เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 49526 ศึกสายเลือดในราชวงศ์สจ๊วตของอังกฤษ
ศรีปิงเวียง
องคต
*****
ตอบ: 566

เรียนจบแล้ว


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 24 ก.พ. 06, 16:55

 สวัสดีทุกท่านที่เคารพครับ
ผมสังเกตเอาว่า สมัยก่อนราชวงศ์ยุโรปแต่งงานข้ามประเทศจนกระทั่งถึงต้นคริสตศตวรรษที่ 20
ถ้าจะหาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด ต้องย้อนไปดูที่กระทู้พระเจ้าชาร์ลที่ 2 ครับ
ป.ล. ขอลงทะเบียนด้วยคนครับ    
บันทึกการเข้า

ไม่เห็นใครแน่นอน
นายสายธาร
อสุรผัด
*
ตอบ: 10


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 24 ก.พ. 06, 17:24

 เข้ามาลงทะเบียนด้วยคนครับ
สำหรับเรื่องการแต่งงานข้ามประเทศกันนั้น ในความคิดผมนั้นเห็นว่าคงคล้ายกับบ้านเราในสมัยก่อน คือประเทศต่าง ๆ นั้น ยังคงเป็นอาณาจักรแบ่งแยกกันอยู่ จึงต้องมีการสานสัมพันธไมตรี หรือผูกมิตรกันไว้นั่นเอง ส่วนการผูกมิตรที่แน่นแฟ้นที่สุดก็คือการแต่งงาน เพราะว่า อาณาจักรพ่อตาคงไม่มาตีอาณาจักรลูกเขย และเมื่อเกิดปัญหาภายในก็จะได้แรงสนับสนุนจากต่างอาณาจักร(หรือต่างประเทศในกรณีของราชวงศ์ยุโรป) อีกด้วย
ไม่ทราบว่าความคิดของผมนี้จะถูกหรือผิดครับอาจารย์
บันทึกการเข้า
HotChoc
มัจฉานุ
**
ตอบ: 62


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 24 ก.พ. 06, 19:45

 ฝ่ายชายได้สินสมรสด้วยครับ อาจจะเป็นเมืองซักสองสามเมือง หรือภาษีอากรจากเมืองท่า ขึ้นกับยศศักดิ์ฝายชาย ถ้าโชคดีอาจได้มรดกจากพ่อตาด้วย ตอนจักรพรรดิแม๊กซิมิเลียนที่ 1 ของโฮลีโรมันเอ็มไพร์ตาย ก็ยกดินแดนของตัวเองให้หลานตากษัตริย์คาร์ลอสที่ 1 ของสเปน ดินแดนที่ว่าก็คือออสเตรีย หัวเมืองอิตาลีทางเหนือ เนเธอร์แลนด์ปัจจุบัน เชคปัจจุบัน บางส่วนทางตะวันออกของฝรั่งเศส เรียกว่าคิงคาร์ลอสดูแลไม่ไหวเลยครับต้องให้น้องไปดูแลออสเตรียแทน

ถ้าโชคดีกว่านั้นลูกหลานอาจได้ไปเป็นกษัตริย์เลยก็ได้ อังกฤษเองก็เคยรับ"คนต่างชาติ"มาเป็นพระราชาหลายที ต้นตระกูลสจ๊วตเองก็มาจากสก๊อตแลนด์ เดี๋ยวอาจารย์เทาชมพูเล่าไปซักพักก็จะมีคนดัตช์มาเป็นกษัตริย์อังกฤษอีก ต่อจากนั้นก็จะเป็นคนเยอรมัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 25 ก.พ. 06, 09:12

 นั่นแน่...คุณนุชนาไม่ได้อ่านกระทู้ราชาเจ้าสำราญ  หรืออ่านแล้วลืมไปน่ะสิคะ
ในนั้นบอกเหตุผลของการเสกสมรสของเจ้านายเอาไว้แล้วค่ะ  การอยู่คนละดินแดนอำนวยประโยชน์ให้มหาศาล โดยเฉพาะกับฝ่ายชาย

คำตอบของคุณสายธารและคุณ HotChoc ถูกทั้งสองคนค่ะ
บันทึกการเข้า
Nuchana
สุครีพ
******
ตอบ: 979


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 25 ก.พ. 06, 10:15

 ok but not convinced ว่านั่นคือเหตุผล in most or all casesค่ะ

นึกถึง King James I เมื่อครั้งเป็นพระยุพราช ก็เสกสมรสกับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ของเดนมาร์ค
ทั้งๆที่ควีนเอลิซาเบท I ก็ทรงคัดค้าน ทรัพย์สินจากพ่อตาก็ไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 25 ก.พ. 06, 10:32

 การเสกสมรสครั้งนั้นเป็นด้วยเหตุผลทางศาสนาค่ะ

James managed to significantly reduce the influence of the Roman Catholic nobles in Scotland. He further endeared himself to Protestants by marrying Anne of Denmark—a princess from a Protestant country and daughter of Frederick II of Denmark.

 http://en.wikipedia.org/wiki/James_I_of_England  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 25 ก.พ. 06, 17:04

เล่าความมาถึงตอนนี้แล้ว  ผู้อ่านบางท่านก็คงจะเกิดสงสัยขึ้นมาว่า  อะไรกันนักกันหนา กะแค่เรื่องนับถือศาสนาเดียวกัน แต่ต่างนิกายกันนี่น่ะ  
เป็นเหตุให้จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้เทียวหรือ   ในเมื่อต่างก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน  พระศาสดาองค์เดียวกัน   ก็น่าจะประนีประนอมกันได้  อยู่ร่วมกันไปไม่ถึงกับมองหน้ากันไม่ติด
คำตอบคือความหมายไม่ได้จำกัดวงแค่ความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงเหตุผลทางการเมืองด้วย

เพราะตั้งแต่โบราณกาลมา  ก่อนอาณาจักรทั้งหลายจะรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นมั่นคง แบ่งกันเป็นฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน กรีซ ฯลฯ กันแบบมีเส้นขีดคั่นชายแดนกันแน่นอน
อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าราชาทั้งหลายบนดินแดนต่างๆนั้นก็มีอยู่  คืออำนาจของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
ประมุขคือพระสันตปาปา หรือ Pope แห่งนครวาติกัน  ซึ่งเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับประเทศใด

การสวมมงกุฎราชาองค์ใดที่นับถือคริสต์ ( ตอนนั้นมีอย่างเดียวคือโรมันคาทอลิค)   ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพระสันตปาปา  และราชาเหล่านั้นก็ต้องเสด็จไปรับพิธีราชาภิเษกโดยพระศาสนประมุขอีกด้วย
หรืออย่างน้อยก็ต้องมีตัวแทนของพระองค์มาทำพิธีให้

ดังนั้นอำนาจของสันตปาปาจึงยิ่งใหญ่    บรรดาบาทหลวงและพระราชาคณะทั้งหลายในอาณาจักรต่างๆก็ขึ้นกับพระองค์
รายได้ของวัด ส่วยสาอากรหรือข้าวของเงินทองของพวกมาทำบุญให้วัดก็ขึ้นตรงกับพระสันตปาปา   ไม่ได้ขึ้นกับเจ้าแผ่นดิน
พระราชาเองก็ต้องอ่อนน้อมยอมประพฤติองค์ตามข้อบังคับทางศาสนา

พระราชาอังกฤษองค์แรกที่ลุกขึ้น "ปฏิวัติ" เรื่องนี้คือพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘  (องค์ที่คุณชื่นใจอยากจะฟังเรื่องของท่านนั่นไงล่ะคะ)
เมื่อพระสันตปาปาไม่ยอมให้การอภิเษกสมรสของท่านกับพระนางแคทเธอรีนแห่งอารากอน มเหสีองค์แรกเป็นโมฆะ

พระเจ้าเฮนรี่ก็ไม่ใช้วิธีตื๊อจนพระสันตปาปาใจอ่อน หรือโต้เถียงเอาชนะคะคานให้ได้   เพราะแน่นอนว่าทำไปจนตายก็คงไม่ได้ผล
พระองค์ใช้ไม้เด็ด เปลี่ยนศาสนาประจำชาติ จากคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิคมาเป็นโปรแตสแตนท์ นิกาย Church of England ซึ่งมี Archbishop of Canterbury เป็นประมุข
ท่านอาร์ชบิชอปก็ตกลงให้ทรงหย่าจากพระนางได้

นอกจากนี้พระเจ้าเฮนรี่ยังทรง" ลุย" วัดต่างๆของคาทอลิคเสียจนไม่มีเหลือ   บาทหลวงทั้งหลายต้องหลบหนีอาญาแผ่นดินซุกซ่อนกันจ้าละหวั่น
ข้าวของเงินทองที่ได้จากประสกสีกากันเหลือเฟือ  เป็นสมบัติของวัด ขึ้นตรงกับพระสันตปาปา  ก็ตกเป็นของท้องพระคลังแทน

ประวัติศาสตร์เป็นอย่างนี้   ก็คงพอจะมองเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมคะ ว่าทำไมราษฎรที่นับถือโปรแตสแตนท์กันมานานร่วมศตวรรษ ถึงพากันเดือดร้อนไม่อยากกลับไปอยู่ใต้อาณัติของคาทอลิคอีก
บันทึกการเข้า
paganini
องคต
*****
ตอบ: 406

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 26 ก.พ. 06, 00:12

 โหย คุณชื่นใจ Henry VIII เบื่อแล้ว  ฟังมาเยอะแล้ว ผมอ่านต่วยตูนพิเศษสมัยก่อนมีแต่เรื่องของราชาพระองค์นี้กับพระราชินีทั้ง 6ของพระองค์ โดยเฉพาะเรื่องของ แอนน์ โบลีน (พระราชมารดาของ Queen Elezabeth I ไงครับ) ที่มีการมาทำเป็นหนังเรื่องราชินีพันทิวา(จำชื่ออังกฤษไม่ได้) หรือแม้แต่เรื่องผีๆที่มีคนเห็นพระนางแอนน์โบลีนเดินไปมาอยู่ใน the Tower of London หรือไม่ก็ Hampton Court

เขาว่ากันว่า King Henry VIII เป็นนักดนตรีเอกด้วยนะ เพลง Greensleeves ร่ำลือกันว่าท่านเป็นผู้แต่งด้วยนะครับ

อิอิ แซวเล่นน่ะครับ ถ้า อ.เทาจะเขียนถึง Henry III ผมก็จะติดตามอ่านเหมือนเดิมแหละครับ
บันทึกการเข้า
ชื่นใจ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 136

นักศึกษาปริญญาเอก University of East Anglia England


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 26 ก.พ. 06, 02:23

 โหย...(มั่ง)...คุณ padanini เห็นใจอิฉันบ้างเถอะ
ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นคนขวนขวายเรื่องราวพวกนี้สักเท่าไหร่
ความรู้เลยต่ำเจ้าค่ะ...ก็ขอยกระดับความรู้ตัวเองให้สูงขึ้นสักนิด
ด้วยการจองเรื่องไว้ เผื่ออาจารย์เทาชมพูท่านจะกรุณา
...
ไหมล่ะ...คุณก็ยังจะตามอ่านต่อไปอยู่ดี    
...
ว่าไป อิฉันชักเริ่มเห็นเค้าลาง Terrible Tudors ขึ้นมารำไร
...
แต่ตอนนี้ กลับเข้าเรื่องของสจ๊วตต่อดีกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า
HotChoc
มัจฉานุ
**
ตอบ: 62


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 26 ก.พ. 06, 02:26

 ผมขอเสริมเรื่องศาสนาหน่อยนะครับ คาธอลิกตอนยุคนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันนะครับ ยุคนั้นคริสตจักรค่อนข้างเหลวแหลกทีเดียว โป๊ปมีอำนาจมากตามที่อ.เทาชมพูกล่าวไว้ การแต่งตั้งบิชอป(คล้ายๆเจ้าอาวาส)ขึ้นกับโป๊ปไม่ได้ขึ้นกับกษัตริย์ของประเทศ ทางพุทธอาจจะมองว่าไม่แปลกที่ทางสงฆ์จะตั้งเจ้าอาวาสกันเอง แต่นั่นพระสงฆ์ไทยไม่ยุ่งการเมือง คริสตจักรยุคนั้นยุ่งการเมืองเต็มตัวครับ โป๊ปมีอาณาจักรของตัวเองเลยเรียกว่า Papal State มีอาณาเขตอยู่ในภาคกลางของอิตาลี มีกองทัพเป็นของตัวเองเสร็จสรรพ ตียึดเมืองอื่นเพื่อขยายดินแดนก็เคยมาแล้ว โป๊ปบางคนเป็นแม่ทัพคุมทหารไปเองก็มี การแต่งตั้งบิชอปของตนเองในดินแดนอื่นก็คือการส่งสายลับเข้าไปดีๆนี่เอง

ทางธรรมก็เหลวแหลกครับ โป๊ปมีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย คบชู้สู่สาวมีลูกนอกสมรสกันเป็นปกติ ตำแหน่งบิชอปคาร์ดินัลก็ซื้อขายกันเป็นว่าเล่น (บิชอปบางแห่งมีดินแดนเป็นของตัวเองเลย) สะสมสร้างสรรค์ภาพวาดงานปฏิมากรรมกัน สร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์โดยการเรี่ยไรเงินประชาชนแบบน่ากังขา เช่นหลอกขายวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ขายใบไถ่บาปที่ผู้ซื้อจะพ้นผิดจากบาปที่เคยทำได้ แค่นั้นยังไม่พอสามารถซื้อใบไถ่บาปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วได้อีก (พ่อแม่พี่น้องลำบากอยู่ในนรก ไม่ซื้อใบไถ่บาปให้พวกท่านซะหน่อยล่ะ) ที่เด็ดที่สุดคือสามารถซื้อใบไถ่บาปเผื่อไว้สำหรับบาปที่ท่านจะกระทำในอนาคตได้ด้วย (กำลังจะไปเล่นชู้เหรอ ไม่ดีนะพระเจ้าห้าม แต่ยังไงซะก็ซื้อใบไถ่บาปเผื่อไว้ก่อนดีกว่า) บางทีก็บังคับขายกันเลย (ไม่ซื้อตกนรกนะท่าน เอ๊ะ!หรือว่าท่านฝักใฝ่ซาตานมากกว่าพระเจ้า)

มาร์ตินลูเธอร์ซึ่งเป็นพระเคร่งคาธอลิคสายออกัสตินตอนนั้นทนไม่ได้ ตอกคำประท้วง 95 ข้อลงบนประตูโบสถ์ที่วิตเทนเบิร์กในเยอรมัน เป็นจุดเริ่มต้นของการแตกนิกายโปรแตสแตนท์(Protestants, ผู้ประท้วง)ออกจากคาธอลิก ประชาชนและเจ้าชายเยอรมันส่วนมากเห็นชอบเพราะถูกรีดไถจากโรมมานาน ทางโรมก็พยายามทั้งประนามทั้งไกล่เกลี่ยก็ไม่เป็นผล สุดท้ายรบกันอยู่ 30 ปี นั่นเป็นสาเหตุที่เกลียดกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 26 ก.พ. 06, 12:21

ขอบคุณคุณ HotChoc ที่มาแจม ช่วยให้รายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ
ดิฉันเล่าอยู่คนเดียวนานๆก็ชักจะคอแห้ง

ระบบบาปบุญที่ซื้อกันได้ ขายกันดี ฟังคุ้นๆยังไงไม่รู้
แต่ช่างเถอะ  เดี๋ยวจะออกนอกเส้นทางไปไกล   จำกัดวงไว้ในเรื่องนี้ดีกว่า

.ในยุคโน้น พฤติกรรมหรูหราฟุ่มเฟือย และยังผิดศีลของโป๊ป เป็นเรื่องที่ปิดกันไม่มิด
ในศาสนสำนักก็มี"หลานชาย"เข้ามายุ่มย่าม เดินกันว่อน  บางคนก็มีสมณศักดิ์สูงๆ หรือได้รับแต่งตังให้มีตำแหน่งเป็นองครักษ์
คนเขาก็รู้ว่าไม่ใช่หลานชงหลานชายอะไรหรอก    เป็นลูกนอกสมรสที่ท่านอุปถัมภ์อย่างดีต่างหาก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 27 ก.พ. 06, 11:04

ย้อนกลับมาเล่าถึงครอบครัวของเจ้าชายเจมส์ ดยุคแห่งยอร์ค  
การเสกสมรสกับเจ้าหญิงแมรี่ ก็มีเรื่องน่าเศร้าซ้ำรอยเดียวกับดัชเชสแห่งยอร์คคนแรก คือโอรสธิดาที่เกิดมา ถ้าไม่ตายตอนคลอดก็ตายแต่ยังเล็กๆ องค์แล้วองค์เล่า ถึง ๕ องค์ด้วยกัน
แทบว่าจะหมดความหวังที่จะได้รัชทายาทชาย  นอกเหนือจากพระธิดา ๒ องค์ที่เจริญพระชนม์เป็นสาวใหญ่แล้ว

ขอเล่าถึงพระธิดา ๒ องค์ที่เกิดจากดัชเชสคนแรกก่อนนะคะ
องค์โตคือเจ้าหญิงแมรี่  เสกสมรสไปด้วยเหตุผลทางการเมือง  กับลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นเจ้าชายดัทช์ชื่อเจ้าชายวิลเลียมแห่งโอเรนจ์ ซึ่งแก่กว่าเธอ ๑๒ ปี  ทั้งสองเป็นโปรแตสแตนท์
(โปรดดูภาพประกอบ)
ชีวิตคู่ของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแมรี่หวานอมขมกลืน    เจ้าชายมีหม่อมซึ่งไม่ใช่ใครอื่น เป็นนางพระกำนัลของเจ้าหญิงนั่นเอง   ทรงเย็นชาและไม่เอาใจใส่พระชายา  
ส่วนเจ้าหญิงก็ไม่มีโอรสธิดา  ทางด้านส่วนตัว เธอกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของพระสวามี เรียกว่าไม่กล้าหือกับเจ้าชายเอาเลย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 27 ก.พ. 06, 11:18

 ส่วนองค์เล็กคือเจ้าหญิงแอนน์   เป็นเด็กขี้โรค ป่วยหนักแบบเจียนจะตายเสียหลายหนตั้งแต่เด็ก  จนน่าอัศจรรย์ที่ทรงรอดมาได้จนโตเป็นสาว     เธอถูกจับให้เสกสมรส(ก็ด้วยเหตุผลทางการเมืองอีกนั่นละค่ะ) กับเจ้าชายจอร์ชแห่งเดนมาร์ค

เจ้าชายจอร์ชเป็นเจ้านายที่อ่อนแอ ไม่มีสุ้มมีเสียงอะไรทางด้านบริหาร  วันๆก็ทรงยุ่งอยู่กับปัญหาประจำตัวคือติดเหล้าอย่างหนัก   แต่ก็แปลกที่เจ้านายคู่นี้กลับปรองดองรักใคร่กันด้วยดี   เจ้าหญิงทรงรักพระสวามีมาก

สุขภาพของเธอเป็นปัญหาใหญ่  เจ้าหญิงแอนน์ทรงแท้งถึง 12 ครั้ง(ไม่อยากจะเชื่อ!!)  และมีโอรสธิดาที่รอดตายจนถึงคลอดออกมาได้อีก 5 องค์    แต่ก็ไม่มีองค์ไหนรอดมาได้จนโตเป็นหนุ่มสาว  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 27 ก.พ. 06, 11:36

พระเจ้าเจมส์ทรงหวังว่าจะได้รัชทายาทชายที่จะครองบัลลังก์อังกฤษสืบต่อจากพระองค์    ทรงตั้งพระทัยปลูกฝังให้เป็นคาทอลิคตั้งแต่แรกประสูติ   ไม่อยากให้เป็นอย่างเจ้าหญิงพระพี่นางทั้งสองที่เป็นโปรแตสแตนท์

เหตุการณ์ที่เรียกได้อีกครั้งว่า "บุญมีแต่กรรมบัง" ก็เกิดขึ้นอีกในปี 1688
บุญมี คือพระราชินีแมรี่แห่งโมดีนา ทรงคลอดเจ้าฟ้าชายจนได้   เป็นเด็กแข็งแรงดี ไม่แท้งหรือตายเสียแต่แรกเกิดอย่างก่อนหน้านี้
แต่ก็มีเสียงซุบซิบไล่หลังมาว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่พระราชโอรสแท้จริงหรอก   มีการสับเปลี่ยนเอาเด็กชายลูกชาวบ้านเข้าไปในห้องคลอด
ทั้งนี้เพื่อเป็นการตบตาผู้คนว่ารัชทายาทชายได้ประสูติแล้ว   เพื่อจะสถาปนาเจ้าชายคาทอลิคขึ้นนั่งบัลลังก์

กรรมที่เข้ามาบังพอดี  ก็คือสถานการณ์ทางการเมืองตึงเครียดถึงจุดระเบิดพอดี     พรรคการเมืองทั้งวิกและทอรี่ตลอดจนผู้คนพลเมืองต่อต้านพระเจ้าเจมส์กันหมด     จึงเกิดรัฐประหารกลางเมืองขึ้นมาในปีเดียวกันนั้นเอง
พระราชินีแมรี่ทรงพาเจ้าฟ้าชายองค์น้อยหนีออกจากอังกฤษไปพึ่งพันธมิตรคาทอลิค คือฝรั่งเศส  
พระนางได้ชักชวนให้พระเจ้าเจมส์หนีตายไปด้วยกัน  ดีกว่าพยายามต่อต้านพวกกบฏ หรือยอมให้ถูกจับกุมอยู่ในพระราชวัง
ชะตากรรมอันน่าเวทนาของพระบิดาคงเป็นแรงผลักดันให้พระเจ้าเจมส์ยอมหนีมากกว่าจะสู้ตาย    ก็เลยทรงลี้ภัยออกนอกอังกฤษ

รัฐประหารครั้งนี้  รู้จักกันในนาม The Glorious Revolution
บันทึกการเข้า
Nuchana
สุครีพ
******
ตอบ: 979


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 27 ก.พ. 06, 13:19

 .....องค์โตคือเจ้าหญิงแมรี่ เสกสมรสไปด้วยเหตุผลทางการเมือง กับลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นเจ้าชายดัทช์
ชื่อเจ้าชายวิลเลียมแห่งโอเรนจ์ ซึ่งแก่กว่าเธอ ๑๒ ปี ทั้งสองเป็นโปรแตสแตนท์

ตรงนี้ขอขยายความว่ามารดาของเจ้าชายวิลเลียมคือ แมรี พระราชธิดาองค์โตของ King Charles I
ดังนั้นพระเจ้าเจมส์ II (พ่อตา) จึงเป็นน้องแม่ของเจ้าชายวิลเลียมนั่นเอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.049 วินาที กับ 19 คำสั่ง