เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:43
|
|
ทันที่ที่ข่าวหมั้นได้กระจายออกไป..ท่านลุงดิ๊คกี้ หรือ ท่านลอร์ด ก็ร่อนพายุจดหมายมาจากอินเดียนับสิบๆฉบับ ในนั้นล้วนแต่เป็นการ สั่งสอน เสนอแนะ เจ้ากี้เจ้าการ อีกทั้งเป็นการเสี้ยมสอนไปแบบกลายๆ เท่านั้นไม่พอ ท่าน ลอร์ดได้เสนอให้ใช้คฤหาสน์ส่วนตัว ที่ คฤหาสน์บอร์ดแลนด์ ( Broadland อยู่ในแขวงมณฑล Hampshire) ให้เป็นที่สำหรับฮันนีมูนในยามหลังพิธีอภิเษก โดย ได้จัดแจงให้รายละเอียดว่า.. "ไปเถอะ..ที่บ้านลุงน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว..โอ่โถง สะดวกสบาย เรื่องหรูหราไม่ต้องห่วงเลยเชียว ที่ฝาผนังน่ะประดับด้วยภาพวาดของ ซัลวาดอร์ ดาลี ( Salvador Dali ศิลปินเอกชาวสแปนิช) เชียวนะ ไหนจะเครื่องเรือนโบราณยุคทิวเดอร์อีกล่ะ ..งดงามเหลือกำลัง " เจ้าชายคล้อยตามไปกับความคิดนี้ไปแเพียงแค่สองสามวัน และ ต่อมาได้ตอบบอกปัดกลับไปว่า "เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดที่จะเสด็จไปพำนักที่พระตำหนักเบิร์คฮอลล์ ที่อยู่อาณาเขตที่แสนกว้างขวางของพระราชวังบัลมอรัล สก๊อตแลนด์ มากกว่า มิใช่หลานจะไม่เห็นความหวังดีของท่านลุงแต่ประการใด หากแต่เจ้าฟ้าหญิงยังมิค่อยสนิทกับท่านลุงเท่ากับหลาน..ตอนนี้จึงต้องขอให้ท่านลุงใจเย็นๆไว้ก่อน อย่าเป็นกังวลกับเรื่องการอภิเษกนักเลย"
แต่ท่านลุงลอร์ดก็หาได้"เก๊ต"ไม่..ยังมีจดหมายไปถึงท่านเชอร์ชิลล์เป็นส่วนตัวอีกต่างหาก ใจความว่า "ช่วยพาเจ้าชายพระคู่หมั้นออกไปเสวยอาหารกลางวัน และ ท่านช่วยย้ำเตือนให้พระองค์เข้าใจหน่อยว่า เรื่องนี้(หมายถึงการที่จะมาเป็นพระสวามี)นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเล่นๆ เป็นเรื่องที่พระองค์ต้องเตรียมทำองค์ให้พร้อมต่อหน้าที่และความรับผิดชอบ กรุณาสั่งสอนให้หน่อยเถอะ" ท่านเชอร์ชิลล์ อดีตนายกยุคพาชาติให้พ้นภัย..ที่มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน และต้นตระกูลก็ได้รับใช้ใกล้ชิดมาหลายชั่วอายุคน จึงตกปากรับคำเป็นอย่างดี ว่า.... เอาเถอะ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:44
|
|
การกำหนดแผนงานต่างๆในพิธีอภิเษกครั้งนี้..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า
เจ้าบ่าว..สามารถเชิญแขกของตัวเองได้เพียงสองคน..จากจำนวนแขกทั้งหมด 2,500 คน
และสองคนที่ว่านี้ ต้องผ่านการพิจารณาจากสภาเสนาบดีก่อนด้วย
ซึ่งพระองค์ได้เลือกให้กับเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด นั่นคือ นายทหารเรือซี้เก่า ไมเคิล ปาร์คเกอร์ และ
มารดาของ เฮเลน ฟูฟูนิส์ ครอเดท์ เพื่อนบ้านเก่าครั้งสมัยอยู่ในปารีส
ส่วนมารดาของแฟนเก่า มิสซิส ไรท์ นั้น ได้รับเชิญอยู่แล้วในฐานะที่เป็นคอลัมนิสต์ข่าวไฮโซของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เฮิรสต์
และ ทางกรมวังเสนาบดีให้ให้พระองค์เลือกเพื่อนเจ้าบ่าวจากกลุ่มพระญาติได้หนึ่งคน นั่นคือ เดวิด มิลฟอร์ด เฮเวน
นอกจากนั้น เจ้าชายไม่มีสิทธิได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับพิธีแต่งงานของตัวเองในครั้งนี้ เพราะด้วยเหตุว่า นี่มิใช่งานแต่งงานของมนุษย์สองคนอย่างธรรมดา
หากแต่..มันเป็นงานที่เป็นหน้าตาของประเทศอังกฤษที่ยิ่งใหญ่
และในเรื่องส่วนตัวระหว่างครอบครัว พระเจ้ายอร์จที่หก และพระราชินี ได้มีการหารือเพื่อที่จะออกคำสั่งให้เจ้าชายฟิลลิปรับไปปฏิบัติ..นั่นคือ
เจ้าหญิงพี่สาวทั้งหมดสี่พระองค์ของเจ้าชาย..ที่ได้ไปแต่งงานกับพวกเยอรมันนาซีนั้น..ไม่ต้องมาร่วมในพิธี....ห้ามเด็ดขาด
(ทั้งหมดต่างนั่งรับฟังการบรรยายการอภิเษกของน้องชายทางวิทยุกระจายเสียง)
ดยุค แห่ง วินด์เซอร์ และหม่อมวอลลิส นั้น..กำลังถูกเขม่นอย่างแรง เพราะเพิ่งทำเรื่อง"น่าอับอายสุดๆ"มาไม่นานนี้ กล่าวคือ ระหว่างที่อังกฤษกำลังฮึ่มๆจะรบพุ่งอยู่กับเยอรมันนั้น
ท่านดยุคและหม่อม..พากันเสนอหน้าไปเยี่ยมคารวะฮิตเล่อร์ถึงที่บ้านพักในเยอรมัน
นับว่าเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเลย เพราะจากผลลัพธ์ตรงนั้น ทำให้คนอังกฤษสิ้นศรัทธาในพระองค์ไปมากกว่าเดิม
เท่านั้นไม่พอ..ท่านดยุคยังเขียนหนังสือชีวประวัติของพระองค์เองออกจำหน่ายอีกด้วย ในชื่อว่า ..A King's Story (อ่านแล้ว..เนื้อความก็มีแต่ความอึดอัดในความเป็นเจ้า..และความรักที่มีต่อแม่หม้ายซิมปสัน.....วิวันดา)
และเป็นที่แน่นอนว่า..ไม่มีการเชิญ..ไม่ต้องมา..
ทางฝ่ายเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศจึงได้แนะนำทางออกแบบบัวไม่ให้ช้ำว่า..ทั้งดยุคและหม่อม น่าจะเดินทางไปไกลๆเช่นอเมริกา จะได้เป็นข้ออ้างที่ดีในการที่ไม่ได้รับเชิญ
แต่คำตอบก็กลับมาว่า..ไม่อยากให้ไป ก็จะไม่ไป..แต่เรื่องที่จะมาให้ไปอเมริกาน่ะ อย่าหวัง..ไม่ไปไหนทั้งนั้น..
ทางสำนักพระราชวังก็ตอบกลับไปว่า..ตามใจ..ถ้าไม่อยากไปอเมริกาก็ไม่ต้องไป..แต่ต้องบอกนักข่าวว่า..ได้รับเชิญจากทางพระราชวังแล้ว แต่ไม่สะดวกที่จะไปร่วมงาน..
ไปๆมาๆ..ทางท่านดยุคเพิ่งจะรู้ตัวว่า..ตัวเองไม่มีทางที่จะต่อรองกับสำนักพระราชวังแต่อย่างไร ยิ่งถ้าเป็นความประสงค์ของพระเจ้ายอร์จและพระราชินีด้วยแล้วยิ่งไม่
มีทางหือขึ้น..
เพราะ รายได้ของตัวเองและหม่อมที่มีใช้อยู่อย่างฟุ่มเฟือยก็มาจากความกรุณาในเบี้ยหวัดเงินปีจากแผ่นดินทั้งนั้น..อาจถูกยกเลิกไปเมื่อไหร่ก็ได้
ฉะนั้น..ทั้งท่านดยุคและหม่อม..จึงจำต้องเดินทางไปเยือนอเมริกาอย่างโดยดี
เรื่องการเชิญแขกยังไม่จบ..หลังจากที่พระราชินีได้ทรงตรวจทานดูรายชื่อแขกแล้วนั้น..พระองค์จึงต้องเชิญเจ้าชายพระคู่หมั้น ให้มารับคำสั่งขั้นสุดท้ายว่า
"เรื่องแม่ของเธอน่ะ..ฉันเข้าใจที่เจ้าหญิงได้เลือกทางเดินสายพระสายศาสนา..นุ่งเจียมห่มเจียม ถือสมถะมานานหลายปี แต่..เธอจะให้เจ้าหญิงแม่ของเธอมาร่วมในงานในชุดอย่างนั้นไม่ได้นะ เธอต้องไปจัดการให้ดูดี ในฐานะที่เป็นถึงแม่เจ้าบ่าว.."
(ในวันอภิเษกที่พระวิหารเวสต์มินสเตอร์ เจ้าหญิงอลีซได้ทรงแต่งชุดไปรเวทไหมสีสวย ที่มีทั้งพระมาลาและฉลองพระหัตถ์..และได้รับคำชมเชยจากพระราชินีว่า..งดงามเหมาะเจาะที่สุด นี่ละค่ะ การแต่งองค์แบบไปรเวทครั้งสุดท้ายของเจ้าหญิง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:45
|
|
งานอภิเษกนั้นเป็นสิ่งที่มโหฬารยิ่งเพราะทั้งพระเจ้ายอร์จที่หกและพระราชินีต้องการให้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่พร้อมริ้วขบวน มโหรีดุริยางค์ รถที่ประทับเทียมด้วยม้าถึง สิบแปดคัน อีกทั้งไพร่พลที่อยู่ในเครื่องแต่งกายแฟนซีสวยงามวาววับ เพื่อที่จะให้ประชาชนได้สัมผัสกับความโอ่อ่าตระการตาภายใต้ความร่มเย็นที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอีกครั้งหลังจากที่ต้องวิ่งหลบระเบิดกันมานาน
การเตรียมงานทั้งหมดต้องให้ลุล่วงสำเร็จในเวลาเพียงสี่เดือน นักออกแบบฉลองพระองค์ในชุดอภิเษกนั้น คือ Norman Hartnell ได้รับพระบัญชาจากเจ้าฟ้าหญิง ว่าพระองค์ต้องการชุดที่คลาสสิคและสวยที่สุด และนายฮาร์ทเนลล์ต้องทำการสาบานว่าเรื่องการออกแบบฉลองพระองค์นั้นจะต้องไม่ล่วงรู้ถึงหูนักข่าวอย่างเด็ดขาด.. ทุกอย่างต้องเป็นความลับ แม้กระทั่งยามตัดเย็บที่ต้องใช้ช่างเสื้อถึงยี่สิบห้าคน กระจกหน้าต่างทุกบานต้องทาสีขาว เพื่อพรางสายตาของนักอยากรู้อยากเห็น ทั้งๆที่หลังหน้าต่างนั้นยังมีผ้าม่านหนาปิดไว้อีกชั้นหนึ่ง.. ผ้าที่ใช้คือ ผ้าซาตินสีงาช้างอย่างดีพิเศษ มีการปักมุกและคริสตัลถึงกว่าหมื่นเม็ดจากฝีมือช่างปักอีกนับสิบๆคน
และในวันงานจริงๆ ต้องมีช่างคอยอยู่ถวายงานอีกสองคนเผื่อมีการฉุกเฉินในเรื่องฉลองพระองค์ที่อาจต้องมีการซ่อมแซม
ทั้งหมดนั้น ต้องไม่ลืมว่า ประเทศอังกฤษยังอยุ่ในภาวะวิกฤติ ประชาชนยังต้องใช้คูปองในการซื้ออาหารและเครื่องนุ่งห่ม ที่มีการจำกัดการใช้ให้คนละเท่านั้นเท่านี้ตามความจำเป็น แต่ในกรณีของงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ ..รัฐบาลได้ออกคูปองพิเศษนับพันๆใบให้กับเจ้าฟ้าหญิง มกุฎราชกุมารีอย่างไม่อั้น รวมทั้งเพื่อนเจ้าสาวทั้งแปดนางนั่นด้วย สิ่งที่ทำให้พระองค์ได้ตื่นเต้นมากที่สุดในจำนวนของขวัญที่ได้รับนั้นคือ ถุงน่องไนล่อนอย่างดีจำนวน 386 คู่ (เพราะในยามนั้น..หายากยิ่งกว่าทอง)
ในงานที่มีแขกชั้นระดับแถวหน้าอันรวมไปด้วย พระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีถึงหกประเทศ, เจ็ดเจ้าหญิง, หนึ่งเจ้าฟ้าหญิง,หนึ่งเจ้าฟ้าชาย,หนึ่งมหาราชา,หนึ่งมกุฏราชกุมาร,หนึ่งมกุฏราชกุมารี,เจ็ดท่านเคานท์, หกท่านผู้หญิง,สิบเอ็ดไวส์เคานท์, สิบสี่ดยุค,สิบเอ็ดดัชเชส, รวมไปแล้วนั่นหมายถึง งานนี้เต็มไปด้วยแสงเพชรแพรวพราวจากมงกุฏที่ประดับประดาอยู่บนศรีษะพวกผู้หญิงระดับเจ้านายถึงหกสิบเจ็ดอัน..
ดัชเชส แห่ง รัทแลนด์ ดูแพรวพราวกว่าใครเพราะใช้เข็ดขัดเพชรมรดกจากต้นตระกูลเอามาพันที่ศรีษะจนรอบ ท่านมหาราชาก็ใช้สร้อยคอที่ใหญ่เป็นแผงคลุมได้ทั้งหน้าอกที่มีทั้งเพชรและทับทิม ที่แขนก็มีกำไลรัดจากข้อศอกสูงจนไปถึงหัวไหล่ที่ทำด้วยมณีแซฟไฟร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:47
|
|
เพียงชั่วข้ามคืน..เจ้าบ่าวที่ในอดีตเคยมีรายได้แค่อาทิตย์ละแปดกินีส์จากเงินเดือนของนายทหาร กลายมาเป็นชายที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง ทั้งเงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ไพร่พล รวมทั้ง บ้านที่ตอนนี้ต้องเรียกว่าว่า พระตำหนัก..จนไปถึง มีปราสาทเป็นของตัวเอง
พระตำหนักที่จะต้องไปประทับนั้น คือพระตำหนักคลาแร้นซ์ ที่กำลังเร่งระดมซ่อมแซมตกแต่งใหม่ด้วยงบประมาณถึง ห้าหมื่นปอนด์ ส่วนปราสาทนั้น คือ ปราสาทที่ซันนิ่งฮิลล์ ปาร์ค ที่สำหรับใช้ไปพักผ่อนในเวลาว่างจากภาระกิจ
ในเช้าของวันอภิเษก..เจ้าชายต้องเข้าพิธีรับสถานาเป็นอัศวิน รับเครื่องอิสสริยาภรณ์สุงสุด (the Order of the Garter) โดยการคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้ายอร์จที่หกเพื่อที่จะรับการแตะที่บ่าทั้งสองข้างด้วยพระแสงดาบ ในฐานะของพระราชบุตรเขย.. พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงเตรียมการสถาปนาให้ครบทุกอย่างเท่าที่จะทรงคิดออกได้ในยามนั้น เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้พระธิดาได้มีพระสวามีที่มียศศักดิ์เสมอกัน
กว่าจะจบงาน เรือตรี ฟิลิป..ที่เพิ่งสละฐานันดรเจ้าชายแห่งกรีซไปหมาดๆ อีกทั้งเพิ่งจะเป็นสมาชิกของนิกายเชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์แบบสดๆ ใบประกาศเป็นสัญชาติอังกฤษที่ได้มา..น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง. ได้กลายมาเป็นเจ้าอังกฤษแบบนับตำแหน่งไม่ทันเพราะ ได้รับพระราชทานมาแบบห่าพิรุณ นั่นคือ Baron Greenwich, Earl of Marioneth, Duke of Edinburgh, Prince of Realm ตำแหน่ง.. Prince of Realm นั้นได้มีการชะลอไปจนถึง 1957 เพื่อที่จะต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาเสนาบดีอีกครั้ง เพราะว่า..ทันทีที่พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงประกาศให้ใช้คำนำหน้าพระราชบุตรเขยว่า HRH (His Royal Highness)นั้น ทำให้เริ่มมีปัญหา เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่บางคนได้ติงว่า.. ตำแหน่งที่ได้รับสูงสุดนั้น คือ ดยุค..และ ดยุค ไม่มีสิทธิที่จะใช้ HRH นำหน้า.. พระเจ้ายอร์จก็ได้ตรัสตอบว่า..ไหนๆก็จะเป็นพระสวามีของพระราชินีแห่งอังกฤษองค์ต่อไปแล้ว..ยังไงก็ต้องใช้อยู่วันยังค่ำไม่ว่าเมื่อนี้หรือเมื่อไหน ให้ไปซะเลย..จะได้จบ เรื่องจบราวกันไป พอมีลูกออกมา ลูกจะได้เป็นลูกเจ้าทันที ไม่ต้องเสียเวลามานั่งสถาปนากันอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:48
|
|
และเช้าวันอภิเษกนั้น..เจ้าบ่าวมีอาการเหมือนเป็นหวัดเล็กน้อย แต่ก็มากพอเป็นที่สังเกตุของใครต่อใคร เจ้าชายได้ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเพื่อนเจ้าบ่าว {David... 3rd Marquess of Milford Haven ญาติกัน เพราะ เป็นลูกของลุง..พี่ชายคนโตของเจ้าหญิงอลีซ }ซึ่ง มาเล่าให้ฟังที่หลังว่า "เมื่อคืนไปฉลองอำลาความเป็นโสดกันหนักไปหน่อย ฉลองด้วยยินโทนิค..เมาเละ.." ส่วน แลร์รี่ แอดเล่อร์ เล่าต่อว่า.. "ว่าที่เจ้าบ่าวหน้าเสียตลอดงาน เพราะ ถูกเพื่อนกระเซ้ากันหนักถึงเรื่องงานแต่งงานยกระดับครั้งนี้..เพราะว่า ได้ถูกสำทับด้วยนโยบายดัดสันดา..มาจากพระเจ้าอยู่หัวว่า..ต่อไปนี้ห้ามเด็ดขาดในเรื่องขับรถเร็วและเรื่องผู้หญิง" (เพราะในอดีตนั้น เจ้าชายเคยประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ บาดเจ็บเล็กน้อย แต่เป็นเพราะเกิดจากการขับรถประมาท จึงทำให้ภาพพจน์ออกมาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญในสายตาของนักข่าว)
ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้น เพราะว่าที่เล่ามาข้างต้นว่า เจ้าชายมีเพื่อนหญิงชาวฝรั่งเศสที่สนิทคนหนึ่ง ชื่อว่า เฮเลน ครอเดท์ อันความจริง เธอคือเป็นเพื่อนบ้านตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่รู้จักสนิทสนมกันทั้งครอบครัวตั้งแต่ย้ายมาจากกรีซ ตอนที่เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าหญิงอลีซพร้อมลูกเต้าต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านของญาติที่ชายกรุงปารีส.. และยามที่ เฮเลน แต่งงานครั้งแรกในปี 1938 เจ้าชายก็ทรงเป็นคนทำพิธีส่งมอบเจ้าสาว รวมถึงการรับเป็นพ่อทูนหัวของลูกทั้งสองของเธอด้วย
เบื้องหลังจริงๆ นั้น คือ พ่อแม่ของเฮเลนมีเชื้อสายเจ้านายกรีซ และเป็นคนที่ช่วยเหลือยามที่ครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ยามตกยากที่ฝรั่งเศส และเรื่องที่จะเคยมี"อะไรๆกัน" นั้น ก็เป็นเรื่องของอดีตเด็กหนุ่มสาวที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว คงเหลือไว้แต่ความเป็นฉันท์มิตร
หากแต่นักข่าวนิสัยไม่ดีบางคนก็ไม่ลดละที่จะพยายามขุดแคะขึ้นมาเป็นข่าวให้ได้ และนี่คือเหตุที่พระเจ้ายอร์จทรงเป็นกังวลต่อพระธิดาที่มาหลงรักกับชายที่ทรงคิดว่าช่างไม่เอาไหนอย่างเจ้าชายฟิลิป
แลร์รี่ เเอดเล่อร์ เพื่อนสนิทแบบรู้ลึกกันถึงตับไตใส้พุงของเจ้าชาย ถึงกับ..ต้องปลอบขวัญเพื่อนรักว่า.. "ไม่เอาน่า..อย่ากังวลไปเลย..เพราะยังไง ยังไง ก็ต้องเป็นความลับอยู่วันยังค่ำ ..ตราบใดที่"ซิปกางเกง"มันพูดไม่ได้ จะไปห่วงอะไรกันนักกันหนา..."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 23 ก.พ. 06, 07:49
|
|
มาถึงนี่แล้ว..งั้นขอเล่าแรกซะหน่อยนึง เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะเคยผ่านตา หรือระแคะระคายมาบ้าง..ก็จะได้กระจ่างกันตรงนี้ ว่า ในเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าชายนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพระบิดา - เจ้าชายแอนดรูว์ และที่เหมือนกันคือ ชอบประเภทหวือหวาแบบดาราและนักร้อง ข่าวคาวๆของพระองค์มีขึ้นบ่อยๆแบบคอลัมน์ซุบซิบ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ...จู่ๆก็มีนักร้องนางหนึ่งที่เคยมีข่าวว่า "ออกเดท"กับพระองค์ ลุกขึ้นมาประกาศว่า กำลังจะมีลูกแต่ไม่ยอมบอกว่า พ่อของเด็กคือใคร . เล่นเอาวงการแตกฮือ นักหนังสือพิมพ์ก็ขุดค้นกันแบบพลิกแผ่นดิน ความเดือดร้อนจึงมาถึงครอบครัวของเฮเลน และ ลูกชายคนโตของเธอ นามว่า แมกซ์ บัวโซท์ {Max Boisot} ที่ถูกนำขึ้นมากล่าวขวัญหนาหู จนเขาต้องออกมาประกาศให้ข่าวในปี 1989 ว่า.. "ผมเป็นลูกของพ่อของผม นาย มาเซล บัวโซท์ และมีภูมิลำเนาอยู่ที่ปารีสที่เราอยู่กันอย่างสงบ เรื่องข่าวลือที่ไร้สาระนั้น เป็นเพราะแม่และเจ้าชายเคยรู้จักและเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ..ก็เท่านั้น"
ส่วนเฮเลน..ได้ยอมรับว่า..เจ้าชายฟิลิปเป็นผู้ส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนที่ กอร์ดอนสตัน โรงเรียนเก่าของเจ้าชาย เพราะเธอไม่มีปัญญาที่จะส่งให้ลูกได้เรียนดีๆ และเป็นเพราะความเมตตาของเจ้าชายเอง ไม่ใช่เพราะว่า เขาคือลูกนอกสมรสตามข่าวแต่อย่างใด
ส่วนเพื่อนนักเรียนของแมกซ์ที่เคมบริดจ์ให้ข่าวในปี 1994 ว่า "เพื่อนๆนักเรียนต่างก็รู้ๆกันอยู่ว่า แมกซ์คือลูกคนหนึ่งของเจ้าชาย ฟิลิป ดูอย่างที่โรงเรียนกอร์ดอนสตันซิ นั่นก็เป็นโรงเรียนเก่าของใครล่ะ...พระโอรสองค์อื่นๆ เช่น ชารลส์ แอนดรูว์ และเอ็ดเวิร์ด ก็ไปเรียนที่โรงเรียนนี้กันทั้งหมด และที่น่าสังเกตุคือ เจ้าชายคือพ่อทูนหัวของแมกซ์ ถ้าคุณไปดูประวัติศาสตร์เก่าๆจะเห็นว่า..การรับเป็นพ่อทูนหัวของพวกเจ้านายนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกจริงทั้งนั้นแหละ"
ทางเฮเลน..ก็ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่..ก็หนีไม่พ้นกระแสของสื่อ อีกทั้งชีวิตในอาชีฟที่เป็นนักร้อง เธอจึงมักหนีต่อความเป็นจุดสนใจไม่พ้น ไหนๆก็ไหนๆ เธอเลยหาสตังค์ด้วยการเขียนหนังสือเล่าถึงสัมพันธภาพระหว่างเธอกับเจ้าชายขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า..Born Bewildered และ มีการเขียนข้อกระแนะกระแหนเล็กน้อยว่า... ที่ตัวเองไม่ได้รับเชิญไปในงานอภิเษก ก็เพราะเป็นเป้าหมายของการโจมตีว่าเป็นแฟนกับเจ้าชาย.. (ความจริงแล้ว..ที่เธอไม่ได้รับเชิญเพราะว่า..เธอคือแม่หม้ายหย่าสามี..ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามของกฏระเบียบวินด์เซอร์ต่างหาก)
ส่วนในปัจจุบันนี้...หลานสาวของเธอ มักเย้าเสมอๆว่า.. "ก็ยายเลิกตามไปแก้ข่าวซะทีเถอะ..ปล่อยให้คนเขาคิดกันไปเองแล้วกัน มันโก้หยอกอยู่เสียเมื่อไหร่ที่ใครๆต่างก็มองหนูว่าเป็นเชื้อพระวงค์ และเป็นถึงหลานเจ้า.."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 24 ก.พ. 06, 08:00
|
|
ยังอ่านไม่จบเลยครับ เดี๋ยวเย็นนี้สอบเสร็จผมจะมาอ่านต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายสายธาร
อสุรผัด

ตอบ: 10
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 24 ก.พ. 06, 17:26
|
|
มาลงทะเบียนเข้าอ่านด้วยคนครับ ว้า กำลังอ่านสนุกเชียว หมดซะแล้ว มารออ่านต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 07:39
|
|
มาต่อกันค่ะ ด้วยสำนวนแซ่บๆของคุณวิวันดา ***************** ขอเรียนให้ทราบอีกครั้งว่า เรื่องลอดลายฯ..นี้จะยาวมาก..เพราะจะเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นของราชวงค์ วินด์เซอร์ พระราชประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ จนถึงเรื่องส่วนพระองค์ในครอบครัวกับพระสวามี พระโอรส พระธิดา ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จนกระทั่ง...ถึงปัจจุบัน
ที่สำคัญคือ หลังจากที่น้องๆหลานๆได้อ่านเรื่องราวของชาววินด์เซอร์ทั้งหมดแล้ว ก็จะโยง..เล่าเกี่ยวกับเจ้าฟ้าชาย ชารลส์และเจ้าหญิงไดอะน่าอีกมุมหนึ่งอีกครั้ง.. คราวนี้..ทุกคนก็จะเข้าใจดีขึ้นว่า..กำแพงประเพณีและมณเฑียรบาลที่เจ้าหญิงไดอะน่าคิดอยากจะทะลายลงเพื่อให้เหลือแต่ครอบครัวเล็กๆของพระองค์ที่มีแค่สามีที่รักและคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจภรรยาเด็กสาวอย่างชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก และมีลูกๆที่นึกจะพาไปเที่ยวตามดิสนี่ย์แลนด์หรือสวนสนุกเหมือนอย่างชาวบ้านชาวช่องนั้น ...เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อีกทั้งภาพของกลุ่ม"คณะสูทสีเทา" ที่คอยเป็นตัวสกัดความรุ่งของสองศรีสะใภ้วินเซอร์ เจ้าหญิงไดอะน่า กับ เฟอร์กี้ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค จะเด่นชัดนั้น จนรู้ว่าพวกเขาคือใครเชียว..
ในการเรียบเรียงประกอบเข้าด้วยกันครั้งนี้..ตัวเองมองเห็นผลหลายทางที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ที่สนใจเรื่องการอ่าน กับกลุ่มผู้ที่สนใจเรื่องเจ้าๆนายๆ สำหรับกลุ่มแรกนั้น..จะได้เข้าใจภาพโดยรวมดีขึ้น ไม่ปล่อยให้"สื่อ" พาเข้ารกเข้าพง และ สำหรับกลุ่มที่สอง..ก็มีผลพลอยได้ที่จะได้รู้เรื่องความเป็นไปในบ้านเมืองและเจ้านายของอังกฤษหลังสงครามโลกจะได้ลองเอามาเปรียบเทียบกับบ้านเราดู..
อ้อ ขอเล่าแถมนิด ถึงเรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีแห่งตัวเองของนักการเมืองอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิลล์ .. คือเมื่อตอนที่หลังสงครามหมาดๆ อังกฤษก็ได้ถึงวาระการเลือกตั้งใหม่ ปี 1945 คราวนี้..เกิดการพลิกล๊อคอย่างจัง ที่เชอร์ชิลล์ ผู้ที่สามารถเอาชนะฮิตเล่อร์ได้นั้น..กลับไม่ได้แรงใจจากชาวประชาบริตัน...เขาไม่ได้รับเลือกตั้ง นายคละเม้นต์ แอททลี (Clement Attlee) พรรคกรรมกรได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน พระเจ้ายอร์จที่หกจึงได้ทำการปลอบขวัญโดยการที่จะประทานแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน พร้อมกับจะมอบเครื่อง ราชอิสสริยาภรณ์สูงสุด คือ the Order of the Garter แต่..วินสตัน เชอร์ชิลล์ ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เขากราบบังคมทูลว่า "ในเมื่อประชาชนได้สิ้นศรัทธาในตัวหม่อมฉัน..หม่อมฉันจึงไม่อาจคู่ควรกับเกียรติยศสูงสุดในครั้งนี้พะยะค่ะ" เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธจึงได้ตรัสขึ้นว่า.. "ถ้าคุณเชอร์ชิลล์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในยามที่ฉันเป็นพระราชินี..ฉันจะแต่งตั้งให้คุณเป็นอัศวินคนแรก.." พระองค์ได้ทรงทำตามสัญญาดังที่ได้ตรัสไว้ ในเดือน เมษายน 1953 ที่เชอร์ชิลล์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกอีกครั้ง..เขาได้รับการสถาปนาให้เป็นอัศวินคนแรกของพระองค์จริงๆ
และก็เพราะมันยาวหนักหนานี่แหละ..คนเขียนจึงพยายามเขียนให้ตัวเองสนุกในสำนวนที่ตัวเองถนัด..ไม่สามารถที่จะเขียนอย่างรายงานวิชาการได้ เพราะมันน่าเบื่อ หวังว่าคงเข้าใจและอย่าถือสานะคะ ถ้าเจอกับภาษาที่ออกแนวโจ๋ๆหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 07:52
|
|
เมื่อเทียบพื้นฐานที่มาของคนสองคนนี้แล้ว จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ ทรงเป็นสาวพรหมจารี เป็นพระธิดาของพระมหากษัตริย์ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ไม่เคยได้รับรู้โลกภายนอกมากนัก ไม่มีเพื่อน ไม่เคยไปโรงเรียนเยี่ยงเด็กธรรมดาสามัญ การรอบรู้ของพระองค์นั้นจัดอยู่ในแวดวงจำกัด ที่เชี่ยวชาญก็เห็นจะเป็นเรื่องของการสืบสายสันตติวงค์ กับการโยงญาติสายตระกูล ไม่ทรงสนพระทัยในเรื่องของวิทยาศาสตร์หรือการคำนวนมากนัก แต่ก็ทรงใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่ทรงโปรดเรื่องการใช้ภาษาเวียนวนของกวีต่างๆ และไม่ปลื้มกับผลงานของจิตรกรชื่อดังไม่ว่าคนไหนทั้งสิ้น อย่างเช่น..ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงเคยถามกับคนใกล้ชิดว่า.. "ดังเต้นี่..เป็นชื่อม้าพันธ์ไหนกันนะ {Dante คือ นักประพันธ์อิตาเลี่ยนชื่อดังในสมัยกลางที่ใครๆก็ต้องรู้จัก จากวรรณคดีชิ้นเอก The Divine Comedy}" และเมื่อมีคนทูลว่า ไม่ใช่ม้า พระองค์จึงถามต่อว่า "ไม่ใช่ม้า..งั้นก็คงเป็นจ๊อคกี้ซินะ" เพราะโลกของพระองค์นั้น..ถ้าต่างไปจากเรื่องม้าแล้ว..ทรงไม่สนพระทัยเลย..ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศมาก่อน นอกจากครั้งที่ไปอาฟริกาใต้นั้นคือ ครั้งแรก..
เจ้าฟ้าหญิงมักหวาดพระทัยเสมอยามที่ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เพราะพระองค์ไม่รู้ว่าจะต้องสานต่อการสนทนาไปได้อย่างไร ถึงกับเคยออกพระโอษฐ์กับครอว์ฟี่ พระพี่เลี่ยงว่า "ฉันกลัวจริงๆนะ เวลาที่ต้องนั่งติดกับใครก็ไม่รู้เวลาดินเนอร์งานเลี้ยงเนี่ย..กลัวว่าจะไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดกันถึงเรื่องอะไร"
ส่วนเจ้าชายฟิลิป..นั้นไม่ต้องพูดถึง พระองค์ได้รอนแรมเดินทางไปทั่วเจ็ดคาบสมุทร ด้วยกระเป๋าเก่าๆเพียงใบเดียว พูดจาโผงผาง ลื่นไหลไปได้กับทุกสถานะการณ์ การเล่าเรียนก็ผ่านมาหลายต่อหลายโรงเรียนจนมาจบโรงเรียนายเรือ เพราะความพูดจาตรงไปตรงมาของเจ้าชายฟิลิปนี่แหละ ที่เคยทรงยอมรับอย่างตรงๆ (ในตอนไม่กี่ปีมานี่) ว่า ความจริงพระองค์ก็มีความรู้แค่หางอึ่ง เมื่อคราวที่ทรงได้เสด็จไปรับปริญญาดุษฏีบัญฑิต กิติมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยนิวเดลลี ประเทศอินเดีย ว่า "ถ้าจะว่ากันจริงๆนะ ปริญญาที่มีอยู่ทั้งหลายแหล่ในบ้าน...ล้วนแล้วแต่เป็นปริญญารับแจกทั้งนั้น" พระองค์ได้มาขยายความต่อมา..ต่อหน้าเหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัย แห่ง เวลส์ ว่า.. "ในสมัยฉัน..บ้านเมืองไม่เคยสงบ มีสงครามติดพันมาตลอด การศึกษาได้หยุดชะงักไปในปี 1939 จนถึง ปี 1945 มันก็เลยขาดๆหายๆไป ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกที่ อยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสเพราะภาวะดังที่กล่าวมานี่แหละ"
(และเมื่อสองพระองค์ทรงเสด็จไปรับปริญญากิติมศักดิ์อีกครั้งที่มหาวิทยาลัย แห่ง ลอนดอน ไม่นานมานี้.. สมเด็จพระราชินีได้ทรงสุนทรพจน์ว่า..นี่คือรางวัลที่แสนมีค่า..ที่เราได้มาอย่างไม่คาดหวัง เพราะเราทั้งสองไม่เคยได้มีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเลย)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 25 ก.พ. 06, 08:03
|
|
ส่วนพระเจ้ายอร์จที่หกพระองค์เองก็มิได้ตระหนักใน"ความด้อย"ของพระธิดาในสิ่งเหล่านี้นัก เพราะจากข้อความด้วยลายพระหัตถ์ในสมุดไดอะรี่ส่วนพระองค์ ได้ทรงรำพันไว้ว่า "ถ้าลูกหญิงใหญ่ออกเรือนไป..ใครเล่าจะเล่นเกมส์เป็นเพื่อนกับพ่อ และวงดนตรี"เราทั้งสี่" ก้ต้องขาดนักร้องไปอย่างน่าเสียดาย"
ในงานวันอภิเษก..พระองค์ได้ทรงขยับลุกขึ้นเพื่อดื่มถวายพระพร โดยสายพระเนตรได้จ้องจับไปที่พระธิดาแต่เพียงจุดเดียว มิได้สนพระทัยในตัวเจ้าบ่าวเลย ทรงตรัสสั้นๆว่า "เพื่อความสุขของลูกหญิงใหญ่ที่รักของพ่อ" และในสองสามวันต่อมา..ได้ทรงพระราชเลขาไปถึงใจความว่า.. "ขณะที่พาลูกเดินไปในพิธีที่พระวิหารเวสต์มินสเตอร์นั้น..พ่อรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีความภาคภูมิใจนักที่ลูกของพ่อสวยและวางองค์ได้สง่างามอย่างเหลือเกิน ตลอดเวลาในการทำพิธี..ลูกได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องมิมีอะไรได้ขาดหายตกหล่น..ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้เห็นลูกหญิงของพ่อเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในคราวนี้ พ่อและแม่ดีใจยิ่งนักที่ลูกได้เข้าใจว่า การที่เราต้องให้ระยะเวลาพิสูจน์ความรักให้เนิ่นนานอย่างที่เป็นอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวลูกเอง ไม่ใช่เป็นเพราะพ่อหวงลูกสาวอย่างไม่มีเหตุผล อีกทั้งเป็นเพราะพ่ออยากให้ลูกได้ไปปฏิบัติภาระกิจที่พึงกระทำที่ อาฟริกาใต้ก่อน..ตามที่เราได้เคยคุยกันไว้ ครอบครัว"เราทั้งสี่"ของเรา ต้องรักกันให้เหนียวแน่นเข้าไว้นะลูก พ่อได้เฝ้ามองดูการเจริญเติบโตของลูกในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงที่วิเศษสุดในสายตาของพ่อ ทำให้พ่อมั่นใจเสมอว่า..ลูกหญิงใหญ่ต้องรักษา ราชบัลลังค์ให้มั่นคงสถาพร โดยมีฟิลิปอยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจ การแยกออกเรือนของลูกครั้งนี้..เราทั้งหมดได้รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตได้ขาดหายไป อย่าไปแล้วไปลับนะลูก คิดถึงและกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเราบ้าง .."
จากพ่อที่รักและยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก ปาปา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|