jomyutmerai
อสุรผัด

ตอบ: 51
ทำงาน
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 25 ม.ค. 06, 11:12
|
|
ไม่มีกรอบกรองคำก็งามได้ อยู่ที่ใครจะไปถึงซึ่งได้ที่ เมื่อสำนึกลึกซึ้งถึงบทกวี มีไม่มีฉันทลักษณ์ไม่รู้แล้ว
ลืมฉันทลักษณ์บ้างก็ได้ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศนิ
มัจฉานุ
 
ตอบ: 95
- The Ultimate Aim of Education is the
Development of Charactor -
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 25 ม.ค. 06, 11:53
|
|
สรุปว่า ทุกสิ่งต่างก็มีความสำคัญค่ะ อันดับหนึ่งคือผู้แต่ง มีใจที่จะแต่ง เรื่องราวที่จะนำมาแต่ง ตอนเริ่มแรกถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นเรื่องที่ผู้แต่งถนัด หรือเป็นเรื่องที่ผู้แต่งอยู่ในเหตุการณ์ค่ะ จะทำให้สามารถเข้าถึงอารมณ์และสามารถถ่ายทอดออกมาได้จริงๆ คือ ไม่ต้องปรับอารมณ์ให้เข้ากับกลอน แต่ มีอารมณ์ดังกล่าวนั้นๆ อยู่แล้ว แล้วจึงบรรยายออกมาเป็นบทกลอนค่ะ
ขั้นนี้คือ พิจารณาถึงความรู้สึกของผู้แต่งแต่อย่างเดียวนะคะ ยังไม่ต้องกังวลถึงความรู้สึกของผู้อ่านค่ะ ตอนที่แต่งขอให้ถ่ายทอดอารมณ์ผู้แต่งแล้วผู้แต่งเข้าใจก็เพียงพอ
อีกเรื่องคือเรื่องฉันทลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ในความคิดของดิฉันหากกลอนไม่มีฉันทลักษณ์ ก็ไม่ใช่กลอน แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเนื้อกลอนจะถูกกดโดยฉันทลักษณ์ไปเสียหมดนะคะ ดิฉันว่า ฉันทลักษณ์ก็เหมือนด้ายกับเข็ม คำทุกคำก็เหมือนดอกไม้ ในการร้อยมาลัย ผู้ร้อยก็สามารถประดิษฐ์ลวดลายได้แตกต่างกัน และผู้มองก็สามารถมองได้หลายแบบ หากด้ายขาด หรือเข็มหักเสียแล้ว จะเป็นมาลัยได้อย่างไรกันคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศรีปิงเวียง
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 25 ม.ค. 06, 18:16
|
|
บทนี้ผมลองแต่งมานะครับ ฟ้ามิแจ่มฟ้ามิแจ้งกระจ่างฟ้า ฟ้าหม่นหมองครึ้มมาทั่วธาตรี ฟ้าไร้แสงดวงดาราสง่าศรี ฟ้ามิมีแสงจันทราที่พึงชม แม้จะคอยกาลเวลาอันนานเนิ่น คืนนี้เกินที่ขอรอจึงขื่นขม จะมีใครที่ปลดเปลื้องอกอันตรม ทุกข์ระทมจึ่งจางหายไปจากใจ ป.ล. ผมนึกไม่ออกครับว่าจะแต่งอย่างไรอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ไม่เห็นใครแน่นอน
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 25 ม.ค. 06, 18:24
|
|
บทแรก เสียงคำสุดท้ายของวรรครับ (สามัญ) ควรสลับตำแหน่งกับนั่นของวรรครอง (สูง) ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศนิ
มัจฉานุ
 
ตอบ: 95
- The Ultimate Aim of Education is the
Development of Charactor -
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 25 ม.ค. 06, 20:14
|
|
เท่าที่สังเกตได้จากการอ่านบทประพันธ์ของหลายๆท่านนะคะ การแต่งกลอนแปด จะนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ในการลงท้ายแต่ละวรรค
วรรคสดับ มักลงท้ายด้วยเสียงเอก โท ตรี จัตวา พบเสียงโทมากที่สุด รองลงมาคือเสียงเอก ส่วนเสียงสามัญไม่ค่อยพบ วรรครับ มักลงท้ายด้วยเสียงโท จัตวา พบเสียงจัตวามากที่สุด วรรครองและวรรคส่ง มักลงท้ายด้วยเสียงสามัญ
ยกตัวอย่างจากนิราศพระบาทของสุนทรภู่นะคะ
.....พี่ตันอกตกยากจากสถาน.....เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ......พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว....ที่เค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม กินประทับแต่พอรับกับโรคลม....ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jomyutmerai
อสุรผัด

ตอบ: 51
ทำงาน
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 10:21
|
|
มีกลอนอยู่ชุดหนึ่งที่อยากให้ลองอ่านดูครับ
วิเวกหวานหว่านทำนองร้อยกรองกล่อม ทับกระท่อมโอฬารพิมานสรวง แจ้วจักจั่นเจื้อยราวหนาวลมลวง คืนดาวช่วงประชันฉายพรายเพ็ญจันทร์
ริ้วลมเหนือเอื้ออายห่มกายอุ่น เมฆละมุนมาคลอทอปุยฝัน น้ำค้างพร่างเพียงเก็จแพรวเพชรพรรณ สาดสีสันเสน่หาห้อมราตรี
โดยสายหมอกเส้นไหมไฟความหวัง คอยเหนี่ยวรั้งเติมรักเลือนศักดิ์ศรี ความเร่าร้อนฟ้อนเสน่ห์แห่งเทวี เหมือนฝนที่เทกระหน่ำพรำพรำมา
โอ้อกเอ๋ยเคยคู่กู่กระซิบ บรรทมทิพย์แทนเรือนทุกเถื่อนท่า เพลงสวาทวาบหวามยามนิทรา จนโหยหามิห่างร้างรื่นรมย์
เจ้านกเอี้ยงเอียงคอพ้อไพรพฤกษ์ รอลมดึกโชยมาแทนผ้าห่ม สบเนตรพริ้มเพียงแก้วแววตาคม มันบาดจมเปลือกใจคนใกล้เคียง
คัดคำสวยแต่งสีคีตลักษณ์ หมายใจจักบรรเจิดพริ้งเพริศเสียง บริบทรสคำร่ายจำเรียง ให้ฟังเพียงเพลินหู...อย่าดูความ
กลอนชุดนี้แต่งโดยสหายท่านหนึ่งของผมคือ คุณเวทย์
อ่านแล้วอยากให้ลองพิจารณาดูว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 15:15
|
|
หุหุ ขอต่อกลอนให้คุณศรีปิงฯคร้าบ
ฟ้ามิแจ่มฟ้ามิแจ้งกระจ่างฟ้า ฟ้าหม่นหมองครึ้มมาทั่วธาตรี ฟ้าไร้แสงดวงดาราสง่าศรี ฟ้ามิมีแสงจันทราที่พึงชม แม้จะคอยกาลเวลาอันนานเนิ่น คืนนี้เกินที่ขอรอจึงขื่นขม จะมีใครที่ปลดเปลื้องอกอันตรม ทุกข์ระทมจึ่งจางหายไปจากใจ....
เจ็บศรหักปักทรวงหน่วงหนักนึก ต้องตรอมตรึกตกตรองหมองหม่นไหม้ สุดคะนึงนุชนาสุดอาลัย เกินกลืนกลั้นฝันใฝ่ไม่คืนคลาย คงนานแล้วแก้วตาลาลืมพี่ เพราะเธอมีคู่ครองประคองหมาย แกล้งยั่วเย้าหยอกเอินให้เขินอาย ลวงให้ชายชอกช้ำระกำเอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 16:36
|
|
ขอตอบคุณถาวภักดิ์คนดี ไปไหนพี่ไม่แชทให้หายกังขา น้องเปิดเมล์เท่าไรเมล์ไม่มา สี่สัปดาห์เปล่าเปลี่ยวไม่เหลียวดู
อันคนเราขึ้นต้นไว้ไม่สานต่อ อย่ารั้งรอดักลอบต้องหมั่นกู้ แยปแล้วหนีเดินแว้บหายตายละตู น้องลุ้นอยู่รอไปก็ไลฟ์บอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศรีปิงเวียง
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 17:14
|
|
ประนตน้อมวอนกราบกรานท่านถาวศักดิ์ นักเลงนักกลอนแห่งเรือนไทยเอ๋ย กระหม่อมนั้นเลบงกลอนถึงทรามเชย แม้มิเคยมีคู่ครองตระกรองใจ อันตัวท่านจะแชทไปช่างท่านเถิด ข้าน้อยเอิดเถิดเทิงจะถอยให้ ตัวท่านนี้แต่งกลอนดีมาแต่ไร แต่งอีกไซร้คงจะมันม่วนงันดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ไม่เห็นใครแน่นอน
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 17:31
|
|
ยังล้อหลอกตอกย้ำเป็นซ้ำสอง ถูกจับจองเคล้าเคียงเรียบเรียงร้อย มีมิ่งมิตรสนิทหมอนเฝ้านอนคอย ไยแต่งถ้อยปล่อยเสน่ห์เป็นเล่ห์กล สนุกหรือแกล้งทำให้ช้ำแสน เหลือคิดแค้นแน่นจุกทุกข์โรมล้น ใจร้ายนักหักชายไห้ระทม ใกล้สิ้นลมสมจิตที่คิดทำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 18:09
|
|
ท่านศรีปิงมิ่งเมืองกระเดื่องชื่อ นามเลื่องลือยอดครูไม่รู้หนี ประคารมคมวิชาไม่ปราณี ทั้งปฐพีลี้หลบสยบสิ้น ขอรับเกียรติคำชมคารมหวาน ที่ทำทานผู้น้อยด้อยศาสตร์ศิลป์ จะน้อมนึกตรึกคุณเป็นอาจินต์ ย้อมชีวินชุ่มชื่นคืนกำลัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 18:51
|
|
รู้ว่าผิดแกล้งตัดพ้อป้อคำหวาน มัวทำการบ้านอื่นไงน่าใจหาย แกล้งกลบเกลื่อนรู้ทันสันดานชาย เบื่อหน่ายจับมัจฉาพลั้งทั้งสองมือ
อย่าทำซื่อแล้วตะแบงแสร้งตัดพ้อ ไม่มัวรอพี่แกล้งไก๋ทำไขสือ พลาดทางโน้นชม้ายเมียงเสียงล่ำลือ ไม่ใช่ชื่อยอดพธูหมูในอวย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภูมิ
แขกเรือน
ชมพูพาน
  
ตอบ: 196
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 11:16
|
|
ฟ้ามิแจ่มฟ้ามิแจ้งกระจ่างฟ้า ฟ้าไร้แสงดวงดาราสง่าศรี ฟ้าหม่นหมองมาครึ้มทั่วธาตรี ฟ้ามิมีแสงจันทราที่พึงชม
ลองสลับคำเล่นดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 11:48
|
|
เพิ่งมาเห็นมา 2 วรรคท้าย ดันสับสนใช้แม่กมแทนแม่กน ขอแก้หน่อยนะครับ เพื่อความถูกต้องของฉันทลักษณ์
ยังล้อหลอกตอกย้ำเป็นซ้ำสอง ถูกจับจองเคล้าเคียงเรียบเรียงร้อย มีมิ่งมิตรสนิทหมอนเฝ้านอนคอย ไยแต่งถ้อยปล่อยเสน่ห์เป็นเล่ห์กล สนุกหรือแกล้งทำให้ช้ำแสน เหลือคิดแค้นแน่นจุกทุกข์โรมล้น ใจร้ายนักหักชายไห้ทมทน ถึงปี้ป่นย่อยยับนับวันตาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 12:36
|
|
"....รู้ว่าผิดแกล้งตัดพ้อป้อคำหวาน มัวทำการบ้านอื่นไงน่าใจหาย แกล้งกลบเกลื่อนรู้ทันสันดานชาย เบื่อหน่ายจับมัจฉาพลั้งทั้งสองมือ อย่าทำซื่อแล้วตะแบงแสร้งตัดพ้อ ไม่มัวรอพี่แกล้งไก๋ทำไขสือ พลาดทางโน้นชม้ายเมียงเสียงล่ำลือ ไม่ใช่ชื่อยอดพธูหมูในอวย..."
อันใจพี่มีหนึ่งไม่พึงสอง ไม่คิดลองเปลี่ยนเตียงเพียงเห็นสวย ต้องงามพิศงามจิตจึงงงงวย งามพร้อมด้วยกริยาจึงกล้าชม อนิจจาเรือนร้างเพียงนางแก้ว ถึงเพริดแพร้วใสส่องทองประสม เหมือนกรงขังชังเหงาเศร้าซวนซม คงขื่นขมจมช้ำทุกค่ำคืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|