปแล้ว..เธอได้ทำสำเร็จเสียด้วย เพราะในระยะนั้น เจ้าฟ้าชายได้ทรงคุยแต่ทรอปิคของเรื่องจิต วิญญาณ และ พยายามค้นหาว่า ถ้าท่านลอร์ดจะกลับคืนสู่ภพอีกครั้ง จะมาในลักษณะใด และ..ทุกอย่างนั้นได้ขัดกับความเชื่อของชาวคริสต์ นิกาย เชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์ แบบสุดกู่..
คนที่เริ่มจะทนไม่ได้ คือ ฝ่ายราชเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายเอง เอ็ดเวิร์ด อะดีน (ผู้ซึ่งมีบิดาคือ ท่านเซอร์ ไมเคิล อะดีน ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ในสมเด็จพระราชินี) เขาได้เริ่มโน้มน้าวพระทัยให้กลับมาสนใจศาสนาของพระองค์เอง แต่..พระองค์หาได้ทรงฟังไม่ ยังเชื่อในเรื่องของ"นิพพาน"อย่างหมดพระทัย..
โซ ซัลลิส ได้มีอิทธิพลต่อพระองค์มาก ถึงขนาดที่ว่า ทรงกลายมาเป็นมังสะวิรัติ และ เลิกการล่า และฆ่าสัตว์ ทรงตรัสว่า "ฉันต้องการที่จะลดล้างบาปลงไปบ้าง และในขณะเดียวกันก็จะพยายามประกอบกรรมดีไปด้วย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:07
|
|
นายอะดีน..ได้ประกาศกร้าวในที่ประชุมคณะองคมนตรีว่า.. "เห็นทีจะปล่อยให้ฟุ้งซ่านต่อไปไม่ได้แล้ว.." และ เขาเองที่ต้องเป็นผู้ที่จะอัญเชิญพระกระดิ่งไปผูกที่พระศอของเจ้าฟ้าชายแมว.. โดยการที่เข้ากราบทูลด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังว่า.. "กระหม่อมและคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องของพระองค์กับผู้หญิงคนนั้นเห็นทีจะต้องสิ้นสุดแล้วพะยะค่ะ เพราะยิ่งอื้อฉาวไป ยิ่งเป็นการบั่นทอนในความมั่นคงของพระราชบัลลังค์เข้าไปทุกที ภาพพจน์ของพระองค์ก็นับวันแต่จะมัวหมอง ในฐานะของพระองค์คือจะต้องเป็นผู้นำฝ่ายฆราวาสในศาสนาของเรา ไม่ใช่ของศาสนาอื่น" เจ้าฟ้าชาย..ทรงเมินเฉย ไม่ยอมรับฟังข้อชี้แนะใดๆ ทรงบอกว่า "ไม่เลิก" ในที่สุด นายเอ็ดเวิร์ด จึงต้องงัดไม้ตายขึ้นมาว่า.. "งั้นเกล้ากระหม่อมก็มีความจำเป็นที่จะต้องกราบบังคมทูลให้สมเด็จได้ทรงทราบในเรื่องนี้เป็นการด่วนแล้วพะยะค่ะ"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเจ้าฟ้าชาย จึงรีบรับข้อเสนอโดยด่วน รีบรับพระโอษฐ์ ว่า.. "จะเลิก.." ในตอนนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระชนมายุถึง สามสิบเอ็ดแล้ว..แต่คำว่า จะฟ้องแม่...ยังถือเป็นอาญาสิทธิขั้นเด็ดขาด..
เจ้าฟ้าชายได้ทรงคว้างในเรื่องหญิงๆไปพักหนึ่ง แต่ในช่วงคว้าง พระองค์ก็ทรงเดทไปเรื่อยๆกับคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ทั้งแบบควงเล่นๆบ้าง และแบบชั่วคราวคืนเดียวบ้าง สองคนที่พระองค์เคยขอแต่งงานด้วย สาวผมบลอนด์ทั้งคู่ คนหนึ่งคือ เดวิน่า เชฟฟิลด์ ลูกสาวเศรษฐีที่ดิน อีกคนหนึ่ง คือ แอนนา วอลเลซ แต่ทันทีที่ข่าวรั่วไปถึงหนังสือพิมพ์ สองสาวก็ต้องรีบปฏิเสธข้อเสนอเป็นการด่วน เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ประวัติอื่นๆในชีวิตที่เคยฉาวโฉ่มาอย่างไร เป็นได้ถูกนำออกมาตีแผ่ให้ขายหน้ากันก็คราวนี้ จนเจ้าฟ้าชายถึงกับอ่อนพระทัย..บ่นกับพวกนักข่าวว่า.. "ให้ตายซิ..แล้วฉันจะไปหาผู้หญิงดีๆ เลิศลอยฟ้ามาจากไหนกันล่ะ?"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 09:17
|
|
แต่พระเจ้าดูเหมือนกับจะเชื่อเรื่อง"ดังนรกชัง หรือ สวรรค์แกล้ง.." เพราะ ในปี 1980 พระองค์ได้พบกับเด็กสาววัยสิบเก้าคนหนึ่ง ที่นั่งมาบนกองฟางหลังรถม้า.. เธอชื่อว่า ไดอะน่า สเปนเซ่อร์ ในขณะที่พระองค์ได้เสด็จออกไปเที่ยวบ้านชนบทของพระสหายในช่วงวันหยุด ความจริง พระองค์ได้ทรงรู้จักกับ ไดอะน่ามาแล้วตั้งแต่เมื่อ สามปีก่อน สมัยที่พระองค์ยังออกเดทกับเลดี้ ซาร่าห์ พี่สาวคนโตของเธอ และทรงเคยเสด็จไปพักผ่อนที่คฤหาสน์อัลทรอปของครอบครัวสเปนเซอร์ในครั้งนั้นด้วย หากแต่ ไดอะน่า ตอนนั้นยังมีอายุเพียงสิบหก..ยังไม่เป็นสาวเต็มตัวเหมือนอย่างตอนนี้ พระองค์ถึงกับตื่นตะลึงในความงามที่ผุดผาดจนแทบไม่เชื่อพระเนตร ของสาวน้อย..ทรงตรัสว่า "ไม่อ้วนเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ.." "หม่อมฉันสูงขึ้นน่ะเพคะ เลยยืดไขมันให้บางออกไปหน่อย" สาวน้อยตอบอย่างขำๆเขินๆ แต่ก็สามารถทำให้เจ้าฟ้าชายถึงกับสรวลออกมาด้วยความเอ็นดูในความเป็นธรรมชาติของเธอ จากนั้น คนทั้งสองได้เริ่มมีการสนทนากันอย่างคุ้นเคยในฐานะที่ครอบครัวก็รู้จักกันมาหลายชั้น (เลดี้ รูธ เฟอร์มอย ยายของไดอะน่า คือ พระสหายสนิทของควีนมัม) ในช่วงหนึ่ง ที่ไดอะน่าได้กล่าวขึ้นอย่างถูกพระทัยในเรื่องเห็นใจต่อความที่พระองค์ได้สูญเสียท่านลอร์ด หลุยส์ไปอย่างไม่มีวันกลับ..เธอว่า "หม่อมฉันได้เฝ้าดูรายการถ่ายทอดพิธีพระศพของท่านลอร์ดอยู่เพคะ..เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยมาก ยิ่งตอนที่เสด็จดำเนินนำขบวนเชิญหีบพระศพ ช่วงนั้นนะ หม่อมฉันถึงกับใจหายแว๊บ เพราะพระพักต์เศร้าสร้อย และ ดูเหงาๆ.. พระองค์คงต้องว้าเหว่ม ากเลยนะเพคะ ขาดท่านลอร์ดไปเสียคนหนึ่ง"
ข้อความนี้...โดนพระทัยอย่างจัง...จนต้องหันพระพักต์กลับมามองหน้าสาวน้อยคนนี้ใหม่ ว่า เธอช่างเข้าอกเข้าใจในความเป็นตัวตนของพระองค์อย่างที่คนอื่นๆไม่เคยมีใครเข้าถึง.. และ ตรงนั้นเอง..คือ ที่มาของความประทับพระทัยอย่างสุดซึ้ง..อย่างที่ไม่เคยทรงรู้สึกกับใครมาก่อน
(เรื่องนี้ เลดี้ไดอะน่าได้นำมาเล่าให้เพื่อนๆร่วมห้องฟังว่า เธอได้คุยกับเจ้าฟ้าชายประหนึ่งว่า พระองค์คือเด็กในความดูแลคนหนึ่งของเธอใน Young England Kindergarten พอพูดจบ เจ้าฟ้าชายก็เอียงตัวเข้ามาหาเธอเหมือนกับเด็กๆพวกนั้นยามที่ต้องการการปลอบประโลมอย่างไม่มีผิด)
จากนั้น พระองค์ได้เชิญให้ไดอะน่าขึ้นรถกลับไปลอนดอนด้วยกัน เพราะพระองค์จะต้องเสด็จกลับก่อน ซึ่งเธอได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างไม่ใยดี ด้วยเหตุผลว่า เกรงใจเจ้าภาพที่เชิญมา..และเป็นการไม่สุภาพ (เพื่อนร่วมห้องของเธอได้เล่าต่อว่า..ไดอะน่าไม่ต้องการให้ดูเหมือนเป็นการกระโจนคว้าโอกาส อีกทั้ง ต้องรักษากิริยาของลูกผู้ดีให้ดูงดงามเสมอ)
สำหรับไดอะน่า นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสัมพันธภาพที่เธอออกตื่นเต้นจนต้องเล่าสู่เพื่อนๆ ให้รับฟังว่า.. "ถ้าหากฝันเป็นจริงนะ..ฉันจะไม่ทำอะไรบ้าๆแบบพี่สาวฉันหรอกนะ.." อะไรบ้าๆนั่น คือ เลดี้ ซาร่าห์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ไม่เคยคิดอะไรกับเจ้าฟ้าชาย คบหาแบบฉันท์มิตร ถึงมาขอแต่งงานก็คงไม่รับ เพราะว่าคนอย่างเธอเชื่อในความรัก ถ้าไม่รักก็ไม่แต่ง..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นกุลี หรือ พระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษ (และจากข่าวนี้เอง ที่เจ้าฟ้าชายได้เลิกติดต่อกับเธอไปโดยปริยาย) แต่..นักอ่านนิยายโรแมนติคแนวเพ้อฝันเฟื่องอย่าง ไดอะน่า..เธอเชื่อเสมอว่า การแต่งงานกับเจ้าชายคือความฝันอันสุงสุดที่ผู้หญิงทุกคนต้องใขว่คว้า.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|