|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:38
|
|
เมื่อยามที่เสด็จกลับโดยเรือพระที่นั่ง บริแทนเนีย..ประชาชนได้เฝ้ารอรับเสด็จเต็มสองฝั่งของแม่น้ำเทมส์ เสียงโห่ร้องรับอย่างอื้ออึงเมื่อทุกคนได้เห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ประทานอย่างช้าๆ.. ประชาชนทุกคนได้ประจักษ์ว่า พระราชินีพระองค์นี้ได้มุ่งมั่นทรงงานอย่างหนักเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระบิดา และด้วยพระกิริยาที่ต่างกับพระมารดาในทุกประการ เพราะ ควีนมัมนั้น ทรงฉาบไปด้วยความอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ดังที่มีคำเปรียบเทียบว่า เหมือนเหล็กวิลาสที่หุ้มไปด้วยขนมน้ำตาลนุ่ม.. แต่ที่ทั้งสองเหมือนกันมาก นั่นคือ การที่มีกำลังใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มสติกำลังจากคู่คิดคู่เคียง สมเด็จเคยกล่าวไว้กับพระสหายสนิทว่า "ถ้าไม่ได้ฟิลิปคอยช่วยเหลือละก้อ..ฉันคงแย่.."
ความสัมพันธ์ในครอบครัวของสมเด็จพระราชินีดังที่ได้เล่ามาแล้วว่า ค่อนข้างห่างหาย และห่างเหินในวัยเยาว์ และตั้งแต่มีพระชนมายุได้สิบชันษา พระองค์ก็ได้แต่รับฟังในเรื่องที่จะต้องมาครองบัลลังค์ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดข้างหน้า เพียงแต่พระองค์ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้ เพียงพระชนมายุที่เพิ่งย่างเข้ายี่สิบหกชันษา และเพิ่งจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองหมาดซึ่งก่อนที่จะมาครองบัลลังค์ พระองค์ได้ทรงเตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นแม่บ้านที่น่ารักของพระสวามี และ พระมารดาที่ดีแก่พระโอรสและพระธิดา พระองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า อยากจะมีลูกสี่คน และเป็นแม่บ้านเต็มตัว แต่เมื่อมีพระโอรสเข้าจริงๆ หน้าที่ของภริยาและแม่ของพระองค์ไม่ค่อยจะสัมพันธกันนัก พระองค์จึงเลือกหน้าที่ภริยา..เป็นอันดับแรก เพราะพระสวามีต้องมาก่อนใครเพื่อน และได้ตรัสแก้เกี้ยวว่า.."ฉันเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ใช่ต้องมาทำหน้าที่นางพยาบาลไปด้วย.."
พระองค์จากพระโอรสไปประทับอยู่ที่มอลต้า....ไม่มาร่วมในงานวันเกิดปีแรกของเจ้าชายชารลส์ ปล่อยให้พระโอรสอยู่ในความดูแลของพระอัยยิกาและพระมาตาหัยยิกา (ทวด คือ พระนางแมรี่) พระองค์ไม่ได้มีโอกาสทอดพระเนตรการย่างพระบาทได้ในก้าวแรกของพระโอรส รวมทั้ง..ไม่ได้ยินว่า คำแรกที่ทรงตรัสออกมาได้นั้นคือ "Nana" อันหมายถึงพระพี่เลี้ยง (nanny) แทนที่จะเป็น "Mama" ดังเช่นเด็กอื่นๆ
ซึ่งความจริงสำหรับสมเด็จเองพระองค์ก็ไม่ได้เห็นว่าจะผิดอะไรที่ตรงไหน เพราะพระองค์ก็ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเดียวกัน นั่นคือ ควีนมัม และพระเจ้ายอร์จที่หก ก็ได้เสด็จประพาสออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นเวลานานถึงหกเดือน ในขณะที่พระองค์ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระพี่เลี้ยงเช่นกัน แม้แต่พระธิดา...เจ้าหญิงแอนน์ ที่เพิ่งมีพระชนมายุได้สามเดือน ก็ถูกทิ้งให้เลี้ยงโดยพระพี่เลี้ยงในขณะที่สมเด็จได้ทรงเสด็จต่างประเทศกับพระสวามี หรือยามที่เจ้าหญิงแอนน์ทรงพระประชวร ต้องไปนอนที่โรงพยาบาลนั้น พระพี่เลี้ยงก็ต้องไปนอนเฝ้า ส่วนพระมารดากลับบรรทมหลับสบายที่พระราชวังวินด์เซอร์ หรือในยามที่เจ้าชายชารลส์ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดด่วนด้วยอาการใส้ติ่งอักเสบกลางดึก สมเด็จพระมารดาก็มิได้เสด็จไปด้วยแต่อย่างใด
ประชาชนเริ่มจับตามองอย่างไม่ชอบใจนัก.. นายจอห์น กอร์ดอน แห่งหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซเพรส ได้เขียนไว้ว่า.. "พวกเจ้าพวกนายนั้นมีลูกเหมือนมีคอกปสุสัตว์ เลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ ตามมีตามเกิด"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 04:32
|
|
อ้าว กว่าจะรู้ตัวก็เช้าซะแล้ว
ไม่ได้เข้ามานาน อ่านเพลินตั้งแต่กระทู้ที่แล้ว รวดเดียวเลย ผู้เขียนเขียนได้น่าติดตาม มั่กๆครับ(ขอใช้ภาษาอินเตอร์เนตหน่อย) เล่าเรื่องที่มีตัวเอกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างแนบเนียน ไร้ร่องรอย ขอบคุณครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:34
|
|
ในปี 1956 นั่นเอง ที่การขัดแย้งหลายๆ ประการของการศึกษาของพระโอรส ที่ท่านดยุคต้องมาต่อสู้กับความเห็นนานาประการของเหล่ากรมวัง รวมทั้งกับสมเด็จฯที่แทบไม่มีเวลาได้คุยกัน เพราะเรื่องงานราชการทั้งหลาย เหล่าเสนาบดีเท่านั้นที่ร่วมในการประชุม ท่านดยุคพระสวามี ไม่มีส่วนร่วมใดๆ อีกทั้งความสัมพันธระหว่างท่านดยุคกับเหล่ากรมวังเสนาบดีนั้นเข้าขั้นไม้เบื่อไม้เมา.. พวกเขาได้นิยามพระสวามีไว้ว่า.. "นิสัยเยอรมันแท้ๆ ถ่อย ชั้นต่ำ ลามก สมกับเป็นพวกเลือดเนื้อเมาท์แบตเทนแท้ๆ เชียว"
สาเหตุที่พวกเขาลงความเห็นเช่นนั้น เพราะ ท่านลุง ลอร์ด เมาท์แบตเทน ครั้งหนึ่งได้ถ่ายภาพคู่กับ แครี่ แกร้นท์ (Cary Grant ดาราฮอลลีวู๊ดชื่อดัง) พร้อมกับเหล่านางระบำในลาส เวกัส นางระบำพวกนั้นมีพัดขนนกฟู่ฟ่าปิดข้างบนและข้างล่างอยู่ ในการถ่ายด้านหน้า และภาพที่สองต่อไป คือ สองชายและนางระบำเหล่านั้น ต่างหันหลังให้กล้อง คราวนี้ไม่มีพัดขนนกปิด จึงเห็น บรรดาก้นกอยอันเปลือยเปล่าของพวกหล่อนออกมาโล่งโจ้ง.. ท่านลอร์ดเห็นภาพนี้เป็นเรื่องสุดขำขัน โปรดปรานถึงขนาดนำไปติดในเรือยอช ตรงเส้นทางที่ใครต่อใครขึ้นไปก็ต้องพบ รวมทั้งสมเด็จพระราชินี ถึงมีคนเตือนก็ไม่ยอมปลดลง.. พวกเสนาบดี เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดที่จะต่ำช้า..ถือโอกาสด่าไปถึงเชื้อชาติเข้านั่น..
เจ้าชายพระสวามีทรงเกิดความเหนื่อยหน่ายพระทัยอย่างถึงที่สุด พระองค์เริ่มใช้เวลาอยู่กับพระสหายมากขึ้น โดยเฉพาะ กับ นาย ริชาร์ด ทอดด์, นาย แจ๊ค เฮดลีย์ สองดารานักแสดงที่มีอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงลอนดอน ที่ถือเป็นที่พาดาราสาวๆ มาร่วมเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ เจ้าชายฟิลิปได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมสนุกสนานนี้ด้วยบ่อยๆ ถึงกับทรงตั้งชื่อกลุ่มไว้ว่า.. "The Three Cocketeers" เลียนแบบเลียนชื่อของสามอัศวิน The Three Musketeers (แต่..ช่างคิดนะคะ ชื่อ The Three Cocketeers นี้ จะแปลว่า สามหนุ่มคึกคะนอง สามพ่อไก่แจ้ หรือจะแปลว่า สามจู๋อัศวิน ก็ยังได้ แล้วแต่อารมณ์ไหนจะพาไป...วิวันดา)
นาย แจ๊ค เฮดลี่ย์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ในปี 1993 ว่า.. "เรื่องในอพาร์ทเม้นต์น่ะเหรอ พูดม่ะต้ายยย...เป็นเรื่องลับเฉพาะ แหม...เรื่องตั้งสี่สิบกว่าปีมาแล้วมาถามทำไมกัน"
นอกจากนั้น เจ้าชายฟิลิปยังทรงใช้ที่พักขององค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่ถนน South Street ซึ่งที่นี่คือที่สำราญโดยแท้ มีการจัดปาร์ตี้ระดับไฮโซบ่อยๆ อริสโตเติ้ล โอนาซิส และนางบำเรอนักร้องโอเปร่าชื่อก้องโลกมาเรีย คัลลัส ก็เคยบินมาร่วมในงาน หรือ เจ้าชาย เบอร์นารด์ (Prince Bernhard) พระสวามีของ พระนางจูเลียน่า แห่ง เนเธอแลนด์ ก็เคยเสด็จมาร่วมสังสรร นาย แลร์รี่ แอดเล่อร์ ได้เล่าให้ฟังถึงครั้งนั้นว่า.. "ตอนที่เจ้าชายเบอร์นารด์เสด็จมาร่วมนั้น ทำให้พวกเราได้รู้สึกถึงความไม่สบายพระทัยในการเป็นพระสวามีอย่างมาก เพราะ ท่านดยุคได้สัพยอกทีเล่นทีจริงกับเจ้าชายเบอร์นารด์ว่า "แหม ฉันละอิจฉาเธอจริง ไปไหนก็ได้ไม่มีใครรู้จัก จะมีแฟนกี่คนก็ได้อีกต่างหาก ไม่มีตำรวจหรือนักข่าวคอยมาสาระแน" ตอนที่เจ้าชายจะต้องเสด็จกลับ ก่อนที่สนามบินจะปิด ท่านดยุครีบลุกขึ้นทำท่าถวายความเคารพแบบล้อๆ และตรัสว่า... "ฝากไปถวายบังคมพระราชินี (จูเลียน่า) ด้วยนะ .." จากนั้นในฐานะเจ้าชายพระสวามีด้วยกันทั้งคู่ ก็มีการกล่าวแลกผรุสวาทกันสองสามคำก่อนการอำลา...ตามประสาเกลอเก่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|