เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 37114 ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:49

 ในช่วงนั้น เจ้าชายพระสวามีทรงหันรีหันขวางไม่ถูก   ไม่รู้ว่าจะต้องทำองค์อย่างไร   สมเด็จพระราชินีก็ทรงงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้
พระโอรสก็อยู่ในโรงเรียนประจำ  พระธิดาก็ยังเด็กเกินไป
พระองค์จึงตัดสินพระทัยรับการเชื้อเชิญเสด็จเยี่ยมออสเตรเลีย ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่เมลเบิร์น ซึ่งการเสด็จครั้งนี้จะเป็นเวลาระยะยาว เพราะจะมีการประพาสเรื่อยเปื่อยไปยัง The Gambia, the Seychelles, Malaya, New Guinea, New Zealand, Antarctica, the Falklands, Galapagos Islands, และฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาด้วย
การเสด็จครั้งนี้จะกินเวลาถึงสี่เดือน และจะเสด็จโดยลำพังกับพระสหายสนิทและเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ด้วย   เขาคือ ไมเคิล ปาร์คเกอร์
ทั้งคู่เคยเป็นทหารร่วมเรือลำเดียวกัน เป็นเพื่อนในทีมคริกเก็ตเดียวกัน และที่สำคัญคือต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน

ไมเคิลเพิ่งจะหย่าขาดจากภรรยา ส่วนท่านดยุค ไม่ได้หย่า แต่อยากแยกตัวออกมาใช้เวลาตามลำพัง
เลยพอเหมาะพอเจาะ ทั้งสองต่างวาดแผนการเดินทางครั้งนี้ ที่จะเป็นแบบการผจญภัยของสองชายหนุ่มที่ไปไหนไปกัน..หัวหกก้นขวิด
สมเด็จพระราชินี เมื่อทรงทราบเรื่อง พระองค์ได้ตรัสว่า
"ฟิลิปน่ะ เกิดมาในดวงชีพจรลงเท้าอย่างแท้จริง อยู่ไหนไม่ติดที่หรอก ห้ามไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ตามใจเขา"

ท่านดยุคจึงได้จัดการเตรียมการล่องเรือในครั้งนี้ โดยที่ทรงเรียกว่า ล่องเรือสัมพันธฉันท์ทูต... (Diplomatic Mission) โดยการที่พระองค์จะทรงบินไปเคนย่า ในวันที่ 15 ตุลาคม 1956
เพื่อไปขึ้นเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่จะไปจอดรอรับพร้อมทั้งกับ
ไมเคิล และพระสหาย นาย บารอน (เป็นช่างภาพประจำพระองค์) ตามกำหนดการเดิม
แต่ก่อนที่จะเดินทางเพียงไม่กี่อาทิตย์ นายบารอน วัย สี่สิบเก้า ต้องการที่จะเข้ารับการรักษาโรคไขข้ออักเสบให้เรียบร้อย จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด..
หลังจากผ่าเสร็จได้สองวัน..เขาได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว..
คู่หมั้นดาราของเขา แซลลี่ แอนน์ ฮาวส์ ผู้ซึ่งห้ามแล้วห้ามอีกในเรื่องของการที่จะเข้าผ่าตัดของเขาในครั้งนั้น ถึงกับโกรธเจ้าชายฟิลิปอย่างไม่มีวันให้อภัย..
แลร์รี่ แอดเล่อร์ได้เล่าว่า..
"บารอนเป็นคนดี ฉลาดเฉลียว ร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ เป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มวันพฤหัสของเรา เขาเป็นคนจัดงานฉลองทิ้งความเป็นโสดให้กับเจ้าชายฟิลิป และเป็นช่างภาพประจำสำนักพระราชวัง   รับผิดชอบในงานพระราชพิธีสำคัญๆ อย่างวันอภิเษก และ วันราชาภิเษก และนี่ถ้าไม่ติดตรงทมี่ว่าเขามีเชื้อสายยิวอยู่ในตัวละก้อ เขาอาจจีบเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไปแล้ว..
ความดีของบารอนเนี่ยนะ สามารถขอรับการสถาปนาให้เป็นชั้นอัศวินได้เลย แต่ที่ไม่ได้..ก็เพราะว่า สมเด็จฯไม่ทรงโปรด... เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันชอบหาสาวๆ ให้กับเจ้าชายพระสวามีน่ะซิ"

ซึ่งข้อความนี้ก็ไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก หนุ่มรูปหล่อ พระชนมายุแค่ สามสิบห้าอย่างท่านดยุค ไม่จำเป็นต้องมีใครมาหาหญิงให้ ทรงหาเองได้
หากแต่..หาได้แล้วไม่รู้จะไปที่ไหนละก้อ ว่าไม่ถูก..
ฉะนั้น เรื่องการเดินเรือไปในทะเลอย่างโดดเดี่ยวในการเสด็จประพาสครั้งนี้คือ คำตอบ..
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:51

 การเสด็จเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ในครั้งนั้นมีความลับดำมืดมากมายที่นักข่าวพยายามสาวไปให้ได้ ถึงเรื่องของโรงแรมชายท่าที่ซิดนีย์ ที่มีเจ้าของคือ เลดี้ แมรี่ เอลเลน บาร์ตัน...
ข่าวที่ว่านี่คือที่พำนักของท่านดยุคและสาวๆ นางบำเรอที่มีเข้ามาเปลี่ยนโฉมบ่อยๆ ในนามของเหล่าเลขานุการิณีบ้าง พนักงานพิมพ์ดีดบ้าง..
ทางสิงคโปร์...มีข่าวว่า มีพนักงานหญิงสั่งตรงเข้าห้องไปเลย...แต่ละคนไม่มีทีท่าว่าจะพิมพ์ดีดเป็น..

ข่าวก็คือข่าว..โดยเฉพาะข่าวที่จะทำความเสื่อมเสียพระเกียรติของสมเด็จก็ได้แต่วนอยู่ในชายเขตของออสเตรเลีย สิงคโปร์ แค่นั้น หาได้ล่วงไปสู่เกาะอังกฤษไม่

เมื่อจากอังกฤษมาไกลข้ามทวีป ท่านดยุคเริ่มมีพระอารมณ์รื่นขึ้น
ถึงกับทรงคุยเรื่องของสถานภาพของพระองค์แบบขำๆ ได้ อย่างที่ออสเตรเลีย ที่ได้มีการพบปะกับนายและ ด๊อกเตอร์ รอบินสัน
ท่านดยุคถึงกับเลิกพระขนงด้วยความแปลกพระทัย..ว่าทำไมไม่เป็น มิสเตอร์และมิสซิส
ฝ่ายชายได้ทูลตอบว่า...เพราะภรรยาคือ ด๊อคเตอร์ทางอาชญวิทยา ที่มีความสำคัญในหน้าที่การงานมากกว่า
ท่านดยุค..ถึงกับร้องอ๋อ..พร้อมกับตอบว่า
"งั้นเรา..ก้อ..หัวอกเดียวกัน"

ในการเดินทางล่องเรือครั้งนี้ ท่านดยุคและไมเคิล ต่างก็แข่งขันกันว่า หนวดเคราใครจะยาวกว่ากัน ชีวิตเดินเรือของคนทั้งสองที่วันๆ หมดไปกับการยิงจรเข้บ้าง นอนผึ่งพุงอยู่ที่ดาดฟ้าเรือบ้าง  กางผ้าใบวาดรูปพร้อมจิบยินโทนิคบ้าง
พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้การเรือแท้ๆ ที่เต็มไปด้วยวินัย..
ทหารลูกเรือทุกคนต้องทำงานอย่างมีระเบียบ ขนาดการจัดโต๊ะเสวยต้องใช้แถบเทปวัดระยะการวางจาน ช้อนส่อมให้เท่ากันเด๊ะ..
อีกทั้งต้องสวมรองเท้าแตะผ้านุ่มในยามเดินจะได้ไม่มีการส่งเสียงดัง..

ข่าวมาถึงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ลงโจมตีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองของท่านดยุคครั้งนี้อย่างไม่มีความเกรงพระทัยสมเด็จฯ ว่า
"ผลาญไปกว่าสองล้านปอนด์ กับการเดินทางที่มิได้ก่อประโยชน์ใดๆ ไหนจะต้องนำรถโรลลส์-รอยซ์ไปรับยามที่ขึ้นท่าอีก ใครจ่ายกันล่ะ?"
แต่ยังไง ยังไง หนังสือพิมพ์ก็จิกไปได้แค่เรื่องงบประมาณเท่านั้น ไม่มีฉบับไหนกล้าแอะถึงเรื่องข่าวลือของบรรดาเหล่าสาวๆ ที่วนเวียนขึ้นลงเรือเป็นว่าเล่นนั่น...
และท่านดยุคเองก็ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างที่สุด ไมเคิลได้เล่าว่า
"ท่านได้ตรัสกับผมในวันแรกของการเข้าทำงานว่า..งานของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ หรือในอนาคตข้างหน้า มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือการป้องกันพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินียิ่งกว่าชีวิต"

แต่กระนั้น..ในการเดินทางระยะยาวครั้งนี้ของท่านดยุค ก็ทำให้พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมในงานครบรอบแปดชันษาของเจ้าฟ้าชายพระโอรส..งานครอบรอบอภิเษกครบเก้าปีของพระองค์เอง
และงานวันคริสต์มาสรอบปีที่สิบของครอบครัว..
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:53

 การเดินทางครั้งนี้ได้สัมฤทธิผลในด้านการเจริญสัมพันธไมตรี ผู้คนในประเทศราชต่างๆ รู้จักเจ้าชายฟิลิปมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน..พระองค์มิได้รู้สึกถึงข่าวคราวของสงครามที่กำลังคุกรุ่นขึ้นจางๆ ตอนนั้นได้เสด็จไปถึงซีลอน (ตอนนี้คือ ศรีลังกา) จึงได้ทราบว่า
ตอนที่เรือบริแทนเนียจะออกจากท่าเรืออังกฤษนั้น ได้มีการยื้อยักไว้ถึงเก้าวัน..เนื่องจาก เผื่อสถานะการณ์ฉุกเฉิน
เพราะเมื่อเดือน กรกฏาคม เรื่องการขู่ปิดคลองสุเอซของอียิปต์กำลังฮึ่มๆ อยู่
เนื่องจากสหรัฐได้ล้มเลิกสัญญาที่จะให้กู้เงินสร้างเขื่อนอัสวาน (Aswan Dam)
นายกทักษ..เอ๊ย..ประธานาธิบดีอียิปต์ นาย คามาล อับเดล นัสเซอร์ ได้ออกอาการกร้าวว่า..
"งั้นก็ปิดมันซะเลย..ไมสนหรอกกะอีเงินดอลล่าร์เนี่ย..คลองสุเอซได้สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่าร้อยล้าน สร้างเองก็ได้ (วะ) แล้วคอยดูไปนะ ว่า ชาวอียิปต์จะบริหารอย่างไร.."

การขู่ปิดคลองสุเอซนั้น เท่ากับว่า การเดินเรือของชาวตะวันตกต้องพบกับความหายนะลูกเดียว..เรือเดินสมุทรขนน้ำมันต้องผ่านทางลัดทางนี้วันละสองล้านกว่าบาร์เรล..
โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสที่จะเสียหายมากที่สุด...ทั้งสองประเทศจึงเข้าร่วมภาคีกับอิสราเอลในการที่จะเปิดศึกกับอียิปต์..

ในวันที่ 2 ตุลาคม 1956 รถถังพร้อมอาวุธของอิสราเอลได้เคลื่อนทัพข้ามซิไน บุกเข้าโจมตีอียิปต์อย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม..
สงครามได้เปิดฉากขึ้น พร้อมทั้งการสั่งให้อียิปต์ถอยกำลังออกจากปากคลอง..
อียิปต์..บอกว่า ตายเป็นตาย..ถึงไหนถึงกัน..

วันที่ 31 ตุลาคม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างระดมส่งระเบิดไปกำนัลก่อน
ห้าวันต่อมา พลร่มห้าหมื่นกว่านาย..โรยตัวลงสู่ ปากทางของ
คลองสุเอซ ที่ Port Said
เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกสงครามด้วย กล่าวคือ สามารถใช้เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำได้อย่างทันที
อุปกรณ์พร้อม..ถูกเรียกมาทางวิทยุให้ติดต่อกลับไปที่พระราชวัง..
ทำให้ท่านดยุคได้ทราบข่าวว่า..ตอนนี้ทั่วโลกกำลังต่อต้านอังกฤษ ฝรั่งเศสในการหักพร้าด้วยเข่าครั้งนี้..
แม้แต่..ยูเอ็น ก็ไม่เห็นด้วยต่อสงครามย่อยๆ ครั้งนี้ ถึงกับสั่งให้มีการหยุดยิงโดยด่วน..

อเมริกาซึ่งเคยเป็นมหามิตรของอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร..ถึงกับเดือดดาลต่อการกระทำที่ลุแก่อำนาจครั้งนี้ และประกาศว่า ขอประนาม...ต่อด้วยว่า ถ้ายังไม่หยุด เราก็จะขาดไมตรีจากกัน
นี่คือไม้ตาย..ที่ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล..หันมาเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้..หยุดการรุกรานทันที..เพราะขืนไม่หยุด รัสเซียที่กำลังฮึ่มๆ จะเล่นงานอยู่..เป็นได้ฤกษ์ลงมือแน่ๆ ..
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:56

 เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างขาดการไตร่ตรองครั้งนี้ เป็นเพราะความอ่อนหัดของนายกรัฐมนตรีทักษิ..เอ๊ย..ไม่ช่าย..นายกฯ แอนโทนี่ อีเดนของอังกฤษ ที่อดีตคือรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของท่านเชอร์ชิลลก็ทำงานดีอยู่

แต่เมื่อมาเป็นนายกเข้า..ทำงานที่มีจนล้นมือ มีเวลานอนเพียงแค่วันละสองสามชั่วโมง นอกนั้นต้องใช้ยากระตุ้นเอมเฟตามีน..จนทำให้สมองเบลอคิดอ่านอะไรผิดๆ พลาดๆ
ในยามที่ตัดสินใจจะทำสงคราม นายอีเดนได้ส่งข้อราชการเรียกหน่วยทหารกองหนุนเข้าประจำการไปถวายให้สมเด็จฯทรงลงพระปรมาภิไธย
ซึ่ง ก็ทรงเซ็นไปขณะที่กำลังทอดพระเนตรการแข่งม้า..

พระองค์เองก็ยังใหม่ต่อการเป็นพระราชินี อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ จึงขาดประสบการณ์ในเรื่องการต่อรอง..จึงไม่สามารถอ่านได้ว่า
สองสามอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่กองทัพอังกฤษต้องถอยออกจาก
คลองสุเอซนั้น..ได้สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านั้นหันเข้าหาไมตรีที่รัสเซียได้กำลังหยิบยื่นให้..
แถมยังสร้างความไม่พอใจให้กับมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่งยวด
(ขนาดอเมริกายังไม่กล้าแอะสักคำกับการปิดคลอง แต่..อังกฤษดันเปิดฉากทำสงคราม..)
นับว่า มีแต่เสียกับเสีย..

นายอีเดน รู้ตัวดีว่าได้สร้างความเสียหายไว้กับประเทศมากมาย..ถึงกับล้มป่วยต้องบินไปรักษาตัวที่จาไมก้า..ในเดือนธันวาคม
เขากลับมาสู่อังกฤษในสามอาทิตย์ต่อมา พบว่าประเทศกำลังโกลาหลเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน..
เขาไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากต้องลาออกจากตำแหน่งไป
ผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาแทน..นั่นคือ นาย ฮาโรล แมคมิลแลน (Harold Macmillan)

มาถึงตอนนี้..หนังสือพิมพ์ต่างโจมตีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายนะครั้งนี้อย่างไม่เลี้ยง..ขนาดเจ้าชายฟิลิปที่ทรงอยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ยังโดนหางเลขไปว่า..
"มัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ในขณะที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ"

แต่สมเด็จจกลับทรงเห็นว่า..
"โชคดีเท่าไหร่แล้ว...ที่ฟิลิปไม่อยู่...ไม่งั้นละก้อ ตัวใครตัวมัน.."

หลังจากการจากไปถึงสี่เดือนของพระสวามี
เรือบริแทนเนียจะเข้าเทียบท่าที่ท่าลิสบอน เพื่อรอรับเสด็จสมเด็จฯพระราชินีที่จะเสด็จไปด้วยในการเยี่ยมเยือนประเทศโปรตุเกส
แต่ก่อนที่จะไปท่าลิสบอน..ท่านดยุคต้องส่งไมเคิลขึ้นที่ยิบรอลต้าพร้อมกับเซย์ กู๊ดบายก่อน..เพื่อไมเคิลจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสมเด็จฯ  เนื่องจาก เขาเป็นคนที่มีการหย่าร้างที่ค่อนข่างอื้อฉาว
ไอลีน ภรรยาของเขานั้นได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่า ไมเคิลนอกใจ มีหญิงอื่น..(ซึ่งทำให้เขาต้องขอลาออกจากการเป็นราชองครักษ์ในที่สุด )
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอพระทับกับท่านดยุคเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พระองค์ต้องเสียพระสหายที่วางพระทัยได้ไป อีกทั้งช่างเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างที่สุด เพราะทีกับนายอีเดนอดีตนายกนั่น..หย่ามาแล้วถึงสองครั้ง..ทำไมจึงมีข้อยกเว้น..พบกับสมเด็จได้ทุกวัน..

แต่นี่คือคำสั่งจากกรมวัง..ที่แถลงรายงานมาว่า ต้องไม่มีไมเคิลต่อหน้าพระพักต์
แต่กระนั้น ท่านดยุคยังสู่อุตส่าห์เสด็จไปส่งพระสหายรักจนถึงเครื่องบินที่สนามบินยิบรอลต้า และตรัสว่า
"ยังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ"
ที่ลิสบอน..เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินีต้องบินวนกว่าครึ่งชั่วโมง ยังจอดลงไม่ได้ เพราะพระสวามียังไม่เสด็จมา..
แต่คณะข้าราชบริพารทั้งหมดกว่ายี่สิบห้าคน ที่มีท่านปลัดกระทรวงต่างประเทศ เชลวิน ลอยด์ และฝ่ายพวกผู้ชายได้ติดหนวดเคราปลอมๆ กันอย่างสนุกสนาน ตามพระบัญชาของสมเด็จฯ ที่ตั้งพระทัยจะให้เป็นการล้อเลียนพระสวามี
จากภาพถ่ายที่ส่งมาให้ทอดพระเนตรครั้งล่าสุด ที่ทรงไว้หนวดเครายุ่มย่าม...
นางพระกำนัลต่างเห็นขัน..หัวเราะกันคิกคัก..

ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างที่ว่า...อีกด้านหนึ่งของยุโรปคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส ต่างประโคมข่าวกันอึงคนึงว่า..ชีวิตการอภิเษกเห็นท่าจะล่มกันคราวนี้..
ในเนื้อข่าวได้ลงถึงขนาดว่า เจ้าชายพระสวามีทรงสั่งซื้อที่บรรทมใหม่ เป็นแบบเตียงเดี่ยว..
และข่าวอื่นๆ ที่ไม่เป็นสิริมงคลก็ตามมาโดยหนังสือพิมพ์ของอเมริกาที่คิดจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ
ข่าวนี้เล่นเอาพวกเสนาบดีในวังวิ่งกันปั่นป่วน..เพราะสมเด็จทรงกริ้วที่ทรงทราบว่า ชีวิตส่วนพระองค์นั้นได้กลายเป็นอาหารอันโอชะข้ามทวีป..
พวกนักข่าวอังกฤษได้มองอย่างสะใจ เพราะ หมั่นไส้มานาน..พวกเขาว่า
"ดี..จะได้รู้สึกเสียบ้างว่า ต้องหยิบหัวมันร้อนๆ เนี่ย..มีความรู้สึกอย่างไร"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 11:01

 วันต่อมา..สมเด็จจึงต้องทรงออกโรงเอง..โดยการออกข่าวว่า ทรงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก และเป็นไปไม่ได้ ..

แต่การเสด็จลิสบอนเพื่อที่จะพบกับพระสวามีนั้น เล่นเอานักข่าวแห่แหนไปรุมล้อมอย่างมากมายในประวัติการณ์ ท่านดยุคที่น่าสงสารได้ถูกขยันนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของพระนางวิคตอเรีย  ที่ว่า เจ้าชายอัลเบิร์ต (เยอรมันเหมือนกัน) ยังได้รับเกียรติให้ว่าราชการร่วมกับพระราชินี..ทั้งยังได้รับสิทธิในการอ่านข้อราชการในทุกเรื่อง..
ช่างแตกต่างกันนักกับเจ้าชายพระสวามีองค์นี้ ที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย
แรกๆ ท่านดยุคพยายามทำให้เป็นเรื่องขำขัน โดยการแสร้งตรัสว่า..ก็..ฉันมันไม่มีตัวตนน่ะซิ..

ในยามที่ท่านดยุคได้มารับเสด็จที่สนามบินลิสบอน และต้องมาเจอกับนักข่าวมากหน้าหลายตานั้น พระองค์เกิดอาการกริ้วขึ้นมาทันที ทรงตรัสว่า
"ไอ้พวกปั้นน้ำเป็นตัว..ชอบสร้างข่าวความเสียหายเพียงแค่อยากหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น..เกลียดน้ำหน้านัก"
ว่าแล้ว..พระองค์ก็ทรงรีบสาวพระบาทข้ามขั้นบันไดขึ้นไปรับเสด็จบนเครื่องบินพระที่นั่ง..ทีละหลายๆ ขั้น เนื่องจากการมาที่ล่าช้า..
ฉลองพระองค์ในวันนั้นคือ ทรงสูทผูกไท พระพักต์เกรียมแดด แต่คางขาวสะอาดเพราะเพิ่งโกนหนวดเคราทิ้งไป..

ชั่วโมงหนึ่งต่อมา..สมเด็จจึงเสด็จลงมาจากเครื่องบิน โดยมีพระสวามีเสด็จดำเนินตามหลังสองสามก้าว ด้วยพระพักต์ที่มีรอยเปื้อนลิปสติค

ทั้งสองพระองค์ได้ใช้เวลาประทับอยู่ด้วยกันในเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย มีการเสด็จลงเรือเล็กเลียบคลองซาโด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของสมเด็จที่ไม่เคยมาก่อน เพราะนอกจากเรือเดินสมุทรพระที่นั่งแล้วไม่เคยเสด็จลงเรือลำใด ทรงเกรงการเมาเรือ..
แต่ในคราวนี้ ทรงโอนอ่อนเพราะอยากตามพระทัยพระสวามี

หลังจากสี่วันที่ประทับและเสด็จเยือนปอร์ตุเกสด้วยกันนั้น..เมื่อกลับถึงอังกฤษ สมเด็จได้ทรงมีประกาศและพระดำรัส ต่อประชาชนว่า..
พระองค์ได้ทรงทำการยกสถานะฐานันดร และมอบตำแหน่งเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักร และ ไอร์แลนด์เหนือ ให้กับ ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค**** และมีสิทธิทุกอย่างในการช่วยว่าราชการบริหารบ้านเมือง(ยกเว้นการประชุมกับรัฐบาล และกล่องแดง) สามารถเป็นผู้แทนพระองค์ในงานพระราชพิธีต่างๆ ได้รวมทั้งได้รับการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ มิใช่ฉบับย่ออย่างแต่ก่อน..

(**** ตำแหน่งเจ้าชายที่เรียกมาในตอนก่อนๆ นั้น ความจริงแล้ว..พระองค์ยังไม่ได้เป็นเจ้าชาย ถึงแม้จะเป็นเจ้าชายกรีกก็ตาม แต่ได้สละคืนฐานันดรไปตั้งแต่ก่อนทรงหมั้น เพื่อที่จะเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นอังกฤษ
ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นแค่ เรือตรี ฟิลิป เมาท์แบตเตน มาเป็น ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค ตามตำแหน่งของพระสวามี แต่ยังไม่ใช่เจ้าชาย..มาได้เป็นจริงๆ ก็ตอนที่สมเด็จพระราชินีทรงประทานให้ในคราวนี้ คือ ปี 1957 นี่)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 11:04

 เจ้าชายฟิลิปได้ทรงออกแถลงรายงานแก้เกี้ยวว่า ตลอดเวลาสี่เดือนที่ทรงรอนแรมออกทะเลจากครอบครัวไปยังประเทศต่างๆ นั้น เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศราชต่างๆ จนได้รับผลสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชม
เพราะ พระองค์ได้มีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญๆ กว่าหนึ่งพันสี่ร้อยคนจากอาณาประเทศ
และโซ่สัมพันธอันแน่นหนานั้น จะทำให้แสนยานุภาพของอังกฤษกว้างไกลไปอีกนานเท่านาน

แต่..อย่าลืมว่า ถึงแม้แสนยานุภาพที่ว่านี่จะกว้างไกลแค่ไหน..รอยด่างในสัมพันธภาพกับประเทศในตะวันออกกลางยังไม่มีวันลบเลือน
รัฐบาลจึงต้องรีบหาทางประสานโดยด่วน โดยการต้องขอร้องให้พระองค์เสด็จเยือนโปรตุเกส ฝรั่งเศส เดนมาร์ค แคนาดา ในปีนั้น..
และท่านนายกฯ ได้ขอให้เสด็จเยือนมหามิตรอเมริกาต่อโดยด่วนเพื่อเป็นการสมานฉันท์ในรอยร้าว..
นายฮาโรลด์ได้กล่าวว่า
"การเสด็จของพระองค์นั้นจะได้ผลกว่าการส่งทูตไปนับร้อยพะยะค่ะ"

สมเด็จฯทรงเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางจนไม่อยากเสด็จไปไหนอีก แต่ต้องมาเปลี่ยนพระทัยเพราะการ์ตูนภาพล้อในหนังสือพิมพ์ของอเมริกา ที่มีภาพประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวร์ กำลังนั่งกุมศรีษะอยู่ในทำเนียบ
และมีตัวอักษรว่า.."Great Britain Is No Longer Great"

เพียงทอดพระเนตรการ์ตูนนั้น พระองค์ได้ตัดสินพระทัยเสด็จเยือนอเมริกาพร้อมพระสวามีในหมายกำหนดการห้าวัน ทันที..

สมเด็จและพระสวามีได้เสด็จถึงอเมริกาในวันโคลัมบัส พร้อมกับขบวนนักข่าวที่ติดตามทำข่าวกว่าสองพันคน พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการอนุญาตในการที่จะมีการสนทนาหรือสัมภาษณ์ทั้งสองพระองค์
และทางราชสำนักได้ออกจดหมายเวียนไปให้ทราบทั่วกันถึงการแต่งกาย ว่า ฝ่ายหญิงต้องไม่มีการสวมชุดดำ ต้องสวมถุงมือ และควรรู้จักวิธีการถอนสายบัวฝ่ายชาย ต้องผูกไท รู้จักการคารวะโดยการคำนับ..
ข่าวที่จะลงได้..ต้องมาจากสำนักพระราชวังเท่านั้น

เจ้าชายฟิลิปได้ถามกับนักข่าวว่า
"เวลาที่ท่านประธานาธิบดีมีการประชุมนักข่าวนั้น ไปกันทีละกี่คน"
คำตอบคือ "สามร้อยคงจะได้พะยะค่ะ"
เจ้าชายถึงกับทรงพระสรวล..ตรัสว่า
"ถ้าเราทำบ้างนะ อย่างมากคงไปกันแค่สองคน"
(เพราะข่าวจากภายในวังนั้น ถูกควบคุมเสียจนเกินเหตุ จนนักข่าวอังกฤษต่างเอือมระอา ที่มีเขียนไปวันๆ ล้วนมาจากข่าวจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และอเมริกา)

นายวาร์เรน โรเจอรส์ นายกสมาคมนักข่าวอเมริกันได้รับหนังสือจากสถานทูตอังกฤษที่มีข้อห้ามมากมาย เกี่ยวกับการทำข่าวขององค์ประมุข จนเขาออกเห็นเป็นเรื่องขำ..
ที่มิใช่ทางสำนักพระราชวังจะห้ามแต่กับพวกเขาเท่านั้น  ยังมีหนังสือไปห้ามเจ้าชายฟิลิปด้วยว่า
ห้ามถามท่านประธานาธิบดีในเรื่องการส่งยานอวกาศ เพราะตอนนั้น  อเมริกากำลังเสียหน้าให้รัสเซียที่ส่งยานสปุทนิคอันเป็นสถานีอวกาศก่อนหน้าชาติไหนๆ ...

จนเขารู้สึกสงสารในความเป็นพระสวามีของเจ้าชายเป็นกำลัง..และรู้สึก"ทึ่ง" ในความสามารถของการเป็นพระราชินีของสมเด็จที่ได้ทรงพระราชดำเนินลงมาจากสภากรุงวอชิงตันที่มีบันไดหินแกรนิตนับร้อยๆ ขั้น โดยมิได้ทรงทอดพระเนตรลงดูขั้นบันไดเลย
ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงมาอย่างสง่าราวกับนางพญาหงส์
อีกทั้งมีการโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนอีกด้วย
จนเขาถึงกับเขียนไว้ว่า..
"พระองค์คงเรียนการเดินลงบันไดมาจากโรงเรียนที่สอนคนให้เป็นพระราชินีกระมัง.."

นายโรเจอรส์ได้เขียนไว้ต่อไป ตามประสาคนที่มีวิญญาณแห่งนักข่าว..ว่า..
"สมเด็จพระราชินีได้ทรงตัดชุดชั้นในจากช่างเดียวกันกับดาราภาพยนตร์ จิน่า ลอลโลบริจิด้า ทั้งสองเหมือนกันตรงที่ว่า ขนาดไล่เลี่ยกัน ต่างกันตรงที่ว่า ของจิน่า ช่างต้องทำให้ออกมาดูใหญ่ที่สุด
แต่ของสมเด็จฯ ช่างต้องตัดออกมาให้ดูเล็กที่สุด นี่คือความแตกต่างของดารากับเจ้า.."
เรื่องข่าวนี้ เขาได้ถูกเล่นงานและการตำหนิจากจากสำนักระราชวังอย่างมากมาย.. ที่เขาไม่เข้าใจว่า..มันผิดตรงไหนในการนำเสนอ..
(เพราะ ชาวอเมริกันไม่รู้ว่า..ว่า เรื่องนมๆ ต้มๆ ของเจ้านายนั้น..เขียนไม่ได้ ขนาดตอนที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ประสูติใหม่ๆ พระองค์ทรงให้พระกษิรธาราเอง หนังสือพิมพ์อังกฤษยังออกเป็นข่าวไม่ได้เลย...วิวันดา )

ภาพ ดาราภาพยนตร์  จินา  ลอลโลบริจิดา  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:24

 ในปี 1959 สมเด็จได้ทรงครรภ์อีกครั้ง และประสูติกาลมีกำหนดแทบจะตรงกันกับวันประกาศหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับ
นายแอนโธนี่ อาร์มสตรอง โจนส์
และในการประสูติกาลของพระหน่อองค์ที่สามที่ห่างจากเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ถึงสิบปีนั้น สมเด็จได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงพระนาม (สกุล) ของพระองค์ จากวินด์เซอร์ มาเป็น เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศให้กับพระสวามี เจ้าชายฟิลิป

ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องนี้เข้าสู่สภาทันที..
ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง คัดค้านกันเต็มกำลัง..
จนท่านนายกแมคมิแลนและพระสังฆราชต้องช่วยแย้งว่า

"ก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ในประเทศ..เวลาแต่งงานก็ต้องใช้นามสกุลของสามี แล้วองค์สมเด็จทรงอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง ผิดอะไรตรงไหน?"
ผู้นำฝ่ายจารีตนิยมก็เถียงฉอดๆ ว่า
"ผิดซิ..ผิดตรงไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์คที่คอยยุยงอยู่เบื้องหลังนี่แหละ ใครๆ ก็รู้ว่า ที่จริงแล้วทุกอย่างนี่คือความคิดของใคร?"
(ไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์ค ที่เขาว่า..คือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ท่านลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานจนเกินเหตุ)

ท่านนายกจึงรีบนำการโต้แย้งในสภาไปกราบบังคมทูลให้สมเด็จทรงทราบทันที พระองค์ได้ตอบว่า..
ความจริงพระสวามีเองก็ยังไม่ทราบข่าวนี้ด้วยซ้ำ พระองค์ทรงเป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเอง
เรื่องนี้จึงถูกนำกลับไปประชุมหารือกันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง โดยปรกติเอกสารทั้งหลายแหล่จะถูกปิดบันทึกโดยไม่มีการเปิดเผยออกสู่สาธารณะเป็นเวลาถึงสามสิบปี (จนถึง 1990)
และ ในฐานะที่มีหัวข้อว่าด้วย"เรื่องส่วนพระองค์" เอกสารทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองให้เป็นความลับต่อไปอีก ยี่สิบปี

การประชุมกินเวลาเป็นเดือนๆ ในที่สุด ทุกคนก็ยอมคล้อยตามพระประสงค์
สิบเอ็ดวันก่อนที่จะมีประสูติกาล วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1960 สมเด็จได้ทรงประกาศต่อประชาชนว่า

"ต่อไปนี้ ในสายพระโอรสและพระธิดาของข้าพเจ้า จะใช้นามสกุลต่อท้ายว่า เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์"

สิ้นเสียงพระราชดำรัส..ความเห็นของประชาชนก็แตกออกไปเป็นหลายกระแส คนเก่าๆ ที่ขมขื่นจากสงครามต่างพากันว่า

"แค่สิบห้าปีเองที่เราได้ฟาดฟันเอาเป็นเอาตายกับพวกเยอรมัน หนอย..ตอนนี้ มันกลายมาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ของวินด์เซอร์ไปอย่างหน้าตาเฉย"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:29

 ท่านลอร์ดบีเวอร์สต๊อค (เจ้าของหนังสือพิมพ์ เดลี่เอกซเปรส, ซันเดย์ เอกซเปรส, อีฟเวนนิ่ง สแตนดาร์ด) ฟันธงลงไปเลยว่า เป็นเพราะท่านลอร์ด เมาท์แบตเทนคนเดียว ที่เป็นผู้วางแผนการทั้งหมดนี่ เพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ท่านลอร์ดคนนี้อยากจะมีบทบาทต่อสถาบันกษัตริย์มากมายแค่ไหน
เขาถึงกับเขียนข้อความต่อว่า (สมเด็จ) ไว้ว่า
"สมเด็จพระราชินีมิได้ทรงทราบเลยมังว่า.. พระนามวินด์เซอร์นี้..ถูกตั้งมาโดยพระอัยกาของพระองค์เอง แต่บัดนี้ได้ถูกทำลายไปเพียงเพื่อจะเอาพระทัยพระสวามีหรืออีกนัยหนึ่งคือท่านลุงลอร์ดของพระสวามี"

และจริงๆ ก็เป็นอย่างที่คาดเดา นั่นคือ มันเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของเหล่าสมาชิกในตระกูลเมาท์แบตเทน ดังที่ท่านลอร์ดได้เขียนจดหมายไปถึงเพื่อนสนิทว่า
"คราวนี้แหละ พวกลูกหลานพระราชินีแห่งเครือจักรภพ จะต้องมาใช้นามสกุลของเรา เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์"
ว่าแล้ว..ท่านลอร์ดก็ได้วางแผนจัดงานแต่งงานให้กับธิดาคนเล็ก เลดี้ พาเมล่า กับนักออกแบบตกแต่งภายใน นายเดวิด ไนท์เทนเกล ฮิคส์ (ในเดือน ธันวาคม 1960) ท่านลอร์ดได้กำหนดงานขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในการที่จะเชิญพระราชวงค์ทั้งหมดในยุโรปให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน
เพราะ ท่านลอร์ดถือว่า ลูกสาวของท่านก็เปรียบว่า"เกือบจะ"เป็นพระราชวงค์คนหนึ่งทีเดียว...

ในภายหลังต่อมา นาย เดวิด ลูกเขยของท่านลอร์ดแท้ๆ ได้มาเล่าว่า..
"คุณพ่อท่านเป็นคนเก่ง มีความสามารถสารพัด หากแต่ท่านค่อนข้างสับสนในสถานะของตัวเอง ทั้งๆ ที่ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านมีเลือดเจ้าแท้ๆ แต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงการเจ้านายของอังกฤษ จะให้ท่านไปรวมกลุ่มกับพวกเศรษฐีหรือกับพวกผู้ลากมากดีก็ไม่ได้ ก็ต้องเห็นใจท่าน"

ความจริงนายเดวิด คนนี้ จู่ๆ โผล่มาแต่งงานกับธิดาของท่านลอร์ด ก็ได้สร้างความฉงนฉงายให้กับบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว
เพราะนายนี่คือคนธรรมดาสามัญแท้ๆ อาชีพนักออกแบบตกแต่งนี่ก็ยังเป็นอาชีพใหม่..ไม่มีใครคุ้นหู
ขนาดท่านผู้หญิงเอดวินน่า ถึงกับถามว่า..ไอ้นักออกแบบนี่มันทำอะไรกัน?
แน่นอน คนที่มีมรดกพกห่อ อีกทั้ง ปราสาท คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนโบราณชั้นดีที่มีอยู่อย่างมากมายอย่างท่านผู้หญิง ที่ไม่เคยต้องใช้ช่างมาช่วยตกแต่ง..ย่อมไม่รู้จักว่าอาชีพนี้คืออะไร..
********************
โชคดีจังค่ะคุณวิวันดา  ดิฉันเจอรูปเลดี้พาเมล่าในชุดแต่งงาน พร้อมนายเดวิดเจ้าบ่าว  เลยเอามาลงประกอบให้เห็นกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:31

 ท่านลอร์ดรู้สึกผิดหวังกับว่าที่ลูกเขยเล็กคนนี้ยิ่งนักที่ช่างต่างฐานันดรกับลูกเขยคนใหญ่ (สามี เลดี้ แพตตริเชีย) ที่เป็นถึงเอิร์ล
เท่านั้นไม่พอ นายเดวิด..ยังมีประวัติของการเป็นคนรักร่วมเพศอีกด้วย
แต่ตอนนั้น เลดี้ พาเมล่า อายุอานามก็ร่วมสามสิบเข้าไปแล้ว  จะไปขัดขืนได้อย่างไร จึงต้องปล่อยเลยตามเลย

ส่วนเลดี้ พาเมล่า นั้น ตลอดชีวิตมาไม่เคยมีใครขอแต่งงาน นอกจากนายนี่เป็นคนแรก ทั้งๆ ที่ เขาเองไม่เคยปกปิดความ"ชอบชาย"ของเขาเลยแม้แต่นิด
อีกทั้งไม่ว่าเขาจะไปไหนมาไหน มักหนีบชายคนรักให้อยู่เคียงข้างเสมอ
หากแต่..เลดี้ พาเมล่า เธอว่า..เธอยอมรับได้..

สัมพันธภาพของทั้งสองได้เกิดขึ้น ในขณะที่ นายเดวิดได้ไปปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า ตัวเองกำลังลำบากในเรื่องการเงิน และอยู่ในข่ายที่กำลังจะล้มละลาย
เพื่อนคนนั้นได้แนะนำว่า หาผู้หญิงรวยๆ แต่งงานซะคนซิ..รับรองว่าปัญหานี้หมดไปอย่างแน่นอน
แต่ตอนนั้น นายเดวิดไม่รู้จักกับผู้หญิงรวยๆ และโสดสดคนไหน เพื่อนจึงพาไปแนะนำให้รู้จักกับ เลดี้ พาเมล่า ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง
จากนั้นเขาก็ได้สานต่อถึงเส้นทางสู่สูตรสำเร็จ เขากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า

"พอเธอเดินเข้ามานะ เราเห็นอสังหาริมทรัพย์กว่าห้าล้านปอนด์ลอยเด่นขึ้นมาเลย..แม้ว่าเธอจะสวมรองเท้าเปิดหัวแบบเชยๆ สีขาว หรือ กระเป๋าถือนั่นก็ล้าสมัยเต็มที  เราก็ต้องทำใจมองข้ามๆ ตรงนั้นไป แต่แน่นอนคือเราพาเธอออกไปเต้นรำเพลงแล้วเพลงเล่า ก่อนลาจาก เราได้กระซิบถามข้างหูเธอว่า
"วางแผนไว้บ้างไหมขอรับ ว่าอยากจะมีลูกสักกี่คน?"

คำถามนั้น ช่างโดนใจสาว (แก่) อย่างเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..
กว่าจะรู้ตัว เธอก็หลงเสน่ห์ชายคนนี้เข้าไปเต็มรัก ถึงกับกลับมาเล่าให้ท่านผู้หญิงเอดวินน่า ผู้เป็นมารดาฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง..

เพื่อนสนิทคนนั้น คือ นางสาว รอบินส์ ที่ได้นำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือโดยการยินยอมของเดวิด ก่อนที่หนังสือจะออก ท่านลอร์ดได้ขอพบเธอเพื่อการเจรจาขอซื้อเทปบันทึกเสียงสัมภาษณ์เหล่าบรรดาคู่ขาเกย์ของเดวิด
หากแต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเธอไม่ยอม
ต่อมาท่านลอร์ดจึงส่งทนายความเจรจาและเป้าหมายคือการที่จะฟ้องร้องขออำนาจศาล ซึ่งคราวนี้ เธอตกลง..โดยการมอบเทปเหล่านั้นให้ไปเผาทิ้ง
แต่นาย เดวิด ได้รอจนกระทั่ง ท่านลอร์ดได้ล่วงลับไป จึงได้ไปติดต่อหาคนเขียนหนังสือชีวประวัติให้ใหม่ คราวนี้คือ จูน ลูคัส ที่นายเดวิดได้กล่าวไว้ในปี 1995 ว่า
"จูนได้อำนาจสิทธิขาดจากผม จะเอาไปเขียนยังไงก็ได้ ผมไม่แคร์.."

ส่วนเลดี้ พาเมล่า ยามที่มีคนถามในภายหลังถึงเรื่องการมีสามีที่ผิดแผกแหวกแนวอย่างนั้น คิดได้ไง?
เธอได้ตอบว่า..ไม่เห็นจะยากเลย ลองพวกคุณมามีพ่อแม่แบบของฉันซิ..อะไรที่แหวกแนวขนาดไหนมา..รับได้ทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งนะ เดวิดเป็นพ่อที่ดี และเขาก็ดีกับฉันมาก ดูแลบ้านช่อง คอยจัดเก็บเสื้อผ้าของฉันให้เข้าที่ จะไปหาอย่างนั้นที่ไหนได้อีกล่ะ"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:34

 งานแต่งงานได้จัดอย่างอลังการ เหล่าเชื้อพระวงค์ได้มากันครบหมด ยกเว้นสมเด็จฯ เพราะเนื่องจากใกล้ประสูติกาล
แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ท่านลอร์ดได้เตรียมงานในวันที่เชื่อแน่ว่า ทุกคนไม่ติดภาระกิจอะไร ทั้งๆ ที่เป็นฤดูที่มีอากาศเย็นจนหิมะแทบจะตก
เพื่อเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของเมาท์แบตเทนให้เกริกไกร โดยการรวมญาติทั้งสองฝั่ง อังกฤษ-เยอรมัน ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน
ต่อให้หนาวแค่ไหน..ท่านลอร์ดก็ไม่แคร์

ในสมัยนั้น ต่อให้เจ้าบ่าวเป็นตุ๋ย หรือเป็นตุ๊ด  แต่ถ้าสามารถผลิตทายาทสืบสกุล ได้ละก้อ ไม่มีใครใส่ใจเอาเรื่องนัก
ซึ่งจำนวนของชายอย่างนายเดวิดในวงการผู้ดีอังกฤษแล้ว นับว่ามีไม่น้อยจนเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะคนพวกนี้มีหน้าที่ที่ต้องถือปฏิบัติคือ การที่ต้องมีทายาท รับช่วงมรดก พกห่อ รวมทั้งการถ่ายทอดตำแหน่งฐานันดรต่อไป
ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เหล่าโฮโมผู้ดีนั้นมีมากมาย และต่างก็สามารถแต่งงาน มีลูกหลานเหลนโหลนได้เป็นแถวๆ
ส่วนเรื่องจะไปนอนกับใครนั้น มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว..

ที่เล่าฉลุยมาถึงเรื่องนี้ เพราะว่า กำลังจะเล่าต่อถึงเรื่องการหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่มีสคริปต์ที่คล้ายคลึงกับเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..

กล่าวคือ..หลังจากที่ควีนมัมได้ทรงประกาศถึงข่าวหมั้นของพระธิดาองค์เล็ก ที่มีพระชนมายุได้ถึง 29 ชันษาแล้ว
ชาวประชาที่อยู่วงนอกต่างโล่งใจกันไปตามๆ กัน เพราะตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานั้น เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ได้ทรงปาร์ตี้เสียเหลือเกิน
และการที่จะทรงอภิเษกกับบุคคลธรรมดานั้น จะทำให้เหมือนกับว่ากำแพงแห่งศักดินาได้ถูกลดลง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นเริ่มค่อยเลือนหายไป
แต่สำหรับคนวงในแล้ว..ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด เพราะ
นายแอนโธนี่ มิใช่ช่างภาพที่มีเชื้อสายโบฮีเมียนอย่างธรรมดา
หากแต่ยังมีแม่เป็นชาวยิว..และทั้งพ่อทั้งแม่ต่างหย่าร้างกันวุ่นวาย
ใครต่อใครมองไม่เห็นว่า เจ้าฟ้าหญิงที่อยู่ในการสืบสันตติวงค์อันดับสี่..จะตกไปเป็นภริยาของคนอย่างนายนั่นได้อย่างไร..??  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:38

 นายรอนัล อาร์มสตรอง-โจนส์ บิดาของว่าที่พระคู่หมั้น ถึงกับตกใจที่ได้รับข่าวนี้ เขาว่า
"ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเลย..รับรองว่าอยู่ด้วยกันยาก เพราะโทนี่เป็นคนหัวรั้น ใครมาจูงจมูกไม่ได้ง่ายๆ แล้วเรื่องที่จะต้องมาเดินตามหลังเมียสองสามก้าวในทุกที่เนี่ยะ ลืมไปได้เลย"
หนังสือพิมพ์ไทม์ได้จำกัดความไว้ว่า
"นี่คือครั้งแรกสำหรับคนอยู่ใกล้กับพระราชบัลลังค์ที่สุดจะอภิเษกกับสามัญชนชั้นธรรมดาที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน"

หนังสือพิมพ์อื่นๆ ได้ต่างกระทุ้งว่า..น่าจะเลือกเฟ้นกันซะหน่อย เพียงแค่สองสามปีนี้เองที่กฏพระราชวังได้เริ่มหย่อนยาน ทั้งๆ ที่ในอดีตที่ผ่านมา  เรื่องแบบนี้ไม่มีทางได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน..

ใครต่อใครต่างพากันลืมว่า ควีนมัมเอง ทรงเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นศรีสะใภ้ในพระราชวงค์  
พระองค์ได้พยายามยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือเห็นอกเห็นใจนายแอนโธนี่ด้วยว่าเคยมีหัวอกเดียวกัน พระองค์ถึงกับจะเสนอตำแหน่งขุนนางให้

หากแต่..นายแอนโธนี่ได้ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี  แต่มารับในปีต่อมา ยามที่เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงครรภ์ เพราะเพื่อที่ลูกๆ จะได้รับฐานันดร..
เขาได้ถูกตั้งให้เป็น เอิร์ล สโนว์ดอน และ ไวส์เค้านท์ลินเลย์ ออฟ นิมมันส์

หลายๆ คนที่ใกล้ชิดต่างเข้าใจดีว่า การอภิเษกคราวนี้ คือการประชดชีวิตของพระองค์ที่ผิดหวังจากความรักที่มีต่อกัปตัน ทาวน์เซนด์
เพราะในวันที่ทรงตัดสินพระทัยรับการเสนอขอจากนายแอนโธนี่ คือวันเดียวกันกับที่พระองค์ทรงได้รับจดหมายจากกัปตันในวันที่ 9 ตุลาคม 1959 ว่า
เขากำลังจะแต่งงานใหม่กับสาวน้อยวัยยี่สิบชาวเบลเยี่ยม ทายาทเจ้าของกิจการยาสูบ ที่เขาพบและรู้จักที่กรุงบรัสเซล ในตอนที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารครั้งนั้น
พระองค์ทรงทราบข่าว พร้อมทั้งยักพระอังสะอย่างไม่แคร์ ทรงตรัสว่า
"ยัยนั่นอาจจะรวย แต่ก็ไม่ใช่เจ้า.."
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยอภิเษก  ทรงได้เล่าประทานสัมภาษณ์ในหลายปีต่อมาว่า..
"จริง ที่ฉันได้รับจดหมายจากปีเตอร์ในเช้าวันนั้น และจริง..ที่ตกเย็นมาฉันก็ตัดสินใจแต่งงาน ฉันก็ยังไม่อยากแต่งหรอกนะ..
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่านายนี่เขามาขอแต่งงานน่ะซิ ตอนนั้นเขาก็จัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง มักเป็นกำลังใจให้เสมอ และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับโลกภายนอกกับเขาบ้าง..ความจริงเขาก็ขอมาหลายเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว..แต่ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะว่า ไม่มีใครเชื่อว่า โทนี่เขาจะรู้จักชอบผู้หญิงจริงๆ น่ะซิ"

คำจำกัดความในการเป็นตัวตนของแอนโธนี่ ชายผู้กำลังจะโชคดีวัยสามสิบสอง ตามสำนวนของนักข่าว คือ
"เจ้าบทบาท" และ "ศิลปินเอก"
เขาคนนี้คือ บุตรชายคนเดียวของทนายความ นายรอนัล อาร์สตรอง-โจนส์ ที่หลังจากเลิกราไปกับภรรยา  เขาก็ไปแต่งงานใหม่กับดาราสาว ที่ภายหลังก็เลิกร้างไปจากกันอีก จนในที่สุดเขาได้อยู่กินกับแฟนสาวที่เป็นแอร์โฮสเตรส อายุอานามก็อ่อนกว่ากันถึงสามสิบปี
แต่พอทันทีที่ลูกชายประกาศหมั้นกับเจ้าฟ้าหญิง  นายรอนัลก็รีบจัดการแต่งงานกับแฟนสาวทันทีเพื่อไม่ให้มีการลักหลั่นในเรื่องของสถาบันครอบครัว

ส่วนมารดาของเขานั้น หลังจากที่หย่าขาดไปจากบิดา (นายรอนัล) เธอได้ไปสมรสใหม่กับขุนนางชาวไอริช ที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเคานท์ แห่ง รอสเซ่ ซึ่งทำให้เธอคือ เคาน์เตส ซึ่งศักดินาตรงนี้ของเธอได้เข้ามาช่วยบุตรชายให้ดูดี เป็นเชื้อสายขุนน้ำขุนนางกะเขาขึ้นมาหน่อย  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:41

 การศึกษาของนายแอนโธนี่ มิใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ เขาคือศิษย์เก่าของอีตันคนหนึ่ง และมีความตั้งใจที่จะเป็นสถาปนิก โดยการเข้าเศึกษาต่อที่เคมบริดจ์ ที่ถูกรีไทร์ออกมาหลังจากการสอบตกในปีแรก..
เมื่ออายุได้สิบหก เขาป่วยเพราะมีอาการของการติดเชื้อโปลิโอ หลังจากที่ต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายเดือน เขาสู้อตส่าห์ทำกายภาพบำบัดให้กับตัวเองอย่างชาญฉลาด  โดยการทำเครื่องออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาที่คล้ายกับการเดินบนสกี จนกระทั่งสามารถเดินได้ แม้จะไม่ดีนักแต่ก็ไม่เป็นที่สังเกต

การเข้ามาในรั้วในวังของเขา ก็คือการที่ได้มีโอกาสเข้ามาถ่ายภาพให้กับท่านดยุค ออฟ เค้นท์ จากนั้นก็ถ่ายภาพให้กับเหล่าบรรดาลูกหลานข้าราชบริพาร
ต่อมาสมเด็จได้ทรงให้เขามาถ่ายภาพให้กับ เจ้าฟ้าชาย
ชารลส์ และ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์  ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ซึ่งทั้งสองมีนิสัยที่เข้ากันได้ด้วยดี ในเรื่องของความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี  อีกทั้งคารมที่คมคายไม่แพ้กัน สูบบุหรี่จัดเท่าๆ กัน  ที่สำคัญทั้งคู่โปรดปรานการดูหนังโป๊เป็นชีวิตจิตใจ..

ส่วนประวัติของฝ่ายชาย ตั้งแต่เล็กๆ นั้นชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของเด็กหญิง เมื่อครั้งที่มีมารดาเลี้ยงเป็นดารา เขาเคยแต่งกายในชุดสาวใชและออกไปเสริฟอาหารมื้อค่ำให้กับพ่อและปู่
ขนาดสองปีก่อนการหมั้น..เขาเคยไปปรากฏตัวในงานกระเทยโดยแต่งกายเป็นหญิง

เท่านั้นไม่พอ..ขนาดในยามที่เขากำลังเดทกับเจ้าฟ้าหญิง เขาได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่ามหาดเล็กโดยปรากฏตัวเป็นหญิง
ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกลับเห็นเป็นเรื่องขำ ทรงสรวลออกมาก๊ากใหญ่ ที่ได้เห็นช่วงขาของเขาที่โผล่ออกมาจากกระโปรงพลีทสีแดงเข้ม (ของพระองค์)

มหาดเล็กคนนั้นคือ นาย เดวิด จอห์น เพย์น หรือที่ถูกเรียกว่า จอห์น ที่ได้นำมาเขียนในหนังสือและถูกควีนมัมฟ้องร้องให้ระงับการจำหน่าย  ซึ่งนายเดวิดไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ขายในอังกฤษไม่ได้ ก็นำมาพิมพ์ขายในฝรั่งเศส (France Dimanche)

เขาได้ลาออกจากการเป็นมหาดเล็กก่อนพิธีอภิเษกเพียงไม่กี่วัน ข้อความตอนหนึ่ง เขาเล่าว่า
...ขณะที่ผมได้ถวายงานช่วยคัดเลือกแผ่นเสียงอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าฟ้าหญิงนั้น ผมได้ลุกขึ้นก่อน ส่วนเจ้าฟ้าหญิงยังทรงประทับอยู่ที่พื้นที่มีโซฟาบังพระองค์อยู่
โทนี่ได้เดินเข้ามา เห็นผมเข้า จึงเรียกเชื้อเชิญด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า
"จอห์น..แหม..กำลังตามหาอยู่ทีเดียว มานั่งคุยกันก่อนซิ
ที่รัก"
หัวใจผมแทบหยุดเต้น เพราะโทนี่ไม่สังเกตเห็นว่าเจ้านายท่านนั่งอยู่บนพื้นข้างหลัง และทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียงที่ทรงลุกขึ้นมากราดเกรี้ยวว่า..
"หนอย..จอห์น มานั่งซิที่รัก หมายความว่าไงยะ เธอกำลังเรียกใครหา..ฮืม"
โทนี่เริ่มอึกอัก และรีบเปลี่ยนท่าทีแทบไม่ทัน..เขาแก้ตัวว่า
"โถ..มาดามคะ..กระผมไม่ทราบเลยว่าทรงอยู่ที่นั่น กระผมกำลังตามหาจอห์นพอดีเลยค่ะ"
"แล้วไอ้ ที่รัก น่ะ มันหมายความว่าไงล่ะ?"
"เป็นคำเรียกกันเองแบบธรรมดาของพวกนักแสดงละครน่ะค่ะ .."
เจ้าฟ้าหญิงไม่ทรงเชื่อนัก แต่หันมาทางผมและทรงตรัสว่า..
"ไปไหนก็ไปเถอะ.."
ผมกลับออกมาจากห้องด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั้งตัวด้วยความตกใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:44

 เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงนึกสนุกอะไรก็ไม่ทราบกับการมีคู่รักที่มีอาการแปลกๆ เท่านั้นไม่พอ พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นมาแต่งองค์เป็นชาย
คือใส่สูท ผูกไท หรือไม่ก็ชุดแท็กซิโด โพสต์ท่าถ่ายรูปกันอย่างเอิกเกริก  ส่วนฝ่ายชายก็แต่งกายเป็นเด็กบ้าง สาวบ้าง แล้วแต่อารมณ์จะพาไป
สถานะทางสังคมของเขาตามที่มีมารดาเป็นเคาน์เตสส์ ทำให้พอจะอิงได้ว่ามีอันดับขึ้นทำเนียบกับเขาบ้างตามสายตาของคนภายนอก  
หากแต่ชาวไฮโซจริงๆ แล้ว กลับมองเขาเป็นเหมือนกับใส้เดือนกิ้งกือ

สองสามอาทิตย์ก่อนการอภิเษก นายโทนี่ได้ส่งชื่อของเพื่อน คือ Jeremy Fry ที่จะมาเพื่อนเจ้าบ่าวให้กับกรมวังฝ่ายพิธีการ
ทันทีที่ชื่อนี้ได้ปรากฏขึ้นมา เล่นเอาฝูงเสนาบดีแตกฮือ เพราะว่า เพื่อนที่เขาเลือกมานั้น เป็นคนที่แต่งงานแล้ว แต่เคยมีประวัติฉาวโฉ่ในเรื่องของการเป็นตุ๊ดไปเที่ยวตุ๋ยชาวบ้านเมื่อแปดปีที่แล้ว
เป็นอันว่า..ทางรายนายคนนี้ เป็นอันว่า ไม่ผ่าน..
เขาจึงต้องไปคัดสรรมาใหม่ คราวนี้ได้มาคือ นาย Thorpe แต่สก๊อตแลนด์ยาร์ดรีบส่งรายงานเบรคกันตัวโก่ง..โดยสาวประวัติมาว่า นาย Thorpe นั้น คืออดีตชาวสีม่วงเช่นเดียวกัน

ในที่สุด เจ้าชายฟิลิปต้องทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามา โดยจัดการหาเพื่อนเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์ศรีมาช่วยประดับบารมีให้ เขาคือ Dr. Roger Gilliatt ผู้ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคือ บุตรชายของแพทย์ประจำพระองค์ฯ
ซึ่งคุณหมอกิลเลียตเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเจ้าบ่าวเลย เคยพบกันเพียงสองสามครั้งเท่านั้น

บัตรเชิญในงานอภิเษกครั้งนี้ได้จั่วหัวที่อ่านแล้วค่อนข้างสับสนว่า..
ท่านอภิเสนาบดีในพระราชชนนี (ควีนมัม) ได้รับสนองพระบัญชาจากพระองค์ ในการขอเรียนเชิญ.....
และบัตรเชิญนี้ได้ออกมาถึงสองพันใบ..แต่จะเชิญใครบ้างนั้น รายชื่อถูกปิดเป็นความลับ
เนื่องจากทางพระราชวังเกรงว่าเหล่านักข่าวจะไปขุดคุ้ยประวัติของบรรดาแขกเหรื่อ ว่า มีใครที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้วบ้าง..
เพราะที่แน่ๆ คือ ทั้งบิดาและมารดาของเจ้าบ่าว ต่างถือว่ามีตำหนิทั้งคู่ ทางบิดานั่น ก็หย่ามาถึงสองครั้ง..

ญาติที่ใกล้ชิดทางสายเลือดของเจ้าสาวที่ไม่ได้รับเชิญ  ก็คือ ท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ และหม่อมภริยา..
หม่อมวอลลิส..มองเห็นเป็นเรื่องขำขัน เธอได้บอกว่า..
"อ้าว..งั้นฉันกับนายโจนส์ก็พอสูสีกันละซิ"
(เพราะหย่ามาสองครั้งเหมือนกัน)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 11:47


ในพิธีอภิเษกที่ได้เล่าไว้แล้วว่าสุดเลิศหรูอลังการ์ตามสไตล์เจ้าหญิงแห่งเครือจักรภพ ที่ต้องมีทั้งมงกุฏเพชรและราชรถเทียมม้า..
มลังมเลือง
เจ้าฟ้าชายชารลส์องค์น้อยได้ทรงชุดเต็มยศของชาวสก๊อต น่ารักน่าเอ็นดู
แต่ชาวสก๊อตยังค่อนขอดว่า ไม่เข้าท่า และยังไม่ใช่ชุดเต็มยศจริงๆ

ต่อมาหลังจากพิธีอภิเษกแล้ว โทนี่หรือ ลอร์ดสโนว์ดอนได้ไปเยือนสก๊อตแลนด์ในชุดกางเกง ไม่ได้แต่งชุดกระโปรงสก๊อตตามแบบแผน เล่นเอาพวกผู้ดีชาวสก๊อตถึงกับเหล่กันจนตาคว่ำ ความขัดเคืองในเรื่องเก่าๆ ครั้งที่สมเด็จเสด็จไปรับมงกุฏยังไม่ทันหาย..

หลังจากพิธีอภิษกสมรสได้ผ่านไป ทางสำนักพระราชวังได้เพิ่มเบี้ยหวัดให้กับเจ้าฟ้าหญิง จาก 18,000 ปอนด์ มาเป็น 45,000 ปอนด์
สี่สิบสี่วันของการฮันนีมูนโดยเรือยอชพระที่นั่งบริแทนเนียนั้นได้เปลืองงบประมาณไปถึง วันละ 30,000 ปอนด์
พระตำหนักห้องหอที่ประทับที่ต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ ก็ใช้ไปกว่า 180,000 ปอนด์
ค่าใช้จ่ายในพิธีก็ปาเข้าไปอีก 78,000 ปอนด์

เมื่องบบานปลาย..สมเด็จพระราชินี..เริ่มอึดอัดพระทัย..แต่ควีนมัมได้รีบตัดบทว่า.
"มา...จะช่วยจ่ายให้ อย่าขี้เหนียวนักเลย อยากให้ประชาชนเขาว่านักเหรอว่า งานอภิเษกอะไรกัน..อะไรกระจอกสิ้นดี"

พระองค์ก็เลยต้องใช้วิธีนิ่ง เพราะว่าในยามนั้น..ดูเหมือนว่าจะไม่ทรงมีพรรคพวกเลย ใครต่อใครต่างพากันตื่นเต้นต่องานสำคัญครั้งนี้
เพราะเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร๊ต พระขนิษฐาทรงมีพระสิริโฉมสมดังกับเจ้าหญิงในจินตนาการของชาวโลกจริงๆ
และงานอภิเษกเล่าก็งดงามราวกับเนื้อเรื่องในเทพนิยาย..

แต่ใครเล่าจะรู้ว่า..จุดเริ่มต้นของความยุ่งยากทั้งหลายในราชวงค์วินด์เซอร์กำลังจะเริ่มตั้งเค้าในกาลต่อมา...


งานใหญ่ต่อมาคือการเยี่ยมเยือนของอาคันตุกะจากสหรัฐอเมริกา ท่านประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ และท่านผู้หญิง จ๊าคเกอลีน
ซึ่งก่อนเดินทางมายังอังกฤษ ท่านผู้หญิงต้องเอามือกุมขมับในเรื่องระเบียบแบบแผนที่ตึงเปรี๊ยะของฝ่ายราชสำนัก
เพราะแปลนในงานพระราชทานเลี้ยงรับรอง คืนวันที่ 5 มิถุนายน 1961นั้น รายชื่อของแขกในส่วนของเคนเนดี้ที่ส่งไป
ปรากฏว่า น้องสาวแท้ๆ และน้องเขยของท่านผู้หญิงได้ถูกขีดฆ่าออกโดยฝ่ายพิธีการของสำนักพระราชวัง..
สาเหตุคือ Lee Radziwill หรือที่พวกเราอาจเคยเห็นในหนังสือบางเล่มเรียกว่า เจ้าหญิง ลี เรดซิวิลล์ เพราะว่า สามีของเธอคือ
เจ้าชาย สตานิสลาส เรดซิวิลล์เป็นเจ้าชายลี้ภัย (นาซี) จากโปแลนด์ มาและขอเปลี่ยนเป็นสัญชาติอังกฤษ
ทั้งคู่ได้ผ่านการหย่าร้างกันมาอย่างช่ำชอง  ของเธอหนึ่งครั้ง ของเขาสองครั้ง..

แต่สาเหตุที่ปธน. เคนเนดี้และท่านผู้หญิงมาเยือนลอนดอนครั้งนี้ เพราะว่าจะต้องมาร่วมในพิธีล้างบาปของหลานสาว (ธิดาของลีและเจ้าชาย)  โดยที่ท่านปธน.จะรับเป็นพ่อทูนหัว
ทางสำนักพระราชวังเลยถือเป็นโอกาสทอง เชิญขึ้นร่วมโต๊ะเสวยเสียในคราวเดียวกัน เพราะ อเมริกาก็ถือว่าเป็นมหามิตรกับอังกฤษ
แต่เรื่องการที่ไม่เชิญน้องสาวของท่านผู้หญิงนั้น..เป็นเรื่องสุดที่จะทน..
เสียงโทรศัพท์ข้ามทวีปดังระงมระหว่างอังกฤษอเมริกา ฝ่ายโปรโตคอล วิ่งกันวุ่น..

ทางท่านผู้หญิงเคยคิดว่า น้องสาว (มเหสีของเจ้าชาย) ของตัวเองนั้นเจ๋งสุด แถมยังมีการเสนอไปว่า ตัวเองอยากจะมีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต
ส่วนท่านปธน. อยากจะเข้าเฝ้า เจ้าหญิงมารีน่า แห่ง เค้นท์ เพราะเคยเป็นศิษย์เก่าจากออกซ์ฟอร์ดด้วยกัน
สมเด็จฯ..ทรงเมินในข้อเสนอเชิงเรียกร้องทั้งหมด  แถม..ที่เจ๋งสุด คือ รายชื่อของน้องสาวและน้องเขย..ถูกสลัดออกไปอย่างไม่ใยดี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 03 มี.ค. 06, 12:06

 ท่านผู้หญิงได้โทรไปยังสถานทูตอเมริกาในอังกฤษให้ดำเนินเรื่องนี้โดยด่วน..ซึ่งทางอังกฤษได้รายงานให้ทราบถึงระเบียบแบบเเผนในเรื่องการหย่าร้าง
ซึ่ง..จ๊าคเกอลีนได้พ้อว่า
"แต่เขาคือน้องสาวแท้ๆ ของฉันนะ"

ทางสำนักพระราชวังได้บอกต่อไปว่า..มีทางแก้ใขคือถ้าคนทั้งสองอยู่ในรายชื่อของคณะรัฐบาลที่เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ก็อาจมีข้อยกเว้น
ซึ่งเธอได้รีบโทรติดต่อไปยังท่านปธน.ถึงในทำเนียบทันที ..
คำตอบจากสามีได้ตอบกลับมาว่า

"งั้นก็อย่าไปยุ่งเลย งานเลี้ยงนี้สมเด็จพระราชินีเป็นเจ้าภาพ  พระองค์ทรงเห็นสมควรจะเชิญใครก็เป็นเรื่องของท่าน "

ในที่สุด จากที่ทางฝ่ายการทูตของสองประเทศต้องวิ่งติดต่อกันอย่างหูดับตับไหม้นั้น..สมเด็จฯก็ทรงอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาเป็นแขกได้
อีกทั้งยังให้เกียรติลิสต์รายชื่อในกลุ่มของเจ้านายว่าเป็น "เจ้าหญิง" และ"เจ้าชาย" ด้วย.. เล่นเอาสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น.. (แต่หารู้ไม่..)

ที่ว่าสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น เพราะ ในฐานะเจ้าชายลี้ภัยจากประเทศเล็กๆ เมื่อมาอยู่ในอังกฤษ..ก็จะต้องทิ้งยศที่มีมาแต่ครั้งเก่าจนหมด
จะเหลือคำนำหน้าว่า เป็น นาย เท่านั้น.. (ผู้ที่จะมีสิทธิใช้ความเป็นเจ้าได้ คือราชวงค์วินด์เซอร์ เท่านั้น)
แต่..สตานิสลาส เรดซิวิลล์ ยังมักใช้คำนำหน้าตัวเองว่า เจ้าชายเสมอๆ จนเป็นที่ขวางพระกรรณ ขวางพระเนตร ออกบ่อยๆ
ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องหย่าที่อ้างมานั้น ไม่ใช่สาเหตุใหญ่ในการที่ไม่ทรงเชิญแต่ทีแรก
เมื่อได้เข้ามาร่วมโต๊ะเสวยเข้าจริงๆ สมเด็จทรงตรัสสนทนากับสามีภริยาคู่นี้ ด้วยคำนำหน้าที่ทรงเรียกคือ มิสเตอร์ และ มิสซิส ในทุกประโยค..
ซึ่งทุกคนที่ได้ฟัง ถือว่า นี่คือการ"เฉือนคม"อย่างมีชั้นเชิงระดับยอดวิทยายุทธที่แท้จริง...

ภาพนี้คือลีและจ๊าคเกอลีนในวัยสาวค่ะ  
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 19 คำสั่ง