เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:49
|
|
ในช่วงนั้น เจ้าชายพระสวามีทรงหันรีหันขวางไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำองค์อย่างไร สมเด็จพระราชินีก็ทรงงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้ พระโอรสก็อยู่ในโรงเรียนประจำ พระธิดาก็ยังเด็กเกินไป พระองค์จึงตัดสินพระทัยรับการเชื้อเชิญเสด็จเยี่ยมออสเตรเลีย ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่เมลเบิร์น ซึ่งการเสด็จครั้งนี้จะเป็นเวลาระยะยาว เพราะจะมีการประพาสเรื่อยเปื่อยไปยัง The Gambia, the Seychelles, Malaya, New Guinea, New Zealand, Antarctica, the Falklands, Galapagos Islands, และฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาด้วย การเสด็จครั้งนี้จะกินเวลาถึงสี่เดือน และจะเสด็จโดยลำพังกับพระสหายสนิทและเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ด้วย เขาคือ ไมเคิล ปาร์คเกอร์ ทั้งคู่เคยเป็นทหารร่วมเรือลำเดียวกัน เป็นเพื่อนในทีมคริกเก็ตเดียวกัน และที่สำคัญคือต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน
ไมเคิลเพิ่งจะหย่าขาดจากภรรยา ส่วนท่านดยุค ไม่ได้หย่า แต่อยากแยกตัวออกมาใช้เวลาตามลำพัง เลยพอเหมาะพอเจาะ ทั้งสองต่างวาดแผนการเดินทางครั้งนี้ ที่จะเป็นแบบการผจญภัยของสองชายหนุ่มที่ไปไหนไปกัน..หัวหกก้นขวิด สมเด็จพระราชินี เมื่อทรงทราบเรื่อง พระองค์ได้ตรัสว่า "ฟิลิปน่ะ เกิดมาในดวงชีพจรลงเท้าอย่างแท้จริง อยู่ไหนไม่ติดที่หรอก ห้ามไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ตามใจเขา"
ท่านดยุคจึงได้จัดการเตรียมการล่องเรือในครั้งนี้ โดยที่ทรงเรียกว่า ล่องเรือสัมพันธฉันท์ทูต... (Diplomatic Mission) โดยการที่พระองค์จะทรงบินไปเคนย่า ในวันที่ 15 ตุลาคม 1956 เพื่อไปขึ้นเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่จะไปจอดรอรับพร้อมทั้งกับ ไมเคิล และพระสหาย นาย บารอน (เป็นช่างภาพประจำพระองค์) ตามกำหนดการเดิม แต่ก่อนที่จะเดินทางเพียงไม่กี่อาทิตย์ นายบารอน วัย สี่สิบเก้า ต้องการที่จะเข้ารับการรักษาโรคไขข้ออักเสบให้เรียบร้อย จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด.. หลังจากผ่าเสร็จได้สองวัน..เขาได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว.. คู่หมั้นดาราของเขา แซลลี่ แอนน์ ฮาวส์ ผู้ซึ่งห้ามแล้วห้ามอีกในเรื่องของการที่จะเข้าผ่าตัดของเขาในครั้งนั้น ถึงกับโกรธเจ้าชายฟิลิปอย่างไม่มีวันให้อภัย.. แลร์รี่ แอดเล่อร์ได้เล่าว่า.. "บารอนเป็นคนดี ฉลาดเฉลียว ร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ เป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มวันพฤหัสของเรา เขาเป็นคนจัดงานฉลองทิ้งความเป็นโสดให้กับเจ้าชายฟิลิป และเป็นช่างภาพประจำสำนักพระราชวัง รับผิดชอบในงานพระราชพิธีสำคัญๆ อย่างวันอภิเษก และ วันราชาภิเษก และนี่ถ้าไม่ติดตรงทมี่ว่าเขามีเชื้อสายยิวอยู่ในตัวละก้อ เขาอาจจีบเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไปแล้ว.. ความดีของบารอนเนี่ยนะ สามารถขอรับการสถาปนาให้เป็นชั้นอัศวินได้เลย แต่ที่ไม่ได้..ก็เพราะว่า สมเด็จฯไม่ทรงโปรด... เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันชอบหาสาวๆ ให้กับเจ้าชายพระสวามีน่ะซิ"
ซึ่งข้อความนี้ก็ไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก หนุ่มรูปหล่อ พระชนมายุแค่ สามสิบห้าอย่างท่านดยุค ไม่จำเป็นต้องมีใครมาหาหญิงให้ ทรงหาเองได้ หากแต่..หาได้แล้วไม่รู้จะไปที่ไหนละก้อ ว่าไม่ถูก.. ฉะนั้น เรื่องการเดินเรือไปในทะเลอย่างโดดเดี่ยวในการเสด็จประพาสครั้งนี้คือ คำตอบ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:51
|
|
การเสด็จเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ในครั้งนั้นมีความลับดำมืดมากมายที่นักข่าวพยายามสาวไปให้ได้ ถึงเรื่องของโรงแรมชายท่าที่ซิดนีย์ ที่มีเจ้าของคือ เลดี้ แมรี่ เอลเลน บาร์ตัน... ข่าวที่ว่านี่คือที่พำนักของท่านดยุคและสาวๆ นางบำเรอที่มีเข้ามาเปลี่ยนโฉมบ่อยๆ ในนามของเหล่าเลขานุการิณีบ้าง พนักงานพิมพ์ดีดบ้าง.. ทางสิงคโปร์...มีข่าวว่า มีพนักงานหญิงสั่งตรงเข้าห้องไปเลย...แต่ละคนไม่มีทีท่าว่าจะพิมพ์ดีดเป็น..
ข่าวก็คือข่าว..โดยเฉพาะข่าวที่จะทำความเสื่อมเสียพระเกียรติของสมเด็จก็ได้แต่วนอยู่ในชายเขตของออสเตรเลีย สิงคโปร์ แค่นั้น หาได้ล่วงไปสู่เกาะอังกฤษไม่
เมื่อจากอังกฤษมาไกลข้ามทวีป ท่านดยุคเริ่มมีพระอารมณ์รื่นขึ้น ถึงกับทรงคุยเรื่องของสถานภาพของพระองค์แบบขำๆ ได้ อย่างที่ออสเตรเลีย ที่ได้มีการพบปะกับนายและ ด๊อกเตอร์ รอบินสัน ท่านดยุคถึงกับเลิกพระขนงด้วยความแปลกพระทัย..ว่าทำไมไม่เป็น มิสเตอร์และมิสซิส ฝ่ายชายได้ทูลตอบว่า...เพราะภรรยาคือ ด๊อคเตอร์ทางอาชญวิทยา ที่มีความสำคัญในหน้าที่การงานมากกว่า ท่านดยุค..ถึงกับร้องอ๋อ..พร้อมกับตอบว่า "งั้นเรา..ก้อ..หัวอกเดียวกัน"
ในการเดินทางล่องเรือครั้งนี้ ท่านดยุคและไมเคิล ต่างก็แข่งขันกันว่า หนวดเคราใครจะยาวกว่ากัน ชีวิตเดินเรือของคนทั้งสองที่วันๆ หมดไปกับการยิงจรเข้บ้าง นอนผึ่งพุงอยู่ที่ดาดฟ้าเรือบ้าง กางผ้าใบวาดรูปพร้อมจิบยินโทนิคบ้าง พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้การเรือแท้ๆ ที่เต็มไปด้วยวินัย.. ทหารลูกเรือทุกคนต้องทำงานอย่างมีระเบียบ ขนาดการจัดโต๊ะเสวยต้องใช้แถบเทปวัดระยะการวางจาน ช้อนส่อมให้เท่ากันเด๊ะ.. อีกทั้งต้องสวมรองเท้าแตะผ้านุ่มในยามเดินจะได้ไม่มีการส่งเสียงดัง..
ข่าวมาถึงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ลงโจมตีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองของท่านดยุคครั้งนี้อย่างไม่มีความเกรงพระทัยสมเด็จฯ ว่า "ผลาญไปกว่าสองล้านปอนด์ กับการเดินทางที่มิได้ก่อประโยชน์ใดๆ ไหนจะต้องนำรถโรลลส์-รอยซ์ไปรับยามที่ขึ้นท่าอีก ใครจ่ายกันล่ะ?" แต่ยังไง ยังไง หนังสือพิมพ์ก็จิกไปได้แค่เรื่องงบประมาณเท่านั้น ไม่มีฉบับไหนกล้าแอะถึงเรื่องข่าวลือของบรรดาเหล่าสาวๆ ที่วนเวียนขึ้นลงเรือเป็นว่าเล่นนั่น... และท่านดยุคเองก็ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างที่สุด ไมเคิลได้เล่าว่า "ท่านได้ตรัสกับผมในวันแรกของการเข้าทำงานว่า..งานของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ หรือในอนาคตข้างหน้า มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือการป้องกันพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินียิ่งกว่าชีวิต"
แต่กระนั้น..ในการเดินทางระยะยาวครั้งนี้ของท่านดยุค ก็ทำให้พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมในงานครบรอบแปดชันษาของเจ้าฟ้าชายพระโอรส..งานครอบรอบอภิเษกครบเก้าปีของพระองค์เอง และงานวันคริสต์มาสรอบปีที่สิบของครอบครัว..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:53
|
|
การเดินทางครั้งนี้ได้สัมฤทธิผลในด้านการเจริญสัมพันธไมตรี ผู้คนในประเทศราชต่างๆ รู้จักเจ้าชายฟิลิปมากขึ้น
แต่ในทางกลับกัน..พระองค์มิได้รู้สึกถึงข่าวคราวของสงครามที่กำลังคุกรุ่นขึ้นจางๆ ตอนนั้นได้เสด็จไปถึงซีลอน (ตอนนี้คือ ศรีลังกา) จึงได้ทราบว่า ตอนที่เรือบริแทนเนียจะออกจากท่าเรืออังกฤษนั้น ได้มีการยื้อยักไว้ถึงเก้าวัน..เนื่องจาก เผื่อสถานะการณ์ฉุกเฉิน เพราะเมื่อเดือน กรกฏาคม เรื่องการขู่ปิดคลองสุเอซของอียิปต์กำลังฮึ่มๆ อยู่ เนื่องจากสหรัฐได้ล้มเลิกสัญญาที่จะให้กู้เงินสร้างเขื่อนอัสวาน (Aswan Dam) นายกทักษ..เอ๊ย..ประธานาธิบดีอียิปต์ นาย คามาล อับเดล นัสเซอร์ ได้ออกอาการกร้าวว่า.. "งั้นก็ปิดมันซะเลย..ไมสนหรอกกะอีเงินดอลล่าร์เนี่ย..คลองสุเอซได้สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่าร้อยล้าน สร้างเองก็ได้ (วะ) แล้วคอยดูไปนะ ว่า ชาวอียิปต์จะบริหารอย่างไร.."
การขู่ปิดคลองสุเอซนั้น เท่ากับว่า การเดินเรือของชาวตะวันตกต้องพบกับความหายนะลูกเดียว..เรือเดินสมุทรขนน้ำมันต้องผ่านทางลัดทางนี้วันละสองล้านกว่าบาร์เรล.. โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสที่จะเสียหายมากที่สุด...ทั้งสองประเทศจึงเข้าร่วมภาคีกับอิสราเอลในการที่จะเปิดศึกกับอียิปต์..
ในวันที่ 2 ตุลาคม 1956 รถถังพร้อมอาวุธของอิสราเอลได้เคลื่อนทัพข้ามซิไน บุกเข้าโจมตีอียิปต์อย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม.. สงครามได้เปิดฉากขึ้น พร้อมทั้งการสั่งให้อียิปต์ถอยกำลังออกจากปากคลอง.. อียิปต์..บอกว่า ตายเป็นตาย..ถึงไหนถึงกัน..
วันที่ 31 ตุลาคม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างระดมส่งระเบิดไปกำนัลก่อน ห้าวันต่อมา พลร่มห้าหมื่นกว่านาย..โรยตัวลงสู่ ปากทางของ คลองสุเอซ ที่ Port Said เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกสงครามด้วย กล่าวคือ สามารถใช้เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำได้อย่างทันที อุปกรณ์พร้อม..ถูกเรียกมาทางวิทยุให้ติดต่อกลับไปที่พระราชวัง.. ทำให้ท่านดยุคได้ทราบข่าวว่า..ตอนนี้ทั่วโลกกำลังต่อต้านอังกฤษ ฝรั่งเศสในการหักพร้าด้วยเข่าครั้งนี้.. แม้แต่..ยูเอ็น ก็ไม่เห็นด้วยต่อสงครามย่อยๆ ครั้งนี้ ถึงกับสั่งให้มีการหยุดยิงโดยด่วน..
อเมริกาซึ่งเคยเป็นมหามิตรของอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร..ถึงกับเดือดดาลต่อการกระทำที่ลุแก่อำนาจครั้งนี้ และประกาศว่า ขอประนาม...ต่อด้วยว่า ถ้ายังไม่หยุด เราก็จะขาดไมตรีจากกัน นี่คือไม้ตาย..ที่ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล..หันมาเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้..หยุดการรุกรานทันที..เพราะขืนไม่หยุด รัสเซียที่กำลังฮึ่มๆ จะเล่นงานอยู่..เป็นได้ฤกษ์ลงมือแน่ๆ ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:56
|
|
เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างขาดการไตร่ตรองครั้งนี้ เป็นเพราะความอ่อนหัดของนายกรัฐมนตรีทักษิ..เอ๊ย..ไม่ช่าย..นายกฯ แอนโทนี่ อีเดนของอังกฤษ ที่อดีตคือรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของท่านเชอร์ชิลลก็ทำงานดีอยู่
แต่เมื่อมาเป็นนายกเข้า..ทำงานที่มีจนล้นมือ มีเวลานอนเพียงแค่วันละสองสามชั่วโมง นอกนั้นต้องใช้ยากระตุ้นเอมเฟตามีน..จนทำให้สมองเบลอคิดอ่านอะไรผิดๆ พลาดๆ ในยามที่ตัดสินใจจะทำสงคราม นายอีเดนได้ส่งข้อราชการเรียกหน่วยทหารกองหนุนเข้าประจำการไปถวายให้สมเด็จฯทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่ง ก็ทรงเซ็นไปขณะที่กำลังทอดพระเนตรการแข่งม้า..
พระองค์เองก็ยังใหม่ต่อการเป็นพระราชินี อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ จึงขาดประสบการณ์ในเรื่องการต่อรอง..จึงไม่สามารถอ่านได้ว่า สองสามอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่กองทัพอังกฤษต้องถอยออกจาก คลองสุเอซนั้น..ได้สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านั้นหันเข้าหาไมตรีที่รัสเซียได้กำลังหยิบยื่นให้.. แถมยังสร้างความไม่พอใจให้กับมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่งยวด (ขนาดอเมริกายังไม่กล้าแอะสักคำกับการปิดคลอง แต่..อังกฤษดันเปิดฉากทำสงคราม..) นับว่า มีแต่เสียกับเสีย..
นายอีเดน รู้ตัวดีว่าได้สร้างความเสียหายไว้กับประเทศมากมาย..ถึงกับล้มป่วยต้องบินไปรักษาตัวที่จาไมก้า..ในเดือนธันวาคม เขากลับมาสู่อังกฤษในสามอาทิตย์ต่อมา พบว่าประเทศกำลังโกลาหลเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน.. เขาไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากต้องลาออกจากตำแหน่งไป ผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาแทน..นั่นคือ นาย ฮาโรล แมคมิลแลน (Harold Macmillan)
มาถึงตอนนี้..หนังสือพิมพ์ต่างโจมตีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายนะครั้งนี้อย่างไม่เลี้ยง..ขนาดเจ้าชายฟิลิปที่ทรงอยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ยังโดนหางเลขไปว่า.. "มัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ในขณะที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ"
แต่สมเด็จจกลับทรงเห็นว่า.. "โชคดีเท่าไหร่แล้ว...ที่ฟิลิปไม่อยู่...ไม่งั้นละก้อ ตัวใครตัวมัน.."
หลังจากการจากไปถึงสี่เดือนของพระสวามี เรือบริแทนเนียจะเข้าเทียบท่าที่ท่าลิสบอน เพื่อรอรับเสด็จสมเด็จฯพระราชินีที่จะเสด็จไปด้วยในการเยี่ยมเยือนประเทศโปรตุเกส แต่ก่อนที่จะไปท่าลิสบอน..ท่านดยุคต้องส่งไมเคิลขึ้นที่ยิบรอลต้าพร้อมกับเซย์ กู๊ดบายก่อน..เพื่อไมเคิลจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสมเด็จฯ เนื่องจาก เขาเป็นคนที่มีการหย่าร้างที่ค่อนข่างอื้อฉาว ไอลีน ภรรยาของเขานั้นได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่า ไมเคิลนอกใจ มีหญิงอื่น..(ซึ่งทำให้เขาต้องขอลาออกจากการเป็นราชองครักษ์ในที่สุด ) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอพระทับกับท่านดยุคเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พระองค์ต้องเสียพระสหายที่วางพระทัยได้ไป อีกทั้งช่างเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างที่สุด เพราะทีกับนายอีเดนอดีตนายกนั่น..หย่ามาแล้วถึงสองครั้ง..ทำไมจึงมีข้อยกเว้น..พบกับสมเด็จได้ทุกวัน..
แต่นี่คือคำสั่งจากกรมวัง..ที่แถลงรายงานมาว่า ต้องไม่มีไมเคิลต่อหน้าพระพักต์ แต่กระนั้น ท่านดยุคยังสู่อุตส่าห์เสด็จไปส่งพระสหายรักจนถึงเครื่องบินที่สนามบินยิบรอลต้า และตรัสว่า "ยังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ" ที่ลิสบอน..เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินีต้องบินวนกว่าครึ่งชั่วโมง ยังจอดลงไม่ได้ เพราะพระสวามียังไม่เสด็จมา.. แต่คณะข้าราชบริพารทั้งหมดกว่ายี่สิบห้าคน ที่มีท่านปลัดกระทรวงต่างประเทศ เชลวิน ลอยด์ และฝ่ายพวกผู้ชายได้ติดหนวดเคราปลอมๆ กันอย่างสนุกสนาน ตามพระบัญชาของสมเด็จฯ ที่ตั้งพระทัยจะให้เป็นการล้อเลียนพระสวามี จากภาพถ่ายที่ส่งมาให้ทอดพระเนตรครั้งล่าสุด ที่ทรงไว้หนวดเครายุ่มย่าม... นางพระกำนัลต่างเห็นขัน..หัวเราะกันคิกคัก..
ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างที่ว่า...อีกด้านหนึ่งของยุโรปคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส ต่างประโคมข่าวกันอึงคนึงว่า..ชีวิตการอภิเษกเห็นท่าจะล่มกันคราวนี้.. ในเนื้อข่าวได้ลงถึงขนาดว่า เจ้าชายพระสวามีทรงสั่งซื้อที่บรรทมใหม่ เป็นแบบเตียงเดี่ยว.. และข่าวอื่นๆ ที่ไม่เป็นสิริมงคลก็ตามมาโดยหนังสือพิมพ์ของอเมริกาที่คิดจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ ข่าวนี้เล่นเอาพวกเสนาบดีในวังวิ่งกันปั่นป่วน..เพราะสมเด็จทรงกริ้วที่ทรงทราบว่า ชีวิตส่วนพระองค์นั้นได้กลายเป็นอาหารอันโอชะข้ามทวีป.. พวกนักข่าวอังกฤษได้มองอย่างสะใจ เพราะ หมั่นไส้มานาน..พวกเขาว่า "ดี..จะได้รู้สึกเสียบ้างว่า ต้องหยิบหัวมันร้อนๆ เนี่ย..มีความรู้สึกอย่างไร"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:24
|
|
ในปี 1959 สมเด็จได้ทรงครรภ์อีกครั้ง และประสูติกาลมีกำหนดแทบจะตรงกันกับวันประกาศหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับ นายแอนโธนี่ อาร์มสตรอง โจนส์ และในการประสูติกาลของพระหน่อองค์ที่สามที่ห่างจากเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ถึงสิบปีนั้น สมเด็จได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงพระนาม (สกุล) ของพระองค์ จากวินด์เซอร์ มาเป็น เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศให้กับพระสวามี เจ้าชายฟิลิป
ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องนี้เข้าสู่สภาทันที.. ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง คัดค้านกันเต็มกำลัง.. จนท่านนายกแมคมิแลนและพระสังฆราชต้องช่วยแย้งว่า
"ก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ในประเทศ..เวลาแต่งงานก็ต้องใช้นามสกุลของสามี แล้วองค์สมเด็จทรงอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง ผิดอะไรตรงไหน?" ผู้นำฝ่ายจารีตนิยมก็เถียงฉอดๆ ว่า "ผิดซิ..ผิดตรงไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์คที่คอยยุยงอยู่เบื้องหลังนี่แหละ ใครๆ ก็รู้ว่า ที่จริงแล้วทุกอย่างนี่คือความคิดของใคร?" (ไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์ค ที่เขาว่า..คือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ท่านลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานจนเกินเหตุ)
ท่านนายกจึงรีบนำการโต้แย้งในสภาไปกราบบังคมทูลให้สมเด็จทรงทราบทันที พระองค์ได้ตอบว่า.. ความจริงพระสวามีเองก็ยังไม่ทราบข่าวนี้ด้วยซ้ำ พระองค์ทรงเป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเอง เรื่องนี้จึงถูกนำกลับไปประชุมหารือกันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง โดยปรกติเอกสารทั้งหลายแหล่จะถูกปิดบันทึกโดยไม่มีการเปิดเผยออกสู่สาธารณะเป็นเวลาถึงสามสิบปี (จนถึง 1990) และ ในฐานะที่มีหัวข้อว่าด้วย"เรื่องส่วนพระองค์" เอกสารทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองให้เป็นความลับต่อไปอีก ยี่สิบปี
การประชุมกินเวลาเป็นเดือนๆ ในที่สุด ทุกคนก็ยอมคล้อยตามพระประสงค์ สิบเอ็ดวันก่อนที่จะมีประสูติกาล วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1960 สมเด็จได้ทรงประกาศต่อประชาชนว่า
"ต่อไปนี้ ในสายพระโอรสและพระธิดาของข้าพเจ้า จะใช้นามสกุลต่อท้ายว่า เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์"
สิ้นเสียงพระราชดำรัส..ความเห็นของประชาชนก็แตกออกไปเป็นหลายกระแส คนเก่าๆ ที่ขมขื่นจากสงครามต่างพากันว่า
"แค่สิบห้าปีเองที่เราได้ฟาดฟันเอาเป็นเอาตายกับพวกเยอรมัน หนอย..ตอนนี้ มันกลายมาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ของวินด์เซอร์ไปอย่างหน้าตาเฉย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:31
|
|
ท่านลอร์ดรู้สึกผิดหวังกับว่าที่ลูกเขยเล็กคนนี้ยิ่งนักที่ช่างต่างฐานันดรกับลูกเขยคนใหญ่ (สามี เลดี้ แพตตริเชีย) ที่เป็นถึงเอิร์ล เท่านั้นไม่พอ นายเดวิด..ยังมีประวัติของการเป็นคนรักร่วมเพศอีกด้วย แต่ตอนนั้น เลดี้ พาเมล่า อายุอานามก็ร่วมสามสิบเข้าไปแล้ว จะไปขัดขืนได้อย่างไร จึงต้องปล่อยเลยตามเลย
ส่วนเลดี้ พาเมล่า นั้น ตลอดชีวิตมาไม่เคยมีใครขอแต่งงาน นอกจากนายนี่เป็นคนแรก ทั้งๆ ที่ เขาเองไม่เคยปกปิดความ"ชอบชาย"ของเขาเลยแม้แต่นิด อีกทั้งไม่ว่าเขาจะไปไหนมาไหน มักหนีบชายคนรักให้อยู่เคียงข้างเสมอ หากแต่..เลดี้ พาเมล่า เธอว่า..เธอยอมรับได้..
สัมพันธภาพของทั้งสองได้เกิดขึ้น ในขณะที่ นายเดวิดได้ไปปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า ตัวเองกำลังลำบากในเรื่องการเงิน และอยู่ในข่ายที่กำลังจะล้มละลาย เพื่อนคนนั้นได้แนะนำว่า หาผู้หญิงรวยๆ แต่งงานซะคนซิ..รับรองว่าปัญหานี้หมดไปอย่างแน่นอน แต่ตอนนั้น นายเดวิดไม่รู้จักกับผู้หญิงรวยๆ และโสดสดคนไหน เพื่อนจึงพาไปแนะนำให้รู้จักกับ เลดี้ พาเมล่า ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้สานต่อถึงเส้นทางสู่สูตรสำเร็จ เขากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า
"พอเธอเดินเข้ามานะ เราเห็นอสังหาริมทรัพย์กว่าห้าล้านปอนด์ลอยเด่นขึ้นมาเลย..แม้ว่าเธอจะสวมรองเท้าเปิดหัวแบบเชยๆ สีขาว หรือ กระเป๋าถือนั่นก็ล้าสมัยเต็มที เราก็ต้องทำใจมองข้ามๆ ตรงนั้นไป แต่แน่นอนคือเราพาเธอออกไปเต้นรำเพลงแล้วเพลงเล่า ก่อนลาจาก เราได้กระซิบถามข้างหูเธอว่า "วางแผนไว้บ้างไหมขอรับ ว่าอยากจะมีลูกสักกี่คน?"
คำถามนั้น ช่างโดนใจสาว (แก่) อย่างเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน.. กว่าจะรู้ตัว เธอก็หลงเสน่ห์ชายคนนี้เข้าไปเต็มรัก ถึงกับกลับมาเล่าให้ท่านผู้หญิงเอดวินน่า ผู้เป็นมารดาฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง..
เพื่อนสนิทคนนั้น คือ นางสาว รอบินส์ ที่ได้นำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือโดยการยินยอมของเดวิด ก่อนที่หนังสือจะออก ท่านลอร์ดได้ขอพบเธอเพื่อการเจรจาขอซื้อเทปบันทึกเสียงสัมภาษณ์เหล่าบรรดาคู่ขาเกย์ของเดวิด หากแต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเธอไม่ยอม ต่อมาท่านลอร์ดจึงส่งทนายความเจรจาและเป้าหมายคือการที่จะฟ้องร้องขออำนาจศาล ซึ่งคราวนี้ เธอตกลง..โดยการมอบเทปเหล่านั้นให้ไปเผาทิ้ง แต่นาย เดวิด ได้รอจนกระทั่ง ท่านลอร์ดได้ล่วงลับไป จึงได้ไปติดต่อหาคนเขียนหนังสือชีวประวัติให้ใหม่ คราวนี้คือ จูน ลูคัส ที่นายเดวิดได้กล่าวไว้ในปี 1995 ว่า "จูนได้อำนาจสิทธิขาดจากผม จะเอาไปเขียนยังไงก็ได้ ผมไม่แคร์.."
ส่วนเลดี้ พาเมล่า ยามที่มีคนถามในภายหลังถึงเรื่องการมีสามีที่ผิดแผกแหวกแนวอย่างนั้น คิดได้ไง? เธอได้ตอบว่า..ไม่เห็นจะยากเลย ลองพวกคุณมามีพ่อแม่แบบของฉันซิ..อะไรที่แหวกแนวขนาดไหนมา..รับได้ทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งนะ เดวิดเป็นพ่อที่ดี และเขาก็ดีกับฉันมาก ดูแลบ้านช่อง คอยจัดเก็บเสื้อผ้าของฉันให้เข้าที่ จะไปหาอย่างนั้นที่ไหนได้อีกล่ะ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|