เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 08:52
|
|
ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมวงเพิ่มเติมความคิดเห็น ให้กระทู้นี้คึกคักขึ้นค่ะ ****************************** ต่อ พระสนมเหล่านี้หลากหลายมาก บางคนก็เป็นหญิงชาวบ้านสามัญ บางคนก็พอมีเชื้อมีสายผู้ดี บางคนเป็นชาววัง บางคนเป็นนางละคร บางคนไม่มีลูก บางคนมีลูกหนึ่งคนบ้างสองคนบ้าง มีคนเดียวที่มีมากถึง 6 คน พระเจ้าชาร์ลส์ทรงรับทุกคนเป็นโอรสธิดา ไม่ได้ปิดบังฐานะของเด็กเหล่านี้ เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ทรงตั้งโอรสธิดาให้มีบรรดาศักดิ์เป็นลอร์ดหรือเลดี้ แต่ว่าไม่มีใครได้เป็นเจ้าฟ้า เพราะถือว่ามารดาเป็นพระสนมนอกกฎหมาย พระบิดาไม่ได้ทรงสมรสด้วยสักคนเดียว พูดอย่างภาษาสามัญคือได้กันเฉยๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 09:02
|
|
ต่อไปนี้คือรายชื่อโอรสธิดาและพระสนมผู้มารดา
ขอแสดงความเห็นใจคุณนุชนาที่อาจจะต้องอ่านด้วยความปวดศีรษะอีกครั้ง
เพราะว่าพระเจ้าชาร์ลส์ทรงตั้งชื่อโอรสคนละแม่ ซ้ำๆกันถึง 4 คนว่าชาร์ลส์ เหมือนกัน
เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน ถ้าตั้งชื่อลูกชายคนหนึ่งว่าจอห์นแล้ว ก็จะไม่ตั้งชื่อลูกอีกคนว่าจอห์นอีก
แต่ท่านเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ซะอย่าง
ส่วนนามสกุล พระราชทานคำว่า ฟิตซ์นำหน้า เช่นฟิตซ์รอย ฟิตซ์ชาร์ลส์
คำว่าFitz แปลว่า ลูกชาย คำที่มาต่อก็บ่งบอกถึงเชื้อสายของเด็ก เช่น Fitzroy ก็คือ son of a king คือลูกพระราชา Fitzcharles คือ Charles' son ลูกของชาร์ลส์
นามสกุลขึ้นต้นด้วย Fitz นี้เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงสืบมาจากโอรสนอกกฎหมายของพระราชา
เชิญอ่านชื่อและนามสกุลบรรดาโอรสและพระสนมนอกกฎหมาย รายชื่อมีดังนี้ค่ะ
1) เจมส์ ครอฟท์ส์ (1649-85) ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งมอนมัธ มารดาคือลูซี วอลเตอร์ ที่เล่าให้ฟังแล้ว
โปรดจำชื่อนี้ไว้ เขามีบทบาทต่อมาในรัชสมัยต่อจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2
2) ชาร์ล็อตต์ ฟิตซ์รอย (1651-84) มารดาคือเอลิซาเบธ คิลลิกรูว์ เลดี้แชนนอน
3 ชาร์ลส์ ฟิตซ์ชาร์ลส์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ดอน คาร์ลอส (1657-80), ได้รับบรรดาศักด์เป็นเอิร์ลแห่งพลีมัธ มารดาชื่อแคทเธอรีน เพ็กก์ เลดี้กรีน
คาร์ลอสเป็นภาษาสเปน ตรงกับคำว่า ชาร์ลส์ในภาษาอังกฤษ ดอน คาร์ลอสก็คือท่านชาร์ลส์
4 แคทเธอรีน ฟิตซ์ชาร์ลส์ น้องสาวของหมายเลข 3
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 09:07
|
|
5 แอนน์ พาล์มเมอร์ ฟิตซ์รอย (1661-1722) มารดาคือบาร์บารา พาล์มเมอร์ หรือเคานเตสคาสเซิลเมน และดัชเชสแห่งคลีฟแลนด์ตามลำดับ โปรดจำชื่อพระสนมคาสเซิลเมนไว้ให้ดี เธอมีบทบาทโดดเด่นมาก 6 ชาร์ลส์ ฟิตซ์รอย (1662-1730), ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งเซาธ์แธมป์ตัน และต่อมาเป็นดยุคแห่งคลีฟแลนด์ 7 เฮนรี่ ฟิตซ์รอย (1663-90), ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งกราฟตัน 8 ชาร์ล็อตต์ ฟิตซ์รอย (1664-1718), ต่อมาเป็นเคานเตสแห่งลิชฟิลด์ 9 จอร์ช ฟิตซ์รอย 716), ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ 10 แมรี่ ทิวเดอร์(1668-1726) มารดาชื่อแมรี่ เดวิส 12 ชาร์ลส์ โบเคลิร์ก(1670-1726), ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งเซนต์อัลบันส์ มารดาเป็นนางละครชื่อดังของยุค ชื่อเนลล์ กวินน์ 13 เจมส์ โบเคลิร์ก น้องชายของหมายเลข 12 14 ชาร์ลส์ เลนนอกซ์(1672-1723), ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคแห่งริชมอนด์ มารดาชื่อหลุยส์ เรอเน เดอ คารูอาล ดัชเชสแห่งปอร์ตสมัธ
และมีอีก 1 คนที่ตายไปตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนหมายเลข 1 ไม่ต้องบอกชื่อดีกว่าค่ะ แยะพอแล้ว
จำนวนพระสนมที่ไม่มีโอรสธิดาด้วยกัน มีอีก 6 คน หนึ่งในจำนวนนี้เป็นพระพี่เลี้ยงสาวที่ลือกันว่าทรงมีความสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่พระชนม์แค่ 14 เท่านั้น ข่าวลือนะคะข่าวลือ ถ้าเป็นจริงก็ถือว่าเจ้าชายชาร์ลส์ทำให้วัยรุ่นยุค 2006 ชิดซ้ายไปเลย อีกหนึ่งเป็นนางพระกำนัลของพระราชินี
ทรงมีพระสนมพร้อมๆกันหลายคน ไม่ใช่ทีละคน พระสนมส่วนใหญ่ก็รู้จักมักคุ้นกันดีด้วยว่าใครเป็นใคร มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันตามประสาผู้หญิง
เวลาหมดแล้วสำหรับวันนี้ ขอต่อพรุ่งนี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชื่นใจ
ชมพูพาน
  
ตอบ: 136
นักศึกษาปริญญาเอก
University of East Anglia
England
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 26 ม.ค. 06, 17:39
|
|
เมื่อวันก่อนอิฉันอ่านหนังสือเรื่อง “เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก” ของคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา คุณตาของผู้ประพันธ์เล่าว่า เคยอยากเป็นเพชฌฆาตจึงเข้าไปฝึกอาชีพด้านนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี การตัดศรีษะนักโทษประหารทำกันกลางลานในที่โล่งแจ้ง เป็นเหมือนมหรสพ ที่ใครใคร่ดู ดูได้ตามอัธยาศรัย บ้างก็ยืนกอดอกดูอยู่รายรอบ บางคนอยากได้วิวดี ทัศนียภาพไม่มีอะไรบดบังก็ปีนต้นไม้ ซึ่งทุกกิ่งก็มีคนจับจองกันแน่น เมื่อเพชฌฆาตดาบหนึ่งพร้อม ก็กวัดแกว่งดาบตัดศรีษะจนกระเด็น เลือดสาดรายรอบ โดยมีเพชฌฆาตมือสอง คอยลงดาบซ้ำหากนักโทษคอไม่ขาด ยังมีเสียงเล็ดออกมา คุณตาเล่าว่าจังหวะที่คอกระเด็นเลือดสาดนั้น คนดูกรี๊ดดดดดด้วยความสยองขวัญ เหมือนที่อาจารย์เล่าใน ค.ห. ก่อนหน้าน่ะค่ะ พวกที่อยู่บนต้นไม้ บางคนต๊กกะใจ ตกลงมาจากคาคบ แข้งขาหักไปตามๆกันก็มี
เคยมีนักโทษประหารผัวเมีย คนผัวถูกฟันคอก่อน พอเมียเห็นเข้าจึงกรีดร้องทำให้เพชฌฆาตเสียสมาธิก็มี หลังจากนั้นการประหารนักโทษหญิงจึงซาลงไป หรือไม่ค่อยทำให้เห็นกันในที่สาธารณะ ส่วนศรีษะของนักโทษก็เสียบประจานให้ชาวบ้านได้เห็น จะได้หวาดกลัวอาญาแผ่นดิน
ที่อิฉันเขียนมายืดยาวเพื่อจะสื่อว่า ไม่ว่าการสำเร็จโทษประหารของเมืองใดยุคใด ก็โหดไปคนละแบบ แบบของพม่าว่าโหดแต่ยังมีถุงแดงอำพรางสายตา ไม่เห็นเลือดสาดซัดสักหยดลงธรณี ของอังกฤษกับไทยสยองกว่าพม่า เพราะนอกจากจะประหารแล้ว ยังเสียบหัวประจาน อุจาดตาเป็นยิ่งนัก ของอังกฤษ ตายไม่ตายเปล่า แต่ยังแฝงความทรมานในรูปแบบการแขวนคอให้เกือบตาย แล้วรีบเอาลง ให้แค่จวนเจียนตาย เฮ้อ..นึกแล้วทานข้าวไม่ลงจริงๆค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ติบอ
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 01:33
|
|
อาจารย์ครับ ภาพใน ค.ห. 46 เห็นถ้าจะเป็นตอนที่เรียกว่า beheaded ใช่ไหมครับ พอบั่นคอเสร็จแล้ว เพชฆาต (คำนี้สะกดอย่างไงครับ พจนานุกรมไม่มีครับ) ก็ใช้ปังตอคู่มือ เลาะบอดี้ให้เป็นสี่ส่วน (quartered) ถ้ารวมหัวด้วยก็เป็น 5 ส่วน แล้วนำแต่ละส่วน เสียบไม้ประจาน ผมว่าการชำแหละแบบนี้ใช้เวลาไม่กี่นาที ถ้าเป็นหมอพรทิพย์ในสมัยนี้คงต้องเป็นชม. นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 01:45
|
|
Pls don't forget to touch upon the fate of Cromwell Jr. duay ka.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 08:29
|
|
ตอบคำถามก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องต่อ 1)ตอบคุณชื่นใจและคุณติบอ ซึ่งคงไม่กลัวเรื่องต้อง diet มื้อกลางวันและเย็นหลังดูภาพประกอบ
ศัพท์ที่คุณชื่นใจยกมา ในความเป็นจริง ลำดับที่ถูกต้องคือ drawn,hanged and quartered แต่เขาเรียกสลับที่กันอย่างคุณเรียก
drawn = เริ่มด้วยนักโทษ(เป็นๆ) ถูกมัดมือลากไปตามถนน ด้วยม้า จะเป็นลากหลังรถม้า หรือม้าลากตรงๆก็ตาม เรียกได้ว่าถูกลากถูลู่ถูกังไปตามท้องถนน เนื้อตัวครูดหินดินทรายถลอกปอกเปิก hanged= พอถึงตะแลงแกงก็หิ้วร่างนักโทษขึ้นไปแขวนคอ แต่ระวังในการแขวนไม่ให้หัวตกห้อยมาข้างหน้าอันจะทำให้กระดูกคอหัก ตายเสียก่อน แขวนรัดกระเดือกให้ห้อยต่องแต่งทุรนทุราย แต่ไม่ตาย quartered = หลังจากแขวนไว้สักครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่ง ใกล้ตายแต่ไม่ตาย ก็ปลดร่างเอาลงมาผ่ากันสดๆ ด้วยกรรมวิธีคล้ายกับอาเฮียสับไก่บนแผงในตลาดสด คือผ่าอกแหวะตลอดถึงท้อง ควักไส้พุงออกมา แล้วสับแขนขาออกขาดจากกัน
คำว่า beheaded คือประหารด้วยการตัดหัวค่ะ คุณติบอ ดิฉันไม่ประสงค์จะเลื่อนเม้าส์ขึ้นไปดูรูปประกอบอีกเพราะเพิ่งจะกินข้าวเช้ามา อธิบายตรงนี้ละกัน เพชฌฆาต สะกดแบบนี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 09:09
|
|
กลับมาเล่าเรื่องต่อจาก ค.ห. 49
ถ้าถามว่าพระเจ้าชาร์ลส์ทรงมีพระราชินีไหม ก็ขอตอบว่า มี หลังจากครองราชย์ได้ 2 ปีพระองค์ก็อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง "แคทเธอรีน แห่ง บรากันซ่า" เป็นพระธิดาของพระเจ้าจอห์นที่ 4 เจ้าแผ่นดินโปรตุเกส
ขอคุยแบบแยกออกซอยเล็กไปอีกหน่อยนะคะ
เจ้านายสตรีและกุลสตรียุโรปในสมัยเก่ามีธรรมเนียมสมรสคล้ายๆผู้หญิงอินเดียอยู่อย่างหนึ่ง คือเธอต้องเป็นฝ่ายมอบสินสอดให้เจ้าบ่าว แทนที่จะเป็นแบบไทยที่เจ้าบ่าวต้องหาแหวนเพชรและสินสอดทองหมั้นมาขอลูกสาวจากพ่อตาแม่ยายไปครองคู่ มองในแง่นี้ เจ้าสาวไทยกำไรดีกว่าเยอะเลย ถ้าหากว่าเลือกคู่แบบเข้าตามตรอกออกตามประตู ไม่ใจเร็วด่วนได้ หอบผ้าไปอยู่กันเฉยๆ
สินสอดของฝรั่ง ที่ว่า เรียกว่า dowry (อ่านว่า ดาว-รี่) คือทรัพย์สินที่พ่อของฝ่ายหญิงกำหนดเอาไว้ให้ลูกสาวว่า นังหนูคนนี้จะได้สินส่วนตัวมากน้อยแค่ไหนติดตัวไปเวลาเธอแต่งงาน เมื่อเป็นคุณนายไปแล้ว ทรัพย์สินจำนวนนั้นก็จะตกเป็นของสามีเป็นผู้จัดการบริหารเงินทองต่อไป หรือเรียกกันตรงไปตรงมาว่า ต้องยกลูกสาวให้แถมเงินให้เจ้าบ่าวใช้น่ะค่ะ ดาวรี่เป็นสิ่งดึงดูดใจให้ผู้ชายพิจารณาเลือกเจ้าสาว ว่าจะขอแต่งงานกับคนไหน หรือจะไม่ขอคนไหนดี ดูจากเงินทองของเธอเป็นหลัก ฝ่ายผู้หญิงก็ดูด้วยว่าผู้ชายคนนั้นมีอะไรดีพอจะคุ้มดาวรี่ของเธอที่ต้องจ่ายให้ไหม เมื่อสมน้ำสมเนื้อก็ตกลงปลงใจกัน ที่จะแต่งงานกันด้วยความรักมีน้อย ที่เป็นได้คือยากจนกันทั้งสองฝ่ายเลยไม่ต้องคิดเรื่องเงินทองกันให้มาก
พ่อแม่บ้านไหนมีลูกสาวเยอะแต่เงินไม่ค่อยมี โอกาสจะได้ลูกเขยมีหน้ามีตา แทบเป็นไปไม่ได้ ถ้าได้ก็ต้องถือว่าเป็นโชคมหาศาล อย่างน้อยลูกสาวก็ต้องสวยประทับใจชาย คุณสมบัติและชื่อเสียงดีงามก็ต้องมีเพียบ จึงจะพอมีหวัง
ถ้าอ่านนิยายของเจน ออสเตนอย่าง Pride and Prejudice จะเข้าใจว่าทำไมแม่นางเอกผู้มีลูกสาวตั้ง 5 คนถึงเดือดร้อนในการเข็นลูกๆให้ออกเรือนกับผู้ชายฐานะดีหรือการงานดี หนุ่มแบบนี้หลุดเข้ามาในหมู่บ้านสักคนก็แทบจะต้องไล่คว้ากันทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 09:12
|
|
ถ้าเป็นลูกสาวเศรษฐี สินสอดก็อาจจะเป็นเงินจำนวนนับหมื่นหรือแสนปอนด์ หรือคฤหาสน์โอ่อ่าพร้อมที่ดินกว้างขวาง เป็นสิ่งล่อใจคุณชาย
ในสมัยศตวรรษที่ 19 เมื่อบรรดานักแสวงโชคยากๆจนๆ จากยุโรป เดินทางไปสานฝันในอเมริกา เกิดร่ำรวยกันขึ้นมา
เงินทองไหลมาเทมาจากการลงทุนอุตสาหกรรมบ้าง กิจการรถไฟบ้าง เหมืองแร่บ้าง อะไรพวกนี้
คุณพ่อและคุณแม่มหาเศรษฐีใหม่ก็จับลูกสาวผู้มีสินสอดเป็นแสนๆปอนด์ ข้ามแอตแลนติคมาแต่งงานกับขุนนางสูงศักดิ์แต่กระเป๋าแห้งในอังกฤษ
ผลดีเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ท่านลอร์ดท่านดยุคก็ได้'ดาวรี่' ของเจ้าสาวมาซ่อมปราสาทซึ่งทรุดโทรมเต็มที กับชำระหนี้ที่ติดค้างเจ้าหนี้มานานหลายปี
ฝ่ายหญิงสาวอเมริกันไร้สกุลรุณชาติ ก็ได้มาเป็นท่านผู้หญิงหรือคุณหญิง เฉิดฉายอยู่ในวงไฮโซของอังกฤษ
ในกรณีนี้ถ้าเป็นเจ้าหญิง สินสอดที่ติดพระองค์ไปก็อาจจะเป็นเกาะทั้งเกาะ หรือเมืองทั้งเมืองที่พระบิดาครอบครองอยู่
เกาะหรือเมืองนั้นถ้าเป็นเมืองท่าหรือเมืองอะไรที่มีผลประโยชน์งามๆ พระราชาที่ได้เป็นพระสวามีก็แฮปปี้ได้ดินแดนมาเพิ่มพูนเงินทองในท้องพระคลัง
ตัวเจ้าหญิงเองก็จะได้เป็นราชินีผู้ทรงเกียรติ แต่จะอยู่กันอย่างเป็นสุขหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องต้องคำนึงถึง การอภิเษกสมรสเป็นเรื่องการเมืองเต็มร้อยอยู่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 27 ม.ค. 06, 09:40
|
|
แหม..อาจารย์ค่ะ ดิฉันอยากให้ Cromwell Jr. ได้รับโทษแทนบิดาตัวเอง ที่ก่อกรรมขึ้นในสมัย the Protectorate บ้างน่ะค่ะ ใช่ว่าจะแค่โดนเนรเทศเท่านั้น
จำได้จากวิชาประวัติศาสตร์ว่าวิธี Hanged, drawn, and quartered นี้ King Edward ที่ 1 เริ่มใช้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1283 เพื่อลงโทษเจ้าชายแห่งเวลส์ อีก 20 ปีต่อมา ก็ใช้วิธีนี้ฆ่าผู้นำชาวสกอต ที่ต้องการปลดปล่อยแผ่นดินสกอตออกจากการครอบครองของอังกฤษ
พอแบ่งร่างออกได้ 5 ส่วน ก็เอาชิ้นส่วนไปเสียบประจาน 5 แห่ง เพื่อขู่ให้ผู้คิดก่อการ กริ่งเกรงอาญาแผ่นดิน ที่รุนแรงมาก แต่วิธีการลงโทษแบบนี้ปรากฎว่านิยมใช้กับนักโทษเฉพาะข้อหาทรยศ กบฎ หรือ ชักน้ำเข้าลึก เท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นว่าใช้กับอาชาญากรรมแขนงอื่นเลย ต่อมายกเลิกในสมัยพระนางวิคตอเรีย ซึ่งพระองค์มีพระทัยอ่อนโยนกว่า ไม่ประสงค์ให้ใช้วิธีการป่าเถื่อนเช่นนี้อีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|