เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 37162 ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ (2)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 28 ก.พ. 06, 07:42

 ต่อจากกระทู้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=46045&PHPSESSID=0e6f65fb5008866c85cf0111b133cbe3
แล้วย้อนกลับมา ติดตามสำนวนแซ่บๆของคุณวิวันดา ต่อได้ที่นี่ค่ะ
*********************
งานนี้..ชาวสก๊อตทุกคนแสดงอาการผิดหวังและพากันแอบตำหนิอย่างไม่ขาดสาย เพราะเหมือนกับเป็นการไม่ให้เกียรติกัน
พวกกรมวังเสนาบดีต่างต้องวิ่งแก้ขอโทษขอโพยและปิดข่าวกันอย่างวุ่นวาย
ทั้งๆที่พวกเขาต่างก็มีงานล้นมือในตอนนั้น
ไหนจะต้องกำกับทางด้านเจ้าชายพระสวามีในเรื่องการตรัสอย่างโผงผางของพระองค์ ไหนจะต้องดูแลสมเด็จพระราชินี
ไหนจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต กับ กัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ อดีตนักบินผู้กล้าหาญในยุทธภูมิน่านฟ้าบริเตนในสงครามโลกที่ผ่านมานั่นอีกเล่า..

หลังจากปลดประจำการ ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดเป็นองค์รักษ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้ายอร์จที่หก และเป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของทุกคนที่ได้พบเห็น นอกเหนือไปจากการที่มีหน้าตาหล่อเหลาแล้ว..ความเป็นวีรบุรุษนักบินเสี่ยงตายของเขานั้นได้สร้างรัศมีให้เจิดจ้าขึ้นไปอีก

ปีเตอร์ได้มักคุ้นกับเจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กมาตั้งแต่เมื่อทรงมีพระชนมายุได้เพียงสิบห้าชันษา และได้ถูกจองตัวให้เป็นคู่เต้นรำของพระองค์เสมอๆ

รวมไปถึงการนำเสด็จไปยังงานต่างๆ จนเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงเริ่มเป็นสาวสะพรั่ง มีพระชนมายุได้ 21 ชันษา
พระองค์ก็พบว่า..ทรงตกหลุมรักปีเตอร์คนนี้อย่างหมดพระทัย และ
ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะบอกความนัยให้เขาทราบ..
แต่ปีเตอร์ยังคงทำแชเชือน เพราะ..เขาคือชายที่มีเจ้าของแล้ว..
เจ้าฟ้าหญิงก็หาได้ลดละไม่..ยามที่เขาจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว..พระองค์ทรงขวางกั้นโดยการออกคำสั่งให้อยู่เป็นเพื่อนบ้าง
หรือไม่ก็ ต้องให้ตามเสด็จออกงาน
จนในที่สุด..เขาต้องหย่ากับภรรยา..เพราะเธอได้ทิ้งไปมีชู้ เขาได้เป็นผู้ดูแลลูกทั้งสองคน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 28 ก.พ. 06, 07:44

 "การหย่าร้าง" นี่คือสิ่งที่เลวร้ายกว่าอะไรทั้งหมดในความเชื่อถือของคนในราชสำนักยุคนั้น..
นับตั้งแต่ ปี 1936 ที่นางซิมปสันได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อราชวงค์วินด์เซอร์ คำว่า หย่าร้าง นั้น ถือว่าเป็นอัปมงคลอย่างที่สุด จนได้มีกฏระเบียบวังออกมาว่า..
ใครก็ตาม..ที่ได้มีการหย่าร้าง..ไม่มีสิทธิได้เข้าในพระราชวัง และไม่มีสิทธิได้เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์
ทุกครั้งที่มีพระราชพิธี..ฝ่ายกรมวัง ต้องทำหน้าที่สอบสืบกันอย่างละเอียดยิบว่า..เบื้องหลังใครเป็นอย่างไร
ขนาด ลอเร้นซ์ โอลิวิเยร์ นักแสดงชื่อก้องฟ้าชาวอังกฤษยังโดนการงดบัตรเชิญด้วย เพราะเนื่องจากการหย่าร้าง..
ฉะนั้น..ในปี 1953 ที่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต..ลำดับสามในการสืบสันตติวงค์ได้ทรงหลงรักชายที่ผ่านการหย่าร้างอย่างปีเตอร์..แถมยังเป็นคนธรรมดาสามัญ
วงการอังกฤษเป็นช๊อค..
และยิ่งฝ่ายชายได้สารภาพกับท่านเสนาบดี ราชเลขาส่วนพระองค์ ท่านลอร์ด อลัน ลาเซลเลส ว่า ตัวเองก็หลงรักในเจ้าฟ้าหญิงเช่นกัน
ทางฝ่ายเสนาบดีถึงกับสติกระเจิง...รีบรายงานไปยังท่านายกเชอร์ชิลล์ พร้อมทั้งว่า
"จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว.."
ท่านนายกเองก็โวยไม่แพ้กัน ท่านว่า
"ต้องหาทางแยกกันให้เร็วที่สุด จำหน่ายกัปตันทาวน์เซนด์ออกไปด่วน.."
ไม่ทันขาดคำ..คำสั่งก็พิมพ์รัวอย่างเร็วด่วนว่า..
กัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ต้องมีภาระกิจออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กรุงบรัสเซลในฐานะผู้ช่วยทูตทหารอากาศ..
การที่ฝ่ายรัฐบาลต้องทำเช่นนี้เพราะ เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม และเป็นการซื้อเวลาทำใจ
เนื่องจากตามกฏหมายแล้ว เจ้าฟ้าหญิงสามารถที่จะทรงอภิเษกโดยที่ไม่ต้องขอพระบรมราชานุญาตเมื่อมีพระชนมายุครบ 25 ชันษาบริบูรณ์

สำหรับปีเตอร์..แผนงานที่เขากำลังจะได้ตามเสด็จควีนมัมและเจ้าหญิงในดวงใจประพาสต่างประเทศก็ต้องเป็นอันว่าพับฐานไป
ระยะการเตรียมตัวในการเดินทางนั้นก็กระชั้นเสียจน เขาแทบไม่มีเวลาส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำที่เค้นท์..
ทันที่ที่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงขึ้นไปเอ็ดอึงกับสมเด็จพระราชินีอย่างไม่เกรงพระทัย
และขอให้พระองค์ได้ยกเลิกคำสั่งนั่น..ซึ่ง ไม่มีผลใดๆ พระเชษฐภคินีทรงปฏิเสธการช่วยเหลือทั้งหมด
ทำให้เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงออกพระอาการกริ้วถึงขนาดขังพระองค์เองอยู่ในห้องถึงสามวัน  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 28 ก.พ. 06, 07:45

 เจ้าฟ้าหญิงทรงใช้ยานอนหลับช่วยระงับความเสียพระทัยในตลอดสามวันนั้น พอยามที่ตื่นขึ้นมา พระองค์ได้ทรงกระหน่ำคีย์เปียโนแบบแสดงพระอารมณ์อย่างดุดัน
ซึ่งพระองค์ได้เล่าประทานให้กับคริสโตเฟอร์ วาริค นักเขียนชีวประวัติ (ของพระองค์) ในหลายปีต่อมาว่า..
"ฉันใช้อารมณ์แห่งความสูญเสียมาใช้กับเปียโนได้ดีเท่าๆกับการบรรเลงเชียวนะ...เพราะรู้ดีว่าความรักของเรานั้น..ไม่มีทางลงเอย เพราะมันเป็นไปไม่ได้"

เรื่องที่คิดจะหวังพึ่งพระมารดานั้น..หมดสิทธิ เพราะเมื่อเกิดการหน้าสิ่วหน้าขวานกันนั้น พระองค์ได้ทรงเลี่ยงหาทางออกด้วยการแปรพระราชฐานไปยังพระตำหนักนอกเมืองทันที
ปีเตอร์ได้จากไปยังกรุงบรัสเซลอย่างเงียบๆ หลังจากที่ได้เข้ากราบบังคมทูลลา..สมเด็จฯและท่านดยุค ผู้ที่เขาได้มาเขียนถึงในบันทึกชีวประวัติของเขาเองว่า..
"เมื่อตอนที่เรากำลังจะจากไปในปี 1953 นั้น หลังจากที่ได้เข้าไปบังคมลา..ท่านดยุคมิได้เดินมาส่ง หรือเอ่ยคำอำลาแม้แต่เพียงคำเดียว พระองค์เป็นเยอรมันอย่างแท้จริงจากภายใน
เป็นคนที่หลักแหลมอย่างที่ไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน..และรู้จักการใช้อารมณ์ขันและถ้อยคำเสียดสีเข้ามาแทนการตำหนิใครแบบตรงๆ"
แต่อย่างไรก็ตาม..ทั้งปีเตอร์และเจ้าฟ้าหญิงได้มีการลอบพบกันแบบลับๆสองสามครั้งที่บ้านของพระสหายสนิท.. ก่อนที่จะมีพระชนมายุได้ ยี่สิบห้าชันษา

ปี 1955 สองอาทิตย์หลังจากวันเฉลิมพระชนม์พรรษาผ่านไป เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้เสด็จขึ้นเฝ้าสมเด็จฯถึงบนพระที่นั่ง เพื่อที่จะถามถึงเรื่องของพระองค์และปีเตอร์
และคำตอบก็คือว่า..เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งท่านนายกรัฐมนตรี นาย
แอนโธนี อีเดน (คนใหม่ ต่อจากท่านเชอร์ชิลล์) และ พระสังฆราช ต่อต้านอย่างสุดกำลัง
เจ้าชายฟิลิปรีบช่วยเสริมว่า..
"เพราะว่าพระองค์คือ รัชทายาทอันดับสามในพระราชบัลลังค์"
เจ้าฟ้าหญิงทรงหันมาตวาดแว๊ดว่า..
"ตัวเองไม่ต้องมาเจ๋อ..ฉันนับเองเป็น"

เจ้าชายฟิลิปเลยต้องรีบอ้างการพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ไทม์ ที่มีประเด็นร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า..สถาบันกษัตริย์แห่งอังกฤษกำลังร้อนเป็นไฟ หากว่าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะทรงอภิเษกกับ
ชายที่ผ่านการหย่าร้างมา..อันผิดกฏมณเฑียรบาลซึ่งมีสมเด็จพระราชินีต้องเป็นผู้ดูแลให้ทุกอย่างอยู่ในเงื่อนไข
นอกเสียจากว่า เจ้าฟ้าหญิงจะทรงสละฐานันดร ออกมาเป็นประชาชนคนธรรมดา
สมเด็จฯจึงช่วยเสริมการอธิบายให้กระจ่างว่า..
"ถ้าน้องยังดื้อดึงที่จะแต่งงานกับปีเตอร์ละก้อ..ได้ซิจ๊ะ แต่ต้องออกไปอยู่ที่ต่างประเทศกันนะ และเตรียมตัวกัดก้อนเกลือกินกันได้เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายงบประมาณ เบี้ยหวัดรายปี ทุกอย่างจะงดหมด"
และนั่นคือ คำตอบสุดท้าย ที่เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงซึมซับอย่างแน่นอนว่า ทุกอย่างนั้นได้จบสิ้นสำหรับความรักของพระองค์
ปีเตอร์ได้ตัดสินใจ..ขอเดินไปตามทางของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียมาถึงสถาบันสูงสุด..
และด้วยเลือดแห่งขัตติยะมานะ...เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงร่างคำประกาศออกอากาศสถานีวิทยุบีบีซี..ว่า
"ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบโดยทั่วกันว่า..ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานกับกัปตัน ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ เพราะเพื่อความถูกต้องแห่งกฏของพระศาสนา
และด้วยภาระหน้าที่ที่ข้าพเจ้ามีต่อสหราชอาณาจักรที่ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด"
ลงพระนามว่า..มาร์กาเร็ต

ภาพ ....ปีเตอร์ ทาวน์เซนด์  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:31

 ท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ได้ข่าวนี้ด้วยความสะใจเล็กๆ และได้ส่งข้อความไปหาดัชเชส หม่อมวอลลิส ว่า
"เห็นม๊ะ...มัน (หมายถึงทั้งสังฆราช และ กรมวัง) ทำสำเร็จอีกแล้ว..มันบังคับให้หลานหญิงให้เดินไปตามทางที่มันวางเส้นไว้จนได้ ดูซิดู..มันก็ทำได้แต่กับพวกเชื่องๆพวกนั้นเท่านั้น กับฉัน..มันไม่มีทางทำได้หรอก เพราะฉันฉลาดกว่ามัน ตอนนี้ไอ้พวกนี้ยิ่งเหิมเกริมกันใหญ่ เดี๋ยวนี้น่ะ พวกมันมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลอีก เธอรู้ไหม?"

ปีเตอร์ได้ไปอยู่ที่กรุงบรัสเซล จากนั้นไม่นานเขาได้ขอลาออกจากชีวิตข้าราชการในกองทัพอากาศ แต่งงานใหม่ในไม่กี่ปีต่อมา ย้ายตัวเองไปอยู่เงียบๆที่ Rambouillet เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
และเขาได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ขอกลับไปเหยียบแผ่นดินอังกฤษอีก

ในหนังสือชีวประวัติของเขาได้เขียนว่า..
"เมื่อตายไป ก็ขอให้โรยเถ้าไว้ในฝรั่งเศสนี่..และหรือถ้าลมจะพัดพาให้มันฟุ้งกระจายไปถึงฝั่งอังกฤษ ก็ช่างมัน เพราะตอนนั้นเราคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว.."

แต่..สามสิบเจ็ดปีต่อมา..เขาออดแอดด้วยโรคมะเร็งในช่องท้อง คำสาบานนั้นได้ถูกเพิกถอนไป เพราะเขาได้กลับไปอังกฤษอีกครั้งและได้ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกับเจ้าฟ้าหญิงในดวงใจเป็นครั้งสุดท้ายที่พระราชวังเคนซิงตัน..
หลังจากนั้น..ปีเตอร์ได้เสียชีวิตในสามปีต่อมา ด้วยอายุ เจ็ดสิบเจ็ดปี..

ขอเล่าขยายนิดหนึ่งว่า ต่อมาไม่นานนักกฏข้อห้ามในเรื่องของคนหย่าร้างในพระราชวังนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อธิบดีกรมวัง ต้องรีบแก้ไขยกเลิกโดยด่วน
เพราะ มิฉะนั้นแล้ว..สมเด็จพระราชินีจะไม่มีโอกาสได้พบกับ พระญาติที่มีการหย่าร้างแทบทุกพระองค์ อย่างเช่น เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต (กับลอร์ด สโนว์ดอน)
เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระธิดา (กับมาร์ค ฟิลลิป)
เจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรส (กับซาร่าห์ เฟอร์กุสัน) และที่สุดของที่สุดคือ เจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมาร (กับเจ้าหญิงไดอะน่า)

ภาพ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:34

 เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว..สมเด็จพระราชินีและเจ้าชายฟิลิปพระสวามีต้องออกเดินทางการเสด็จเยือนอาณาประเทศราชที่ต้องใช้เวลาทั้งหมดถึงหกเดือนด้วยกัน
อันเป็นสิ่งที่ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ไหนในอังกฤษได้ทรงกระทำมาก่อน
อีกทั้งพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ประชาชนภายใต้ร่มธงยูเนี่ยนแจ๊คได้ประจักษ์ทั่วกันว่า
พระองค์ทรงทำหน้าที่ประมุขอย่างเต็มที่ มิใช่สวมไว้แต่หัวโขน
ดังที่ได้ทรงมีพระราชดำรัสในวันคริสต์มาสจากประเทศนิวซีแลนด์ว่า..
"ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะให้พวกท่านได้ทราบว่า..
มหามงกุฏแห่งบริเตนนั้น ไม่ใช่สิ่งอันเป็นเพียงนามสมมุติ หากแต่..เป็นที่รวมใจให้ทั้งข้าพเจ้าและพวกท่านให้เป็นหนึ่งเดียวกัน"
นาย เกวน รอบินส์ นักข่าวพระราชสำนักที่ได้ร่วมทเดินทางไปในครั้งนั้น ได้บันทึกไว้ว่า..
"ทริปนั้น ช่างโหดมหาโหดโดยแท้..ผมเฝ้าติดตามพระองค์แทบทุกวัน ทุกชั่วโมง และขอบอกได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลืออย่างแข็งขันของเจ้าชายฟิลิปพระสวามีแล้วละก้อเห็นทีจะพระราชินีของผมจะไม่รอดเป็นแน่แท้"
จริงอยู่ว่า..สมเด็จทรงเป็นหญิงแกร่งที่หาตัวจับได้ยาก ไม่ว่าจะทรงสามารถประทับยืนตรงได้นานนับชั่วโมงๆ หรือ สามารถทรงม้าแบบประทับข้างได้เป็นระยะทางไกลๆ
แต่เรื่องการที่ต้องทรงมีพระปฏิสันถารกับผู้คนหลากหลาย เนื่องจากความที่ไม่มักคุ้นกับผู้คน..ที่ต้องใช้การสนทนาที่เต้มไปทั้งศาสตร์และศิลปของหัวเรื่องต่างๆนั้นคือปัญหาใหญ่..
แต่อัศวินม้าขาวในคราวนี้คือ เจ้าชายฟิลิป พระสวามี ที่ทรงคล่องไปหมด ไม่ว่าใครจะมารูปไหน..

หรือในบางครั้งที่สมเด็จทรงเหนื่อยอ่อน ล้าจนแทบไม่ไหว  พระสวามีก็ได้ทรงช่วยในการทำเรื่องให้เป็นที่ขบขัน เช่น ยามที่นักข่าวเข้ารุมล้อมที่มอลต้า..เจ้าชายได้ทรงตรัสดังๆว่า..
"มาแล้ว..พวกแร้งลง"
เท่านั้นไม่พอ ยังแกล้งโยนถั่วให้ ประหนึ่งกำลังป้อนนกให้กับกลุ่มนักข่าวอีกต่างหาก
สมเด็จก็ทรงพระสรวลออกมาได้..

ที่ออสเตรเลีย..อากาศร้อนถึงร้อยองศา สมเด็จทรงเพลียต่อการต้อนรับที่ไม่มีวันหยุดหย่อนนั้น พระพักต์เริ่มขมวดมุ่น..
เจ้าชายพระสวามี..ได้แอบเข้ามากระซิบว่า..

"นี่..คุณนายไส้กรอกสุก..มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า.."

ที่นิวซีแลนด์..พวกเด็กๆชาวเมารีได้ทำการแสดงถวาย โดยการกระโดดจากหน้าผาลงน้ำ..แต่สมเด็จไม่ทันหันไปทอดพระเนตร ทรงพระดำเนินลิ่วไปยังรถพระที่นั่ง
เจ้าชายฟิลิปได้รีบเข้าชี้ชวนและตรัสว่า..
"เบธ.. (ย่อมาจากลิลิเบธ) ดูซิ..เด็กๆน่ารักจังนะ"
สมเด็จจึงได้หยุดและทรงหันไปทางนั้น..

ยามที่นักข่าวเข้ามาแน่นประดังเป็นกลุ่ม เจ้าชายฟิลิปจะทรงกางกั้น..และหันไปตะคอกนักข่าวอย่างไม่มีการเกรงใจว่า

"อย่ากลุ้มรุม สมเด็จพระราชินีจะได้มั๊ยยย?"  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:37



   ซึ่งเมื่อเจ้าชายได้ปกป้องสมเด็จมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นที่น่าเบื่อสำหรับคนอื่นมากเท่านั้น..

อย่างในกรณีที่ตอนใต้ของออสเตรเลีย..ที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง

นายกเทศมนตรีชราได้แต่งตัวเต็มยศของชาวท้องถิ่นที่มีเสื้อคลุมประดับประดาไปด้วยขนกระต่าย เข้ามาถวายกล่องของขวัญขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง และเขาพูดว่า



"ในเวลาเดียวกันนี้..ตัวแทนของเราจากสถานทูตในอังกฤษก็กำลังมอบของขวัญแบบเดียวกันนี้ให้กับผู้แทนของพระองค์พระเจ้าค่า"



เจ้าชายฟิลิปอดรนทนไม่ได้ จนต้องแย้งออกไปว่า..

"ไม่ไหวละม้างงง..ท่านนายก เวลาของเราต่างกันตั้งสิบชั่วโมงครึ่ง..ท่าทางท่านทูตของเท่านจะทำงานล่วงเวลา ไม่ขยันไปหน่อยหรือ"



ท่านนายกเทศมนตรีผู้น่าสงสารได้แต่ยืนงกๆเงิ่นๆเพราะไม่รู้ว่าจะพูดจาตอบโต้อย่างไร..

แต่ใครหลายคนในที่นั้น ต่างก็ไม่ลืมความ"พระโอษฐ์เสีย" ของเจ้าชายฟิลิปไปชั่วนานเท่านาน



ส่วนเรื่องการเขียนเรื่องราวการเสด็จประพาสของนักข่าวก็มักประสบปัญหากับกรมวังเสนาบดี ที่พยายามอย่างเหลือเกินที่จะให้ข่าวออกมาให้สมเด็จเลิศเลอเกินมนุษย์ซึ่งออกจะเกินความจริงไป

นักข่าวย่อมต้องมีจรรยาบรรณ และวินิจฉัยในความเห็นอันสมควร

ฉะนั้น เรื่องการงัดข้อจึงมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ...



อย่างเช่นตอนที่เสด็จปาปัว นิวกินี ชาวป่าพื้นเมืองได้มาเต้นระบำถวาย..พวกเขาแต่งชุดกระโปรงที่ถักด้วยหญ้า ช่วงบนลำตัวเปลือยเปล่า มีเครื่องประดับเป็นสร้อยคอที่ห้อยไปด้วยเหรียญโลหะกับกระดูกสัตว์ต่างๆ

สมเด็จฯจังหันไปทางองครักษ์ และตรัสว่า

"พวกเขาน่าจะห้อยเหรียญของเราที่มีรูปฉันนะ..ใครมีเหรียญบ้าง ขอหน่อย"

พวกองครักษ์และนักข่าวที่ตามเสด็จจึงช่วยกันเทกระเป๋าหาเศษเหรียญเพื่อส่งให้กับพระองค์



พอตกค่ำ..พวกองครักษ์คงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ต่างรีบไปเคาะประตูห้องนักข่าวพร้อมทั้งออกคำสั่งว่า..



"ข่าวเรื่องสมเด็จทรงขอเศษเหรียญนี่..เอาไปเขียนไม่ได้นะ"

"ทำไมล่ะ"

"เพราะมันจะทำให้พระองค์ดูยากจนน่ะซิ"

"จะบ้าหรือยังไง..ใครเขาจะคิดอย่างนั้น อย่างสมเด็จพระราชินีใครๆก็ต้องรู้ว่าคงไม่เสด็จไปไหนแล้วพกเศษสตังส์ไปด้วยหรอก"



นักข่าวเถียงได้ แต่เขียนไม่ได้ วันวันได้แต่รอข่าวที่กรองถ้อยคำแล้วจากกรมวังที่จะส่งข้อความเชยๆให้

เช่น..วันนี้ สมเด็จพระราชินีได้ทรงฉลองพระองค์สีเขียวหม่น..เป็นต้น



แต่..กับพวกนักข่าวอเมริกัน..พวกนี้จะเขียนอะไรก็ได้ตามใจเห็นชอบ เพราะใครก็ไปห้ามพวกเขาไม่ได้ แม้กระทั่งเรื่องที่สมเด็จทรงใช้ไวยากรณ์อังกฤษแบบผิดๆทั้งๆที่เป็นเจ้าของภาษาแท้ๆ



เช่น..ที่นิวซีแลนด์ พระองค์ทรงได้ยินเด็กสองคนกำลังเถียงกันว่า ใช่พระองค์ หรือ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต

"I tell you, it's Princess Margaret."

"Is not. Is not. It's the Queen"

เมื่อสมเด็จฯได้ทรงสดับดังนั้น จึงย่อพระองค์ไปตอบว่า...

"No, it's me."



นักข่าวอเมริกันเลยถือเป็นข่าวอันโอชะไป...  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:38

 เมื่อยามที่เสด็จกลับโดยเรือพระที่นั่ง บริแทนเนีย..ประชาชนได้เฝ้ารอรับเสด็จเต็มสองฝั่งของแม่น้ำเทมส์
เสียงโห่ร้องรับอย่างอื้ออึงเมื่อทุกคนได้เห็นพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ประทานอย่างช้าๆ..
ประชาชนทุกคนได้ประจักษ์ว่า พระราชินีพระองค์นี้ได้มุ่งมั่นทรงงานอย่างหนักเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระบิดา และด้วยพระกิริยาที่ต่างกับพระมารดาในทุกประการ เพราะ
ควีนมัมนั้น ทรงฉาบไปด้วยความอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ดังที่มีคำเปรียบเทียบว่า เหมือนเหล็กวิลาสที่หุ้มไปด้วยขนมน้ำตาลนุ่ม..
แต่ที่ทั้งสองเหมือนกันมาก นั่นคือ การที่มีกำลังใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มสติกำลังจากคู่คิดคู่เคียง
สมเด็จเคยกล่าวไว้กับพระสหายสนิทว่า
"ถ้าไม่ได้ฟิลิปคอยช่วยเหลือละก้อ..ฉันคงแย่.."

ความสัมพันธ์ในครอบครัวของสมเด็จพระราชินีดังที่ได้เล่ามาแล้วว่า ค่อนข้างห่างหาย และห่างเหินในวัยเยาว์
และตั้งแต่มีพระชนมายุได้สิบชันษา พระองค์ก็ได้แต่รับฟังในเรื่องที่จะต้องมาครองบัลลังค์ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดข้างหน้า เพียงแต่พระองค์ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้
เพียงพระชนมายุที่เพิ่งย่างเข้ายี่สิบหกชันษา และเพิ่งจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองหมาดซึ่งก่อนที่จะมาครองบัลลังค์
พระองค์ได้ทรงเตรียมตัวพร้อมที่จะเป็นแม่บ้านที่น่ารักของพระสวามี และ พระมารดาที่ดีแก่พระโอรสและพระธิดา พระองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า อยากจะมีลูกสี่คน และเป็นแม่บ้านเต็มตัว
แต่เมื่อมีพระโอรสเข้าจริงๆ หน้าที่ของภริยาและแม่ของพระองค์ไม่ค่อยจะสัมพันธกันนัก พระองค์จึงเลือกหน้าที่ภริยา..เป็นอันดับแรก เพราะพระสวามีต้องมาก่อนใครเพื่อน
และได้ตรัสแก้เกี้ยวว่า.."ฉันเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ใช่ต้องมาทำหน้าที่นางพยาบาลไปด้วย.."

พระองค์จากพระโอรสไปประทับอยู่ที่มอลต้า....ไม่มาร่วมในงานวันเกิดปีแรกของเจ้าชายชารลส์ ปล่อยให้พระโอรสอยู่ในความดูแลของพระอัยยิกาและพระมาตาหัยยิกา (ทวด คือ พระนางแมรี่)
พระองค์ไม่ได้มีโอกาสทอดพระเนตรการย่างพระบาทได้ในก้าวแรกของพระโอรส รวมทั้ง..ไม่ได้ยินว่า คำแรกที่ทรงตรัสออกมาได้นั้นคือ "Nana" อันหมายถึงพระพี่เลี้ยง (nanny) แทนที่จะเป็น
"Mama" ดังเช่นเด็กอื่นๆ

ซึ่งความจริงสำหรับสมเด็จเองพระองค์ก็ไม่ได้เห็นว่าจะผิดอะไรที่ตรงไหน เพราะพระองค์ก็ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเดียวกัน นั่นคือ ควีนมัม และพระเจ้ายอร์จที่หก ก็ได้เสด็จประพาสออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
เป็นเวลานานถึงหกเดือน ในขณะที่พระองค์ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระพี่เลี้ยงเช่นกัน
แม้แต่พระธิดา...เจ้าหญิงแอนน์ ที่เพิ่งมีพระชนมายุได้สามเดือน ก็ถูกทิ้งให้เลี้ยงโดยพระพี่เลี้ยงในขณะที่สมเด็จได้ทรงเสด็จต่างประเทศกับพระสวามี
หรือยามที่เจ้าหญิงแอนน์ทรงพระประชวร ต้องไปนอนที่โรงพยาบาลนั้น พระพี่เลี้ยงก็ต้องไปนอนเฝ้า
ส่วนพระมารดากลับบรรทมหลับสบายที่พระราชวังวินด์เซอร์
หรือในยามที่เจ้าชายชารลส์ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัดด่วนด้วยอาการใส้ติ่งอักเสบกลางดึก สมเด็จพระมารดาก็มิได้เสด็จไปด้วยแต่อย่างใด

ประชาชนเริ่มจับตามองอย่างไม่ชอบใจนัก..
นายจอห์น กอร์ดอน แห่งหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซเพรส ได้เขียนไว้ว่า..
"พวกเจ้าพวกนายนั้นมีลูกเหมือนมีคอกปสุสัตว์ เลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ ตามมีตามเกิด"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:41



   จวบจนที่พระองค์ได้เข้ามาครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีในปี 1952 เข้าจริงๆ คราวนี้เรื่องการดูแลครอบครัวอย่างที่เคยตรัสไว้..เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

และเรื่องที่ทรงเคยคาดหวังไว้ว่าจะมีลูกถึงสี่องค์นั้น ต้องเลื่อนโครงการออกไป เพราะงานของพระองค์ในฐานะพระราชินีย่อมมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด

ดังที่เล่ามาแล้วว่า สมเด็จทรงเป็นคนเจ้าระเบียบ เคร่งครัดมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์นั้น..ในยามที่เป็นพระราชินี พระองค์ได้ทรงเข้มงวด และมุ่งมั่นในภาระและพระราชกิจอย่างเอาจริงเอาจังกว่าครั้งกระโน้น..

ไม่ว่าจะเรื่องคำปราศรัย พระราชหัตถเลขาโต้ตอบ หรือ กล่องแดงรายงานจากรัฐบาล..ที่พระองค์ได้ทรงถือเป็นหน้าที่ที่ต้องใส่พระทัยทรงงานทุกวัน..

แต่ก็มีอดีตเสนาบดี..แอบแย้งว่า

"พระองค์อาจถือเป็นสาเหตที่ไม่ต้องมาปวดพระเศียรกับเรื่องครอบครัวต่างหากกระมัง.."



เพราะในภาพโดยรวมที่ออกมาสู่สายตาประชาชนนั้น ครอบครัว

วินด์เซอร์ ถือว่าเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบสุดๆ มีพระราชินี เจ้าชายพระสวามีที่สง่างาม พระโอรสที่งดงาม พระธิดาที่น่ารัก

ภาพต่างๆเหล่านี้มักปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์เสมอๆ สมเด็จได้ทรงเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาภาพถ่ายนี้มาจากควีนมัม ผู้ซึ่งใช้กลยุทธนี้ชนะใจประชาชนตั้งแต่ครั้งยังเป็นดัชเชส ออฟ ยอร์ค

ที่ได้ออกให้สัมภาษณ์กับนิตยสารถึงเรื่องความอบอุ่นในครอบครัว..และในต่อมาเมื่อเป็นพระราชินี ก็มีการออกหนังสือเกี่ยวกับพระจริยาวัตรของพระองค์และเจ้าหญิงน้อยๆสองพระองค์พี่น้อง

(The family Life of Queen Elizabeth)

และผู้ที่ช่วยสนับสนุนในเรื่องการออกข่าวภ่ายภาพครอบครัวนี้คือ เจ้าชายฟิลิป ที่มักตรัสว่า

"ถ้าอยากให้สถาบันกษัตริย์มั่นคงแล้วละก้อ.สถาบันต้องเป็นครอบครัวตัวอย่างที่สมบูรณ์ด้วยความรักและความอบอุ่นในสายตาของประชาชน"

ถึงแม้ว่า..ภาระและหน้าที่คือตัวเลือกอันดับต้นของสมเด็จ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงทิ้งความเป็นแม่เสียเลยทีเดียว..ดังที่ทรงตรัสกับนายกรัฐมนตรีว่า

"เห็นทีฉันจะต้องให้เวลากับครอบครัวบ้างนะ"

โดยที่พระองค์ทรงเลื่อนเวลาราชการพบกับท่านนายกออกไป เนื่องจาก พระองค์ได้ปฏิรูปเวลาการพบกับพระโอรสและพระธิดาใหม่

คือ เวลาเย็นก่อนที่ทั้งสองจะเข้านอน กับ ให้พี่เลี้ยงนำมาพบที่ห้องพระบรรทมในยามเช้า เก้านาฬิกา ทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง..เพราะ เก้าโมงครึ่งคือเวลาที่สมเด็จเริ่มทรงงาน



เจ้าฟ้าหญิงแอนน์มักโยเยไม่ยอมกลับออกจากห้อง เพราะอยากจะเล่นกับพระมารดา แต่ พระเชษฐา

เจ้าฟ้าชายชารลส์ต้องจูงออกไป และสอนน้องว่า

"อย่ากวนพระทัยเลยน่ะ แม่กำลังยุ่ง..เห็นหรือเปล่าว่า..

She's queening"



(ไม่ได้แปลให้นะคะ เห็นว่า ประโยคนี้น่ารักดี..วิวันดา)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:46

 ยามเย็นเวลา ห้าโมง คือเวลาที่พระพี่เลี้ยงจะต้องนำทั้งสองrระองค์ขึ้นไปเฝ้าพระมารดา ก่อนที่จะพากลับไป
(มหาดเล็กได้เล่าว่า..ในเวลานี้ สมเด็จได้ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกคุณสุนัขคอร์กิ มากกว่าพระโอรสและพระธิดา เพราะพระองค์จะต้องทรงป้อนอาหารให้พวกคุณๆพวกนี้ที่แต่ละตัวมีการกินที่ไม่เหมือนกัน
พวกคุณพนักงานจะนำถาดอาหารขึ้นมาให้ ในถาดจะมีกาละมังเฉพาะของใครของมันตามชื่อ สมเด็จจะทรงคลุกเคล้าให้ใหม่ด้วยช้อนส้อมเงิน ก่อนที่จะวางกาละมังแต่ละใบลงบนแผ่นรองพลาสติค)

เด็กๆได้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับพระพี่เลี้ยงและนางพยาบาล ..พระโอรสมีพระชนมายุ สี่ ชันษา พระธิดา สอง ชันษา ที่ต้องรับการดูแลใกล้ชิดทั้งเรื่องการสรงน้ำ และการเข้าบรรทมที่พระพี่เลี้ยงต้องนอนอยู่ในห้องเดียวกัน..

ในยามต่อมา..เมื่อเติบใหญ่ เจ้าฟ้าชายชารลส์เคยประทานสัมภาษณ์ในหนังสือชีวประวัติของพระองค์ว่า..
"เป็นความจำที่โหดร้ายอย่างไม่มีวันรู้ลืม.."

พระองค์ได้โทษทำนองว่า พ่อแม่รังแกฉัน แต่หนักไปทางพระบิดา ที่พระองค์ว่า..ไม่เคยส่งของขวัญวันเกิดในห้าปีแรก อย่างดีก็ได้แต่ส่งข้อความอวยพรมาเท่านั้น..

ท่านปู่น้อย ลอร์ด เมาท์แบตเทน ได้แก้ตัวแทนหลานชายว่า.
"เรื่องความว่าเหว่น่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของลูกเจ้าลูกนายที่ต้องรู้จักจักทน แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ต้องทำใจ"

ส่วนคุณหญิงนักประพันธ์ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ ได้ออกมาแก้ตัวแทนสมเด็จว่า..
"ก็เจ้าฟ้าชายได้ทรงประสูติในขณะที่พระมารดายังทรงพระเยาว์อยู่ ย่อมไม่ใคร่มีเวลาให้มากนัก"

ฝ่ายควีนมัม..ก็หันมาโทษพระธิดาทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด..ว่า..
"หนังสือพิมพ์ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า..ฟิลิปน่ะดุจนเกินไป แต่ถ้าใครรู้ความจริงนะ ก็จะรู้ว่า..ลิลิเบทต่างหากที่เข้มงวดซะจนลูกๆหงอหมด..ฟิลิปซะอีก..ที่พยายามจะทำให้ทุกอย่างให้ง่ายขึ้น"

เรื่องเฮี้ยบของสมเด็จกับลูกๆนั้น เป็นความจริง..พระองค์ได้เปลี่ยนให้ทุกคนในวังเรียกขานพระโอรสและพระธิดาใหม่ตามแบบสากล นั่นคือ มิใช่ เซอร์ และ มาดาม อย่างแต่ก่อน
แต่กลายมาเป็นชื่อแรกตามสะดวกปาก นั่นคือ ชารลส์ และ แอนน์
พวกคุณพนักงาน มหาดเล็ก ต่างไม่ต้องทำความเคารพเด็กทั้งสองอีกต่อไป..คงทำความเคารพแค่พระองค์และควีนมัม
ส่วนพระโอรสและพระธิดา ต้องทำความเคารพแก่พระองค์ และ พระอัยยิกาก่อนลาออกจากห้องทุกครั้ง..

พระองค์เคยเล่าให้พระสหายฟังว่า
"เสด็จยายบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ไม่งั้นไม่ได้ขนมกินน่ะซิ"
"ทำไมเธอต้องโค้งคำนับให้ยายเธอด้วยล่ะ"
"นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องทำ"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เพราะ พ่อสั่งน่ะซิ"

ดังที่พระพี่เลี้ยงบอกให้เจ้าชายทรงสนับเพลาสั้นลายทาร์ทานข้างใน ยามที่ต้องทรงชุดกระโปรงสก๊อตพื้นเมืองที่ต้องทรงทุกครั้ง ในเวลาที่อยู่ในพระตำหนักบัลมอรัล
แต่เจ้าชายน้อยกับไม่ยอม ทรงตรัสว่า..
"ทีเสด็จพ่อยังไม่ใส่เลย.."
ในยามนั้น..พระบิดาคือแบบฉบับของทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้าชายพระโอรส..ไม่ว่าจะโดนเอ็ดบ้าง โดนตีบ้าง..เจ้าชายก็ยังถือว่าพระบิดาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทรงดำเนินรอยตาม
แม้กระทั่งการเดินที่เดินแบบค้อมศรีษะนิดๆ และเอามือทั้งสองไพล่ไปข้างหลัง..ก็เหมือนกันยังกับแกะ.

จนกระทั่ง..การก้าวเดินตามรอยของเจ้าชายฟิลิปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ..ความรักที่เคยมีต่อพระบิดาเริ่มห่างหายไปตามอายุที่เจริญวัยขึ้น กลายมาเป็นการกล่าวโทษอย่างซึ่งหน้า
เช่น..พระองค์ได้เคยตรัสกับพระสหายว่า
"มีพ่ออยู่สองชนิดนะ..ชนิดแรกคือ พ่อที่ช่วยให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง โดยการให้ความเชื่อถือและวางใจ ยามเมื่อลูกก้าวเดินพลาด พ่อก็จะไม่ดุด่าและไม่ซ้ำเติม ส่วนพ่ออีกประเภทหนึ่ง คือ ดยุค ออฟ เอดินเบอร์ค "

(แต่กับพระธิดา เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ เจ้าชายฟิลิปถือว่าได้ดังใจไปในทุกเรื่อง เพราะนิสัยห้าวหาญ พูดจาตรงไปตรงมา..ท่าทางออกนักเลงนิดๆนั้น..ถอดแบบมาจากพระองค์เป๊ะ..)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 01 มี.ค. 06, 11:50


กับพระมารดา..เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเกรงกรัว..ยิ่งกว่าหงอ..
เพราะเนื่องจากความห่างเหินมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์และมิหนำซ้ำ ยามที่พระองค์ต้องการจะแสดงความรักต่อพระมารดากลับถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย..
ครั้งหนึ่ง ในยามที่สมเด็จได้เสด็จกลับจากการประพาสต่างประเทศ เจ้าชายไม่ได้พบกับพระมารดานานหลายเดือน สู้อุตส่าห์ปีนขึ้นไปรับเสด็จถึงบนเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย เตรียมพระองค์ไปประทับที่แถวรับเสด็จ หมายพระทัยจะจุมพิตพระหัตถ์พระมารดาให้หายคิดถึง
แต่..เมื่อสมเด็จทรงหันมาเห็นพระโอรส..พระองค์กลับตรัสว่า
"ไม่เอาน่า..อย่าซนซิ"
ไม่ทรงกอด หรือ จุมพิตพระโอรสเลยแม้แต่นิด เสด็จเดินผ่านไปเหมือนอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
เมื่อพระสหายของสมเด็จได้ถามถึงเรื่องนี้ พระองค์ตรัสตอบสั้นๆว่า
"ฉันได้รับการฝึกหัดมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น..โดยเฉพาะต่อหน้าฝูงชน"
ซึ่งกิริยาแห่งการระงับอารมณ์ให้ราบเรียบนั้น แม้แต่เจ้าชายฟิลิปก็เป็นเช่นกัน..พระองค์เป็นได้ราวกับคนที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่าง พระสหายสนิท นาย ไมเคิล ปาร์คเกอร์ได้เล่าว่า
"ผมละอยากจะเห็นภาพถ่ายของเจ้าชายที่แสดงความรักกับพระราชินี อย่างน้อยๆก็วางมือลงบนพระอังสะอย่างสนิทสนม หรือกิริยาที่ว่ารักและเทิดทูนพระองค์อย่างเหลือเกินนั้น ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเลยจนบัดนี้
เคยนะ..ผมเคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าชายหลายครั้ง..แต่ทุกครั้งพระองค์ทรงหันมามองหน้าผม..แบบว่า ไอ้นี่พิลึกจริง..พูดอะไรบ้าๆ"
เจ้าฟ้าชายชารลส์จึงสนิทสนม และ สนิทสนมรักใคร่กับพระอัยยิกาและพระพี่เลี้ยงมากกว่าพระบิดาและพระมารดา
บันทึกการเข้า
paganini
องคต
*****
ตอบ: 406

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 04:32

 อ้าว กว่าจะรู้ตัวก็เช้าซะแล้ว

ไม่ได้เข้ามานาน อ่านเพลินตั้งแต่กระทู้ที่แล้ว รวดเดียวเลย
ผู้เขียนเขียนได้น่าติดตาม มั่กๆครับ(ขอใช้ภาษาอินเตอร์เนตหน่อย) เล่าเรื่องที่มีตัวเอกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างแนบเนียน ไร้ร่องรอย
ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:26

 รีบเข้ามาแปะต่อโดยไว
********************
เรื่องความเฮี้ยบของเจ้าชายฟิลิปกับเจ้าฟ้าชายชารลส์นั้น มันมีสาเหตุ..
เนื่องจากว่า พระองค์ทรงปริวิตกในเรื่องของความเป็นลูกผู้ชายแบบแมนๆ ของพระโอรส
เพราะว่า ในแวดวงของกลุ่มผุ้เลี้ยงดูให้พระอภิบาลก็ล้วนแต่เป็นผู้หญิง เช่นพระพี่เลี้ยง นางพยาบาล และที่สำคัญคือ กลุ่มคุณพนักงาน มหาดเล็กที่เป็นกระเทยก็มีไม่น้อย
ครั้งหนึ่ง..เกิดมีกรณีของคุณพนักงานชาย-หญิงคู่หนึ่งได้เกิดมีสัมพันธสวาทกัน อันถือเป็นความผิดที่ต้องลงโทษคือการไล่ออก
เนื่องจากมีกฎระเบียบของวินด์เซอร์ในเรื่องข้อห้ามของการจับคู่กันเองในหมู่พนักงาน***
ซึ่งเรื่องนี้เจ้าชายได้พยายามช่วยเข้าข้างผู้ผิดอย่างถึงที่สุด เพราะพระองค์ว่า..
"น่าจะให้รางวัลมันซะด้วยซ้ำ.."

เจ้าชายฟิลิปจึงพยายามหนักหนาในการที่ทรงเคี่ยวเข็ญพระโอรสแบบสุดๆ เช่น เรื่องการกีฬา ที่ต้องทรงได้ทั้งโปโลม้า คริกเก็ต ล่าสัตว์ ซึ่งผลนั้นค่อนข้างไม่ได้ดังใจ
เนื่องจากอุปนิสัยที่ค่อนข้างติ๋มๆ ขี้กลัว รวมไปถึงสุขภาพของร่างกายที่ถูกคุกคามของโรคหอบหืด แข้งเข่าออกน๊อคนีย์แบบเดียวกับพระอัยยิกา (พระเจ้ายอร์จที่หก)
ฝ่าพระบาทแบนราบจนทำให้ต้องออกแบบรองเท้าเพื่อสุขภาพเท้าให้ทรงสวม..
นี่คือสิ่งที่พระองค์จึงไม่ยอมออกอาการ"โอ๋" พระโอรสเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว..
และอย่าว่าแต่ "โอ๋" ..ถึงขนาดที่ว่า เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พี่น้อง เช่นเจ้าฟ้าชายชอบที่จะดึงพระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ หรือแกล้งเล่นเจ็บๆ
การถวายผางได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด..และ..การทำโทษทุกครั้งนั้น เจ้าฟ้าชายจะต้องได้รับแบบลูกผู้ชาย...ที่ห้ามกรรแสงอย่างเด็ดขาด..

(*** คุณพนักงานคนแรกที่ได้รับการยกเว้นในต่อมา คือ นาย พอล เบอเรลล์ มหาดเล็กต้นห้องของเจ้าหญิงไดอะน่า อดีต...คือมหาดเล็กรับใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี ที่มีคู่รัก นามว่า มาเรีย..เป็นช่างฝ่ายฉลองพระองค์ และทั้งคู่ได้รับการจัดงานแต่งงานให้จากองค์สมเด็จ อีกทั้งได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นในข้อห้ามนั้นด้วย.......วิวันดา)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:28

 ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่จะเข้าโรงเรียน เจ้าชายต้องทรงต่อสู้อย่างหนักกับพิธีการเดิมๆ ของวินด์เซอร์ ในเรื่องการศึกษาของอนาคตกษัตริย์แห่งอังกฤษ ที่มีกระแสการขัดแย้งอย่างมากมาย ในเรื่องสถานที่เรียน
พระองค์ต้องการให้พระโอรสได้ไปเรียนแบบเดียวกับเด็กอื่นๆ แต่สมเด็จฯไม่ทรงเห็นด้วย ทรงอยากให้เรียนอยู่แต่ในพระราชฐาน
การโต้แย้งนี้ ..เป็นข่าวจนได้ ข่าวได้ไปถึงหนังสือพิมพ์ที่ออกมาพาดหัวว่า.
"ทำไมเจ้าฟ้าชายชารลส์จะไปโรงเรียนเยี่ยงเด็กอื่นๆ ไม่ได้ ทำไมต้องให้ครูต้องเข้าไปสอนจนถึงในวัง.." หรือ
"ทำไมต้องปิดกั้นการเรียนรู้ของพระองค์กันตั้งแต่บัดนี้เล่า.."

ในที่สุด..สมเด็จได้ทรงอ่อนตามให้ เจ้าฟ้าชายได้มีโอกาสเข้าไปเรียนในชั้นอนุบาลที่ Hill House ที่เสด็จมาเรียนในเสื้อโค๊ตอย่างเต็มยศ มิได้ทรงชุดนักเรียนเช่นเด็กอื่นๆ

ในปีต่อมา..ก็มีการโต้แย้งกันอีกแล้ว..เพราะเจ้าชาย
ฟิลิปทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนโรงเรียนใหม่..สมเด็จฯมิได้ทรงเห็นด้วย
เพราะโรงเรียนที่พระสวามีว่านั้นคือ โรงเรียน Cheam โรงเรียนกินนอนสถาบันเก่าของพระสวามีนั่นเอง  ซึ่งมีเด็กร่วมชั้นเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา
แต่เจ้าชายได้ตอบว่า..ยิ่งดีใหญ่ ชารลส์จะได้รู้จักซะบ้าง...ว่าชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างไร ห้องหนึ่งอยู่กันเก้าคน เตียงก็เป็นเตียงไม้แข็งๆ และการสอนที่มุ่งหนักในการเชื่อฟังในวินัย..
ในที่สุด เจ้าชายน้อยก็ต้องไปเรียนที่ Cheam ตามคำสั่งของพระบิดา..
ส่วนสมเด็จได้เพียงแต่ตรัสกับอาจารย์ใหญ่ว่า.. ขอให้สอนและกระทำกับพระโอรสเยี่ยงเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แต่..อย่างไรก็ขอให้เรียกพระโอรสว่า เจ้าชายชารลส์

วันแรกที่เสด็จไปโรงเรียน เจ้าชายน้อยเตรียมกล่องอาหารจากวังไปเอง เพราะด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับการแบ่งปันอาหารกับใครๆ
ทันที่ที่พระพี่เลี้ยงหันกลับ..พระองค์ก็ทรงสะอื้นออกฮักๆ ด้วยความที่ไม่เคยต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้า

จากเด็กที่แต่งองค์ด้วยผ้าไหมอย่างดี เสื้อผูกโบว์ รองพระบาทเงาวับ มีข้าทาสบริวารใช้สอยเนืองแน่น..กลายมาเป็นเด็กนักเรียนประจำที่ถูกเพื่อนๆ เรียกว่า "ชารลส์"
หรือไม่ก็อีกสมญาหนึ่ง คือ "ไอ้อ้วน" (Fatty)
และต้องมาเจอกับไม้เรียวแขนงไผ่ชนิดของแท้และดั้งเดิมจากฝีมือบรรเลงของอาจารย์ใหญ่
พระองค์ได้ทรงเล่าประทานในทีหลังว่า..
"ความจริง ฉันก็โดนเตือนให้ระวังตัวไว้นะ ว่ายังไงก็ต้องโดนจนได้ แต่หลังจากที่โดนตีเพราะวิ่งเล่นไล่จับกันในห้องนอนแล้ว..ฉันก็ไม่เคยโดนอีก เพราะจากนั้นมาก็เลิกเล่นซุกซนไปเลย"

เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ทรงเล่าว่า..
"พี่ชายเขียนจดหมายถึงพระพี่เลี้ยงทุกวัน บอกว่า คิดถึงจนร้องไห้ "
และพระองค์ได้ทรงจดหมายมาถึงพระบิดาว่า
"กราบทูลเสด็จพ่อที่รักยิ่ง.. ชายรอวันที่พ่อจะพาไปเล่นเรือใบออกทะเล"
ในจดหมายนั้น พระองค์ได้วาดภาพเรือใบชนิดเดียวกับที่เจ้าชาย
ฟิลิปได้เคยใช้ในการแข่งเรือใบที่ Cowes
(อันเป็นที่แข่งเรือนัดสำคัญๆ ของโลก)
เรื่องการวาดภาพนั้น เจ้าชายองค์น้อย เพียงหกชันษาได้ทรงมีพระปรีชาเกินหน้าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน
เช่นครั้งหนึ่ง พระองค์ได้วาดคริสมาสต์การ์ดให้กับพระบิดาด้วยความมีพระอารมณ์ขันแบบเด็กๆ
คือเป็นภาพผู้ชายที่หมายถึงท่านดยุคกำลังยืนอยู่  ข้างๆมีขวดที่มีฉลากเขียนให้เห็นชัดๆ ว่า น้ำยาปลูกผม
เนื่องจากในตอนนั้น ท่านดยุคกำลังทรงมีปัญหาในเรื่องพระเกศาเริ่มร่วงมากขึ้นทุกที..

หลังจากที่ได้เริ่มเรียนไปได้สักพัก ทางโรงเรียนได้มีรายงานมาว่า..เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงผรุสวาทถ้อยคำที่ไม่น่าฟังออกมา..
ท่านดยุค พระบิดา ถึงกับต้องกลับไปคิดใหม่ ว่า พระโอรสไปได้ยินมาจากไหน จากคนงาน
จนในที่สุด....พระองค์ได้สารภาพมาอ่อยๆ ว่า
"คง..อาจจะได้ยินมาจากฉันกระมัง"  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:32



   ห้าปีครึ่ง..ของการใช้ชีวิตอยู่ใน Cheam เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้สอบตกในวิชาคำนวนทั้งหมด ประวัติศาสตร์ก็ทุลักทุเลเต็มทีกว่าจะผ่าน***

เจ้าฟ้าชายได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะไปเรียนในโรงเรียนเก่าของพระบิดาอีกโรงเรียนหนึ่งมากกว่า

นั่นคือ กอร์ดอนสตัน ที่หนักไปในทางฝึกความแข็งแกร่ง วิ่งทน..ฝึกหนักราวกับทหาร



เรื่องนี้ ท่านดยุคได้นำไปปรึกษากับกลุ่มเพื่อนวันพฤหัส ที่มักมีชุมนุมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่ Wheeler's Tavern ในย่าน Soho ดังที่ แลร์รี่ แอดเล่อร์ พระสหายคนหนึ่งได้เล่าว่า

"ผมได้ทูลท่านว่าโรงเรียยแบบเนี้ยะ..มันก็ไม่ต่างอะไรกับโรงผลิตกระเทยหรอกนะ..แต่พอ เจมส์ (เจมส์ โรเบิร์ตสัน จัสตีช นักแสดงชาวสก็อตที่มีชื่อเสียง) ได้ยินเข้า ก็รีบชิงเถียงว่า..

"ไม่จริงม้างงง..ทีผมน่ะ เข้าเรียนที่ Eton โรงเรียนไปรเวทแท้ๆ อาทิตย์แรกก็โดนเปิดบริสุทธิ์ไปแล้ว..แต่ไม่เห็นจะเป็นกระเทยอย่างที่ว่าสักนิด.."



แต่ท่านดยุคเริ่มเห็นดีกับการที่จะส่งพระโอรสไปที่กอร์ดอนสตัน, สก็อตแลนด์ เพราะด้วยหลายสาเหตุ

ที่สำคัญสุดคือ..อยู่ห่างไกลจากนักข่าวที่เฝ้าติดตาม ต่างจากโรงเรียน

อีตันที่อยู่ในสายตาของเหล่าสื่อทุกชนิด

เจ้าฟ้าชายก็ทรงตื่นเต้นไม่แพ้กันที่จะได้ไปศึกษาต่อในโรงเรียนของพระบิดา..แต่..ได้มาบ่นราวหมีกินผึ้งในทีหลังของการตัดสินใจครั้งนั้นว่า

"มันเป็นนรกชัดๆ ฉันสอบวิชาคำนวนตกสามครั้งซ้อน เกือบตกในวิชาภาษาเยอรมัน วิทยาศาสตร์ก็ร่อแร่"

พระองค์ได้ทรงเขียนจดหมายตัดพ้อ บ่นพึมมาถึงพระพี่เลี้ยงทุกวันเช่นเคย..

"ฉันไม่ได้หลับได้นอนเลยนะ มันแกล้งขว้างรองเท้าแตะไปมาข้ามเตียงฉัน หรือไม่ก็แกล้งเอาหมอนมาตี..บางทีนะ มันวิ่งเข้ามาตีฉันแรงๆ เลยละ"



ซึ่งหลายปีต่อมา..เจ้าฟ้าชายได้โทษว่าการไปโรงเรียนนรกในครั้งนั้น เป็นความผิดพลาดของพระบิดา ซึ่งความจริงในตอนนั้น ท่านดยุคก็หาได้สบายพระทัยไม่ ที่ต้องปล่อยให้พระโอรสไปอยู่ในโรงเรียนที่

พระองค์ทรงทราบดีว่า โหดมหาโหด..

ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งพระโอรสไปโรงเรียนแล้ว..ทั้งสมเด็จและท่านดยุคได้เสด็จไปรอดูทีท่าอยู่ที่พระราชวังบัลมอรัล..

ซึ่งพระสหายคือ เดวิด กับ ไมร่า บัตเตอร์ ได้สังเกตเห็นได้ชัดว่า คนที่กระวนกระวายพระทัยเป็นห่วงพระโอรสจนประทับไม่ติดที่นั้น คือ ท่านดยุค

ไมร่าเล่าว่า..

"เจ้าชายฟิลิปเสด็จเข้ามาในห้องนั่งเล่น พระพักต์ไม่สู้ดี พระองค์ทรงเดินกลับไปมา..บางทีก็หยุดรินเหล้าดื่ม..ซึ่งผิดไปจากปรกติ เรารู้ดีว่า ทรงเป็นกังวลในเรื่องพระโอรส จนหลายปีต่อมาที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้คุยกับเราถึงความรู้สึกในการที่จะส่งพระโอรส (เจ้าชายวิลเลี่ยม) ไปโรงเรียน..เราก็ตอบไปว่า เราเข้าใจ และรู้สึกใจหายๆ อย่างเดียวกัน พระองค์รีบสวนกลับมาว่า

"ใช่ซิ..เพราะเธอรักและเป็นห่วงวิลเลี่ยมไง..แต่ทีกับฉัน..ไม่เห็นมีใครมาเป็นห่วงเป็นใย.."

ในที่สุด ฉันเลยเล่าเรื่องท่านดยุคให้ฟัง เจ้าฟ้าชายชารลส์ถึงกับตกตะลึงอย่างไม่เชื่อพระกรรณ ว่าพระบิดาทรงกลัดกลุ้มพระทัยเพียงใดในการที่พระองค์ได้จากไปอยู่ในโรงเรียนประจำนั่น"



*** เรื่องการเรียนวิชาประวัติศาสตร์นี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงสร้างความตื่นตะลึงให้กับโรงเรียนอย่างเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ กล่าวคือ ไม่เคยทรงรู้มาก่อนว่า.

ครั้งหนึ่งของบัลลังค์วินเซอร์ได้มี ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ที่ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด และได้สละราชสมบัติ จนมาเป็น ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ...  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 02 มี.ค. 06, 10:34

 ในปี 1956 นั่นเอง ที่การขัดแย้งหลายๆ ประการของการศึกษาของพระโอรส ที่ท่านดยุคต้องมาต่อสู้กับความเห็นนานาประการของเหล่ากรมวัง รวมทั้งกับสมเด็จฯที่แทบไม่มีเวลาได้คุยกัน
เพราะเรื่องงานราชการทั้งหลาย เหล่าเสนาบดีเท่านั้นที่ร่วมในการประชุม ท่านดยุคพระสวามี ไม่มีส่วนร่วมใดๆ
อีกทั้งความสัมพันธระหว่างท่านดยุคกับเหล่ากรมวังเสนาบดีนั้นเข้าขั้นไม้เบื่อไม้เมา..
พวกเขาได้นิยามพระสวามีไว้ว่า..
"นิสัยเยอรมันแท้ๆ ถ่อย ชั้นต่ำ ลามก สมกับเป็นพวกเลือดเนื้อเมาท์แบตเทนแท้ๆ เชียว"

สาเหตุที่พวกเขาลงความเห็นเช่นนั้น เพราะ ท่านลุง ลอร์ด เมาท์แบตเทน ครั้งหนึ่งได้ถ่ายภาพคู่กับ แครี่ แกร้นท์ (Cary Grant ดาราฮอลลีวู๊ดชื่อดัง) พร้อมกับเหล่านางระบำในลาส เวกัส นางระบำพวกนั้นมีพัดขนนกฟู่ฟ่าปิดข้างบนและข้างล่างอยู่ ในการถ่ายด้านหน้า
และภาพที่สองต่อไป คือ สองชายและนางระบำเหล่านั้น ต่างหันหลังให้กล้อง คราวนี้ไม่มีพัดขนนกปิด จึงเห็น บรรดาก้นกอยอันเปลือยเปล่าของพวกหล่อนออกมาโล่งโจ้ง..
ท่านลอร์ดเห็นภาพนี้เป็นเรื่องสุดขำขัน โปรดปรานถึงขนาดนำไปติดในเรือยอช ตรงเส้นทางที่ใครต่อใครขึ้นไปก็ต้องพบ รวมทั้งสมเด็จพระราชินี   ถึงมีคนเตือนก็ไม่ยอมปลดลง..
พวกเสนาบดี เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดที่จะต่ำช้า..ถือโอกาสด่าไปถึงเชื้อชาติเข้านั่น..

เจ้าชายพระสวามีทรงเกิดความเหนื่อยหน่ายพระทัยอย่างถึงที่สุด พระองค์เริ่มใช้เวลาอยู่กับพระสหายมากขึ้น โดยเฉพาะ กับ
นาย ริชาร์ด ทอดด์, นาย แจ๊ค เฮดลีย์ สองดารานักแสดงที่มีอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงลอนดอน ที่ถือเป็นที่พาดาราสาวๆ มาร่วมเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ
เจ้าชายฟิลิปได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมสนุกสนานนี้ด้วยบ่อยๆ ถึงกับทรงตั้งชื่อกลุ่มไว้ว่า..
"The Three Cocketeers" เลียนแบบเลียนชื่อของสามอัศวิน The Three Musketeers
(แต่..ช่างคิดนะคะ ชื่อ The Three Cocketeers นี้ จะแปลว่า สามหนุ่มคึกคะนอง สามพ่อไก่แจ้ หรือจะแปลว่า สามจู๋อัศวิน ก็ยังได้ แล้วแต่อารมณ์ไหนจะพาไป...วิวันดา)

นาย แจ๊ค เฮดลี่ย์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ในปี 1993 ว่า..
"เรื่องในอพาร์ทเม้นต์น่ะเหรอ พูดม่ะต้ายยย...เป็นเรื่องลับเฉพาะ แหม...เรื่องตั้งสี่สิบกว่าปีมาแล้วมาถามทำไมกัน"

นอกจากนั้น เจ้าชายฟิลิปยังทรงใช้ที่พักขององค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่ถนน South Street ซึ่งที่นี่คือที่สำราญโดยแท้ มีการจัดปาร์ตี้ระดับไฮโซบ่อยๆ อริสโตเติ้ล โอนาซิส และนางบำเรอนักร้องโอเปร่าชื่อก้องโลกมาเรีย คัลลัส ก็เคยบินมาร่วมในงาน
หรือ เจ้าชาย เบอร์นารด์ (Prince Bernhard) พระสวามีของ
พระนางจูเลียน่า แห่ง เนเธอแลนด์ ก็เคยเสด็จมาร่วมสังสรร
นาย แลร์รี่ แอดเล่อร์ ได้เล่าให้ฟังถึงครั้งนั้นว่า..
"ตอนที่เจ้าชายเบอร์นารด์เสด็จมาร่วมนั้น ทำให้พวกเราได้รู้สึกถึงความไม่สบายพระทัยในการเป็นพระสวามีอย่างมาก เพราะ ท่านดยุคได้สัพยอกทีเล่นทีจริงกับเจ้าชายเบอร์นารด์ว่า
"แหม ฉันละอิจฉาเธอจริง ไปไหนก็ได้ไม่มีใครรู้จัก จะมีแฟนกี่คนก็ได้อีกต่างหาก ไม่มีตำรวจหรือนักข่าวคอยมาสาระแน"
ตอนที่เจ้าชายจะต้องเสด็จกลับ ก่อนที่สนามบินจะปิด ท่านดยุครีบลุกขึ้นทำท่าถวายความเคารพแบบล้อๆ และตรัสว่า...
"ฝากไปถวายบังคมพระราชินี (จูเลียน่า) ด้วยนะ .."
จากนั้นในฐานะเจ้าชายพระสวามีด้วยกันทั้งคู่ ก็มีการกล่าวแลกผรุสวาทกันสองสามคำก่อนการอำลา...ตามประสาเกลอเก่า
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 19 คำสั่ง