|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 05 มี.ค. 06, 19:23
|
|
สาวอีกนางหนึ่งที่ท่านลอร์ด หลุยส์พยามยามลุ้นอย่างตัวโก่ง นั่นคือ สาวน้อยวัยสิบห้า หลานสาวของท่านเอง อาแมนด้า นัทชบูล ซึ่งเป็นธิดาคนที่สองของ ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น ที่มีอายุต่างกับเจ้าฟ้าชายถึงเก้าปี
***เดี๋ยวจะงง ขออธิบายแทรกนิดค่ะว่า..ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น คือ ลูกเขย และ ลูกสาวคนโต ของท่านลอร์ด เธอมีนามเดิมคือ แพตตริเซีย เมาท์แบตเทน ที่ได้ไปแต่งงานกับ จอห์น นัทชบูล ซึ่งต่อมา จอห์นได้รับการถ่ายทอดบรรดาศักดิ์ลอร์ด บราเบิร์น จากบิดาที่ล่วงลับไป แพตริเซีย จึงกลายมาเป็น เลดี้ บราเบิร์น
ต่อมาไม่นานจากนั้น ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ได้ทูลขอต่อสมเด็จในการที่จะยกฐานะลูกสาวคนโตให้ใช้ตามบรรดาศักดิ์ของตัวเอง เพราะว่าไม่มีลูกชายที่จะสืบสกุล.. แพตตริเซีย หรือ เลดี้ บราเบิร์น จึงได้กลายมาเป็น เคาน์เตสส์ เมาท์แบตเทน ออฟ เบอร์มา (Countess Mountbatten of Burma) ซึ่งเธอสามารถจะถ่ายเทบรรดาศักดิ์นี้ยังบุตรชายคนโตได้ต่อไป เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว..
อาแมนด้า คือ ความหวังอันสูงสุดของท่านลอร์ดที่จะเห็นหลานสาวของตัวเองขึ้นนั่งบัลลังค์อังกฤษในฐานะพระราชินีองค์ต่อไป ดังนี้..การพบปะของคนทั้งสองมักมีขึ้นอยู่อย่างไม่ขาดระยะ โดยฝีมือของ"ท่านลอร์ดดัน" หลังจากการที่ไปเที่ยวด้วยกันตามประสาพี่น้อง ที่บาฮามัส เจ้าฟ้าชายได้ทรงจดหมายมาเล่าว่า... "หลานเพิ่งสังเกตุว่า น้องอาแมนด้าโตขึ้นมาก และที่น่าเป็นห่วงคือ เธอออกแววว่าเป็นสาวงามจัดทีเดียว" เจ้าชายฟิลิปพอทรงทราบเรื่องเข้า รู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงตรัสว่า.."โล่งอกไปที...เป็นคนใกล้ตัวอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย"
ระหว่างที่ทุกคนเฝ้ารอให้อาแมนด้าประสีประสาขึ้นมาอีกสักหน่อยนั้น ท่านลอร์ดก็ได้จัดคู่ชกให้กับเจ้าฟ้าชายไปพลางๆ พร้อมทั้งกำกับใกล้ชิด โดยการสั่งสอนเตือนสติเสมอว่า.... หญิงคู่นอนน่ะ จะไปหาที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องที่จะเอามาเป็นคู่ครองจริงๆ นั้น ต้องเลือกเฟ้นราวกับการคัดเพชรน้ำเอกทีเดียวนะ...
เรื่องการหนุนหลังให้กับเจ้าฟ้าชาย ท่านลอร์ดถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติทีเดียว และหวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงยังไม่ลืมนะคะว่า เด็กสร้างคนแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามนั่นก็มิใช่ใครอื่นไกล..เจ้าชายฟิลิป หลานแท้ๆ ของท่านลอร์ดนั่นเอง คราวนี้ต่อมาถึงรุ่นของเจ้าฟ้าชาย ที่ปู่น้อยอย่างท่านลอร์ดจะเฉยอยู่ได้อย่างไรกัน แม้แต่การให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทม์ ท่านลอร์ดยังไม่วายชมเชยหลานของตัวเองว่า หล่อกว่าวาร์เรน เบ๊ตตี้ (ดาราหนุ่มรูปหล่อ น้องชายของดาราน่องทองเชอร์รี่ แมคเลน เกิดทันไหมเอ่ย??) ท่านว่า หลานท่านน่ะ มีหญิงติดเยอะ ..
แต่ในเรื่องความหนักใจจริงๆ ที่ท่านลอร์ดไม่อยากบอกใคร..นั่นก็คือ หลานเจ้าฟ้าของท่านนั้น หลงรักคนง่าย..
บรรดานักข่าวต่างๆ จึงพากันรุมตอมเจ้าฟ้าชายอย่างตามติด ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน แม้กระทั่งไปทรงสกีที่เทือกเขาแอลป์ก็ยังไม่พ้นหูพ้นตา ขนาดในที่สุดลับเฉพาะ.. ที่เจ้าฟ้าชายพาแฟนสาว แอนนา วอลเลส ไปพร่ำพรอดรักที่ชายหาดของฝั่งแม่น้ำดี อยู่ในเขตพระราชฐานของพระราชวังบัลมอรัล ก็ยังไม่รอดพ้น นายเจมส์ วิทเทเคอร์ นักข่าวคนหนึ่งได้เล่าว่า.. "ผมเเฝ้าซุ่มดูพระองค์และแอนนา โดยการหลบตัวอยู่ในพุ่มไม้ตั้งนาน..พอทุกอย่างกำลังเข้าไคล..พระองค์เกิดหันมาเห็นเราที่กำลังขยับกล้องส่องทางไกลอยู่.. ท่าวน้านแหละ ทรงกระโจนแผลวไปหลบอยู่หลังต้นไม้ทันที ทรงปล่อยให้แอนนารีบตาลีตาเหลือกคว้าผ้าผ่อนมาคลุมตัวอยู่คนเดียว..ช่างไม่แมนเอาซะเลย..ผมละรู้สึกอายแทน แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นข่าวหรอกนะ เพราะอย่างไรเสีย พระองค์ก็คือกษัตริย์ของเราองค์ต่อไป"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 07 มี.ค. 06, 08:35
|
|
ข้าราชบริพารเก่าแก่มักจะแก้ข้อสงสัยให้ในยามที่มีคนสงสัยเสมอ ว่า เจ้าฟ้าชายนั้นทรงเติบโตมาอย่างไร? คำตอบที่ออกมาเหมือนๆ กันก็คือ "พระองค์ทรงเคร่งในวินัย เคร่งมารยาท แค่ติดขรึมๆ เหมือนสมเด็จพระราชินี ไม่ค่อยซน ไม่เหมือนกับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ที่เก่งกล้า คล่องแคล่วสารพัด เหมือนกับเจ้าชายฟิลิปพระบิดา จนสององค์นี่น่าจะสลับเพศกัน จะเหมาะมาก" ส่วนเจ้าฟ้าชายก็ขยันให้สัมภาษณ์พอประมาณ ดังที่ยามนักข่าวถามถึงเรื่องคู่ครอง..ว่าจะทรงเลือกพระราชินีอย่างไร? เพราะเท่าที่ติดตามกันมา เห็นว่า สาวๆ ส่วนใหญ่ที่ทรงเดทมักจะมีอะไรที่คล้ายๆ กัน คือ สูง เพรียว ผมสีบลอนด์ เข้าข่ายลักษณะของเหล่านางฟ้าชาร์ลี คำตอบคือ.. "ฉันกลัวเรื่องนี้ที่สุด เรื่องการแต่งงานเนี่ย..เพราะสำหรับฉันแล้วจะเป็นการที่ตัดสินใจพลาดไม่ได้เลย การหย่าร้างนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสถานะของคนอย่างฉัน ฉะนั้น จึงต้องค่อยๆ เลือก ค่อยๆ คิดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง" และ "ถ้าฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนยาวนานถึงห้าสิบปีละก้อ แน่นอนว่า ต้องใช้สมองคิดมากกว่าความปรารถนาของหัวใจ เพราะ แค่เพียงหลงรักใครสักคนหนึ่งนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการตัดสินใจ"
ที่เจ้าฟ้าชายได้ทรงให้สัมภาษณ์อย่างเปิดพระอุระขนาดนั้น เนื่องจากในตอนนั้น ข่าวการแตกแยกของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับลอร์ดสโนว์ดอนกำลังร้อนระอุ และ หนังสือพิมพ์ต่างก็กำลังเบิกบานกับเสรีภาพของการเขียนเรื่องซุบซิบภายในพระราชวัง.. ทุกอย่างจึงออกมาด้วยภาพที่มีสีสันกว่าการเบาะแว้งของคู่ไหนๆ ในประวัติศาสตร์แห่ง เดอะ เฟิร์ม...วินด์เซอร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 07 มี.ค. 06, 08:42
|
|
สมเด็จทรงปฏิเสธที่จะรับฟังในเรื่องปัญหาครอบครัว เรื่องของผัวๆ เมียๆ จนกระทั่ง ข่าวได้พาดหัวในหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซ์เปรส ถึงเรื่องการร้าวฉานของครอบครัวสโนว์ดอน เรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนที่สนใจไปทั่วประเทศ... พระองค์จึงต้องเรียกเจ้าปัญหาทั้งคู่มาพบ ที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ในคืนของวันที่ 18 ธันวาคม 1967 พร้อมกับ เจ้าชายฟิลิป และ ควีนมัม ที่ต้องมาร่วมรับฟัง เจ้าชายฟิลิป ทรงเห็นว่า น่าจะมีการแยกกันอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องกระโตกกระตากบอกใครต่อใคร.. ควีนมัมก็ได้แต่ทรงกรรแสง มิยอมตรัสอะไรทั้งสิ้น สมเด็จ..ทรงโดดเดี่ยวเกินไป...ต่อการที่จะตัดสินพระทัยด้วยองค์เองให้เด็ดขาด ลอร์ดสโนว์ดอน..นั่งกระสับกระส่ายรอฟังคำวินิจฉัย และ ขยับ"หลักฐาน" คือจดหมายรักสองสามฉบับของนายรอบิน ดักลาส-โฮม ที่เตรียมมาในกระเป๋า พร้อมที่จะนำออกมาแฉต่อหน้าพระพักต์ แต่..สมเด็จได้ทรงตรัสออกมาว่า..รอไปหน่อยนะ ขอฉันได้ไปปรึกษากับฝ่ายเสนาบดีก่อน เขาจึงลุกขึ้น ถวายคำนับและเดินออกไปเงียบๆ ส่วนเจ้าฟ้าหญิงได้ออกมาเล่าให้พระสหายฟังว่า สมเด็จได้แอบเอ็ดเอาว่า.. "ทำไมจะแยกกันทั้งที ต้องให้มันวุ่นวายคนอื่นด้วยนะ ทำให้มันเงียบๆ ไม่ได้หรือไง?"
ส่วนลอร์ดสโนว์ดอน ..ออกมาแล้วก็ให้รู้จึกอึดอัดใจยิ่งนัก เพราะเท่ากับว่า ต้องทนอยู่คาราคาซังไปอย่างนี้ โดยไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใด..กว่าจะทรงอนุญาต ดังนั้น สงครามอารมณ์ และ สงครามปาก จึงได้เกิดขึ้น...ไม่ว่าลับหลัง หรือ ต่อหน้าชาวประชา.. ดังตอนที่ ทั้งสองจำใจต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันที่ คอร์ฟู, ประเทศ กรีซ หลังจากการเสวยพระกระยาหารกลางวันได้ผ่านไป.เจ้าฟ้าหญิงทรงเสด็จกลับไปห้องบรรทมเพื่อการนอนพักผ่อนก่อนที่จะถึงเวลาดินเนอร์ ต่อมาไม่นาน ทรงพยายามที่จะติดต่อกับท่านลอร์ด พระสวามี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทรงโทรเรียกที่ห้องเท่าไหร่ ก็ไม่รับสาย.. ในที่สุด พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากพระที่ เสด็จไปกดกริ่งเรียกที่หน้าห้องด้วยองค์เอง ในชุดบรรทม รองพระบาทแตะ พระเกศายุ่งเหยิง ปรากฏว่า..ผู้ที่ออกมารับหน้า... คือกลุ่มๆ เพื่อนของท่านลอร์ดที่ได้เชิญมาทานน้ำชากำลังปาร์ตี้กันในห้องอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดที่เห็น "เจ้าหญิงแร้งทึ้ง" ยืนเด่นเป็นสง่าที่หน้าประตู... เจ้าฟ้าหญิงแทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต..เพราะ เสียรู้ในแผนการฉีกพระพักต์ให้อับอายครั้งนี้ของท่านลอร์ด...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 08 มี.ค. 06, 09:14
|
|
เรื่องเทียบชั้นฐานันดรนั้น มิใช่แต่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะทรงใช้อย่างติดพระโอษฐ์เลย สมเด็จเองก็ทรงใช้ออกบ่อยด้วยความเคยชิน อย่างเช่นเมื่อครั้งที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ชุดโทรทัศน์ออกอากาศ เรื่อง Edward VIII and Mrs. Simpson ดาราที่มาแสดงเป็นพระเจ้ายอร์จที่หก คือ Adrew Ray ที่สมเด็จไม่ทรงชอบพระทัยเลยสักนิด พระองค์ว่า "นายคนนี้ดูยังไงก็"สามัญ"เกินกว่าที่จะมาแสดงป็นพ่อของฉัน"
ในฐานะที่เป็นเจ้า เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไม่เคยต้องพกเงินสด ไม่เคยต้องทรงจ่ายบิลค่าอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งเครดิตการ์ด ทุกอย่างจะถูกตามจ่ายให้โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของ เดอะ เฟิร์ม จากเงินเบี้ยหวัดตามที่รัฐบาลได้จ่ายให้ ที่พระองค์มักบ่นเสมอว่า ช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน ไม่คุ้มค่า..
เรื่องทรงสุดเเหนียวนี้..เล่าขานกันเอิกเกริก อย่างรายของนายวิลเลี่ยม ซี บริวเออร์ เจ้าของคนหนึ่งของบริษัทค้าเครื่องหอม Crabtree & Evelyn ที่ได้เล่าว่า เมื่อช่วงคริสต์มาสปีหนึ่ง มีลูกค้าคนหนึ่งมาสั่งกระเช้าพิเศษเครื่องหอมรวมนานาชนิด ที่มีทั้งครีมอาบน้ำ น้ำหอม โลชั่น ขนาดใหญ่ ชนิดที่ต้องใช้คนสองคนช่วยกันหิ้ว แต่พอหลังจากวันหยุดผ่านไป ร้านที่สาขาเคนซิงตัน ก็มีโอกาสได้ถวายการต้อนรับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและตามหลังด้วยนางพระกำนัลที่ช่วยกันยกกระเช้า"พิเศษ"ใบนั้นเข้ามา..เขาเล่าว่า "ผมเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นใบเดียวกัน คือว่า มีคนเอาไปถวายท่านน่ะ พระองค์ทรงนำมาคืน และขอขึ้นเป็นเงินสด ความจริงทางร้านของเราจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าจะนำของมาคืน เราจะให้เป็นเครดิตที่จะแลกเป็นของอย่างอื่น แต่พระองค์ทรงมีพระบัญชามาว่า เครดิตไม่รับ จะรับเป็นเงินสดเท่านั้น ผมก็เลยตามพระทัย..ให้คืนไปเป็นเงิน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเจ้าฟ้าหญิง"
เรื่องการรับของกำนัลนี้..ทรงถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทรงคาดหวังเสมอว่า ใครต่อใครต้องดูแลพระองค์ และ ไม่ว่าสมเด็จหรือควีนมัม ต่างก็ทรงคิดเหมือนกัน อย่างเรื่องที่จะเสด็จไปเยี่ยมเยือนบ้านของพระสหายคนไหน นางพระกำนัลจะต้องไปตรวจตราสถานที่ก่อน ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป ถ้าขาด.. ก็ต้องหามาเติม อย่างครั้งหนึ่งที่จะเสด็จบ้านของรัฐมนตรียุติธรรม นาย ไมเคิล แพรทท์ ที่มีหมายรายการยาวเหยียดนำร่องมาก่อน ว่า -ห้ามมีเด็กเล็ก -ต้องมีเหล้ายิน และ น้ำโทนิคเตรียมพร้อมไว้ในห้องรับรอง -ในห้องน้ำ..ต้องมีกระดาษฟางพับเตรียมไว้ให้ทรงใช้ชำระ.. กระดาษฟาง หรือ ที่เรียกว่า Bronco paper นั้น มีใช้กันอย่างแพร่หลายในยามสงครามที่กระดาษขาดตลาด ผู้คนต้องนำมาใช้เป็นกระดาษชำระ ต่อมาเมื่อมีทิชชูนิ่ม กระดาษฟางจึงนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรม หรือ สำหรับทำความสะอาดคอกม้า...แต่ เดอะ เฟิร์ม ยังถนัดใช้กระดาษฟางแทนกระดาษทิชชูอยู่ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับท่านเจ้าของคฤหาสน์สุดกำลัง อีกทั้งต้องไปสั่งมาให้เป็นพิเศษ เนื่องจากมันใกล้สูญพันธ์เต็มที่
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตนี่คือบุคคลสำคัญ ที่ไม่ว่าจะเสด็จไปเป็นอาคันตุกะบ้านใคร ถือว่าบ้านนั้นโชคร้ายเต็มที่ เพราะข้อมูลจะแจงเข้ามาละเอียดยิบ เช่น -ต้องปรับคีย์เปียโนใหม่ -ต้องหาแผ่นเสียงของ เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์ เตรียมไว้เยอะๆ -ต้องไปหาพวกหนุ่มที่มีความสามารถทั้งร้องและเต้นมาสำรองเอาไว้ ที่สำคัญสุด คือ เหล้ายินขนาดแรง แปดสิบดีกรี เอาไว้ให้พร้อมทั้งวัน ส่วนกลางคืนคือ เหล้าสก๊อต ส่วนเวลาน้ำชา ต้องเตรียม Jammy dodgers ไว้ให้เสวยเป็นเครื่องว่าง
*** Jammy dodgers คือ แซนวิชขนมปังแผ่นที่มีราสพ์เบอรรี่ แยม เป็นไส้ทาตรงกลาง แล้วตัดขอบขนมปังออก หั่นเป็นคำๆ และแยมนั้นต้องเป็นชนิดที่ไม่มีเมล็ด เพราะจะไปติดในพระทนต์ ซึ่งเจ้าภาพต้องสั่งมาเป็นพิเศษจากต่างประเทศอีกเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าการแปรพระราชฐานไปพักผ่อนยังที่ใด หรือ กับใคร ล้วนแต่เป็นเรื่องฝันร้ายของเจ้าบ้านแทบทั้งสิ้น
ถ้าเป็นสมเด็จ...เจ้าบ้านต้องเก็บแมวทั้งหมด ถ้ามี เพราะทรงเกลียดแมว และต้องเตรียมน้ำข้าวบาร์ลี่ย์ไว้ให้ทรงใช้ล้างพระพักตร์ (barley water เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ทำมาจากข้าว บาร์ลี่ย์)
อย่างลอร์ด ดักลาส แห่ง ไนด์พัธ ได้เล่าว่า "พอมีจดหมายมาจากราชเลขาฯ ว่า เดอะ เฟิร์ม จะเสด็จมาร่วมรับน้ำชาด้วยนะ แม่ผมลมจับก่อนทุกครั้ง.."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 08 มี.ค. 06, 09:18
|
|
แต่ต่อมา พวกเหล่าผู้ดีเหล่านั้นไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป เพราะพระสหายใหม่ๆ ของเจ้าฟ้าหญิงล้วนแล้วแต่เป็นอภิมหาเศรษฐี เช่น อะกา ข่าน, อีเมลดา มากอส ที่มีพร้อมให้การรับรอง ไม่ว่าจะเป็นวิลลาหรูๆ หรือเรือยอชโก้ๆ ถ้าจะเดินทางออกนอกประเทศอย่าง อิตาลี ..ก็ พระสหายอย่าง นายแฮโรลด์ อาคตอน หรือ นายกอร์ ไวดัล ที่มีพร้อมไว้คอยถวายการต้อนรับทุกอย่าง
เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดการที่จะเป็น"ผู้รับ"เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากพวกมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่ทุ่มไม่อั้น ซึ่งกลายมาเป็นเหตุบาดหมางกันไปในที่สุด คือ ทั้งพระองค์และลอร์ด สโนว์ดอน ได้รับเชิญให้ไปเป็นแขก วีไอพี ในงานการกุศลที่นครนิวยอร์ค (จากปากคำของนักข่าว นาย สตีเฟ่น เบอร์มิงแฮม หนึ่งในกรรมการจัดงาน) หลังจากงาน เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงเรียกค่า"ออกงาน" กับเจ้าภาพเป็นเงินจำนวน สามหมื่นเหรียญ ซึ่งทุกคนต่างพากันประหลาดใจ และไม่มีใครมีปัญญาจ่าย เนื่องจากเป็นงานการกุศลที่มีรายได้จากการขายบัตร ซึ่งรวมกันแล้วยังมีไม่พอจ่ายตามทีทรงเรียกด้วยซ้ำ จากนั้น..สัมพันธภาพของพระองค์กับกลุ่มไฮโซนี้ก็ขาดจากกัน ด้วยเรื่องของเงินสามหมื่นเหรียญ
จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่คุ้มกันเลย ต่อการที่ต้องถูกเปิดโปงแบบไม่มีการเกรงพระทัย เพราะข้อความได้ออกมาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ชอบเล่นละครตบตาชาวบ้านนัก กับพระสหายที่แสนสนิทมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะไปเที่ยวพำนักด้วยกันในพระตำหนักที่มัสตีค หรือ ร่วมวงร้องเพลงด้วยกันทั้งวันทั้งคืน เพราะ พระองค์ทรงโปรดเรื่องนี้เป็นที่สุด และทรงเชื่อว่า แม้แต่ บาร์บร่า สตรัยแซนด์ ก็ยังร้องไม่ดีเท่ากับพระองค์ แต่พอมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาปุ๊บ...ขนาดเจอกันในงานแบบจังๆ หน้า เจ้าฟ้าหญิงทรงทำเมินเฉยราวกับเห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอ
ไม่ใช่แต่กับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสายตรงเท่านั้น ที่ชอบเรื่องของฟรี แม้แต่เจ้าหญิง ไมเคิล แห่ง เค้นท์ (เรียกตามพระยศของพระสวามี ที่เป็นพระญาติของสมเด็จ) ที่ครั้งหนึ่งเจ้าหญิงได้ไปเดินในย่าน โบชอมป์ กรุง ลอนดอน ที่มีร้านจิวเวลรี่หลายๆ ร้านตั้งอยู่เรียงราย ทรงผ่านมาที่หน้าร้าน โมซาฟาเรียน สายพระเนตรก็สะดุดเข้าที่ งาช้างสลักเป็นรูปตุ๊กตาหมีเล็กๆ ราคาหนึ่งพันปอนด์ เจ้าหญิงอิดออด เพราะความที่ต้องพระทัย เจ้าของร้านจึงสั่งลูกสาวให้ห่อถวาย ต่อมาเลขานุการของพระองค์ได้นำจดหมายตอบขอบใจมาให้ เจ้าของร้านได้นำไปใส่กรอบทองประดับเด่นที่หน้าร้าน.. หรือแม้แต่เจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่ไม่ทรงยอมจับจ่ายใช้สอยอะไรเลย เพราะทรงตรัสว่าแพงไปหมด นาย สตีเฟ่น แบร์รี่ อดีตราชองค์รักษ์ได้เล่าว่า.. "ถี่ถ้วนเหมือนพระมารดาไม่มีผิด ขนาดไหนน่ะเหรอ ขนาดนับชิ้นไก่แช่แข็งในตู้เย็นในทุกพระราชวังแหละ..เมื่อเสวยเหลือ ต้องนำไปแช่เก็บ นำมาอุ่นเสวยในมื้อต่อไป หลอดยาสีพระทนต์นั้นรีดจนแบนแต๊ดแต๋ แถมหลอดก็ไม่ยอมทิ้งขยะ ทรงสั่งให้เอาไปใส่ในถังสำหรับการรีไซเคิล.." นาย จอห์น แบร์เร็ต เลขานุการเก่าแก่ประจำตัวท่านลอร์ด หลุยส์ ได้เล่าว่า "มัธยัสถ์ทั้งก๊ก เริ่มมาจากองค์สมเด็จมาเลยเชียว เงินเดือนคุณพนักงานนั้น ..จ่ายแค่ปีละ หมื่นกว่าปอนด์ พร้อมที่พัก (นับว่าน้อยมาก) เพราะทรงคิดว่า ได้เลือกมารับใช้ใกล้ชิดก็บุญโข ของขวัญก็มีให้เฉพาะตอนคริสต์มาสเท่านั้น แถมแต่ละอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่า ทรงคิดได้ไง...อย่างคนทำความสะอาดฉลองพระองค์ ทรงประทานถุงใส่ผ้าพร้อมไม้หนีบแถบหนึ่ง.. อย่างช่างเย็บฉลองพระองค์ ทรงให้เกือกม้าแม่เหล็ก สำหรับเอาไว้ดูดเข็มที่ตกๆ หล่นๆ ขึ้นมาเก็บ แต่กับพระสหายแล้ว..มักจะประทานของดีหน่อย เช่น นายโนเอล โคเวิร์ดทรงประทานตลับใส่บุหรี่ ที่มีตรามงกุฏบนกล่องให้ แต่ นายโนเอลเป็นคนที่ต่อต่านการสูบบุหรี่ ส่วนรายอื่นๆ มักจะได้กรอบรูปเงินที่ใส่พระบรมฉายาลักษณ์คู่กับเจ้าชายฟิลิป
แต่ถ้าเป็นของขวัญจากเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตละก้อ..ต้องทำใจ อย่างนางพระกำนัลคนเก่าแก่ พระองค์ประทานแปรงขัดห้องน้ำให้ ทรงว่า..ทรงเห็นว่าไม่มี เพราะเคยไปใช้ห้องน้ำในห้องของนางพระกำนัลคนนั้น"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 08 มี.ค. 06, 09:20
|
|
สมเด็จนั้น เป็นที่ทราบกันว่าไม่เคยทิ้งข้าวของ อย่างฉลองพระองค์ เมื่อไม่ใช้แล้ว ก็นำไปส่งต่อให้กับพระขนิษฐา หรือพระธิดา
ครั้งหนึ่งที่พระราชวัง บัลมอรัล คุณหมาๆ ของพระองค์ได้รุมกัดกระต่ายจนตาย เลือดออกมานองตัว แดงฉาน
พระองค์ได้ทรงนำกระต่ายนั้นไปให้พ่อครัว รับสั่งว่า
"เอาไปทำอะไรกินกันได้ เอาไปซิ"
หรือ ทรงประทานไม้ดอกพร้อมกระถางให้กับข้าราชบริพาร แต่มีข้อความกำกับมาว่า..
"โปรดนำกระถางไปคืนที่สวนหลวง เมื่อต้นไม้หาชีวิตไม่แล้ว..."
หรือ ทรงสั่งให้คุณพนักงานไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ข้างที่บรรทม จากสี่สิบวัตต์มาเป็นหกสิบวัตต์ แต่คุณพนักงานต้องรอจนกว่า..หลอดเก่าได้ขาดไปแล้ว
เมื่อในช่วงของปี 1970's ที่เกิดวิกฤติภาวะแล้งน้ำ พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมรับมือ โดยการสั่งให้ทำป้ายไปแขวนไว้ในห้องน้ำทุกห้องในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม..ว่า
"Don't pull for pee"
(เรื่องที่ทรงใช้คำว่า pee ในป้ายนั้น นักประวัติศาสตร์ต่างกลุ้มรุมตำหนิกันร้อนฉ่า เพราะมันขัดกันกับสมัยของพระนางเจ้า อลิซาเบ็ธ ที่หนึ่ง ที่แม้แต่จะให้ตราพระราชทานกับบริษัทจัดจำหน่ายส้วม หรือที่เรียกว่า WC = Water Closet ยังไม่ทรงยอม เพราะทรงเกรงไปว่าจะไม่เหมาะสม)
หรือ ขนาดที่ท่านเชอร์ชิลล์ได้นอนประแหงบๆ ใกล้ที่จะลาโลกเต็มทีนั้น พระองค์อุตส่าห์ส่งแชมเปญไปให้ถึงเตียง ตั้งหกขวด แต่มันเป็นพวกแชมเปญราคาถูกๆ หรือที่เรียกว่า non-vintage
ทั้งๆ ที่พระองค์นั้น ได้พระนามว่าเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก..
(ท่านวินสตัน เชอร์ชิลล์ โปรดการดื่มแชมเปญมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ดื่มวันละหกขวด แต่ต้องเป็นยี่ห้อชั้นหนึ่งของโลก คือ Pol Roger Cuvee' ราคาในปัจจุบันขวดละ ร้อยกว่ายูโร)
สมเด็จทรงสื่อสารในด้านเอกสารได้ดีกว่าอย่างอื่น เช่น เมื่อทรงได้รับฏีกาจากพวกประชาชนที่ต่อต้านการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ของนักสร้างชาวเดนิช ในเรื่อง The Love Life of Jesus Christ
พระองค์ทรงเข้าพระทัยและเห็นด้วยทันที การระงับการสร้างจึงได้เกิดขึ้น
หรือเมื่อกลุ่มผู้สื่อข่าวได้คิดจะทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ ยอร์คเชียร์ ริปเปอร์ ฆาตกรตัวร้ายที่สร้างความสะเทือนขวัญให้กับตอนเหนือของอังกฤษมานานถึงห้าปี
มารดาของเหยื่อคนหนึ่งได้ถวายฏีกาต่อต้าน เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องของโศกนาฏกรรมแห่งชาติมากกว่าที่จะเอาไปทำให้เป็นธุรกิจเกิดผลกำรี้กำไรขึ้นมา
พระองค์ทรงสั่งระงับไปเช่นกัน..
ประชาชนจึงต่างภูมิใจที่มีนางกษัตริย์เจ้าแผ่นดินที่มีพระปรีชาสามารถ เข้าอกเข้าใจในจิตใจของประชาชนเป็นอย่างดี
จนลืมไปว่า..พระองค์และครอบครัวร่ำรวยอย่างล้นฟ้า ได้รับเบี้ยหวัดจากภาษีอากรของราษฏรครอบครองเกือบทุกอย่างในพระราชอาณาจักร
แต่คนที่ไม่ลืมก็ยังมี อย่างนาย วิลลี่ แฮมมิงตัน และพรรคพวกที่คอยตอกย้ำเตือนออกบ่อยๆ
ในปี 1972 รัฐสภาได้มีการโหวตที่จะไม่เก็บภาษีในรายได้ที่ได้ทรงขอเพิ่มมาในรายการดังนี้ ของพระองค์เอง สามล้านปอนด์, ควีนมัม สองแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์,
เจ้าชายฟิลิป หนึ่งแสนหกหมื่นสองพันห้าร้อยปอนด์ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต สามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์
ส่วนเจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงมีรายได้จากกองทุนส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยหวัด
ซึ่งเป็นประเด็นถกกันร้อนแรงพอสมควร..
จนท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ส่งจดหมายไปหาเจ้าชาย ฟิลิป เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"หลานควรจะต้องติดต่อสื่อใหญ่ๆ อย่างหนังสือไทม์ และอธิบายให้เขาเข้าใจด้วยว่า..จริงอยู่..ที่สมเด็จร่ำรวยติดอันดับโลก แต่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดคืออสังหาริมทรัพย์ที่มีทั้งพระราชวัง เพชรนิลจินดา และ ภาพวาดเก่าแก่ ที่ตีราคาออกมาเป็นตัวเลขลอยๆ เท่านั้น หาใช่เงินสดพกเข้าห่อเสียที่ไหน จะไปขายให้ใครก็ไม่ได้ อีกทั้งทรัพย์สมบัติเหล่านี้มิได้สร้างผลประโยชน์ให้งอกเงยขึ้นมา
รีบจัดการซะ เชื่อลุงเถิด โปรดอย่าไปฟังความเห็นของพวกเสนาบดีพวกนั้นเลย ก่อนที่ภาพลักษณ์ของพระราชวงค์กำลังจะมัวหมองมากไปกว่านี้"
แต่การร้องขอในจดหมายของท่านลอร์ดไม่ได้รับการปฏิบัติตามแต่อย่างไร...ทุกคนต่างพากันนิ่งเฉย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|