“ชาววัง” ถือเป็นระดับชนชั้นสูงในสังคมไทยแต่โบราณ สามัญชนนอกรั้ววังมักมองภาพชีวิตความเป็นอยู่ของ “ชาววัง” ไว้เลิศหรูทั้งที่ความเป็นจริงความเป็นอยู่ของคนชาววังยังแบ่งออกเป็นหลายระดับชั้นด้วยกัน ชาววังชั้นสูงก็คือพระมหากษัตริย์ เจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งประสูติและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในรั้ววัง และเมื่อเจริญพระชันษาแล้วก็ยังประทับอยู่ในวัง
ส่วนชาววังชั้นสูงที่มิได้เป็นพระราชธิดาหรือผู้มีเชื้อสายเกี่ยวดองกับพระเจ้าแผ่นดิน ก็จะเป็นพวกลูกผู้ดีเชื้อสายขุนนาง ราชนิกูลต่างๆ ที่เข้ามาถวายตัวอยู่ในวังแล้ว แต่ว่าอยู่กับเจ้านายพระองค์ไหน ตำหนักไหน แต่ก็อยู่ในเขตรั้วกำแพงพระราชวังเช่นกัน ซึ่งชาววังที่ถือว่าเป็นระดับชั้นสูงนี้ หากเป็นเจ้านายชั้นพระราชธิดาและเชื้อพระวงศ์ราชนิกูลต่างๆ จะต้องศึกษาเล่าเรียนด้านอักษรศาสตร์ เพื่อสามารถเขียนหนังสือแต่งโคลงฉันท์ กาพย์ กลอนได้ นอกจากนี้ ยังต้องเล่าเรียนหัตถกรรม การฝีมือ การปักสะดึง การดอกไม้ การฝีมือด้านต่างๆ ด้านการอาหาร รวมไปถึงการดนตรี
ยังมีชาววังชั้นสูงอีกประเภทหนึ่งเรียกว่าเป็น “นางพนักงานประเภท 1” อาจะเป็นพนักงานชาวที่ พนักงานพระศรี พนักงานพระภูษา ผู้ที่ทำราชการนี้มักเป็นสตรีในวังชั้นหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ที่เคยรับราชการมาแล้วเมื่อรัชกาลก่อน ส่วน “นางอยู่งานประเภท 1” ผู้ที่ทำราชการประเภทนี้มักเป็นสตรีชาววังแรกรุ่นสาวๆ โดยจะทำหน้าที่เชิญเครื่องราชูปโภคหรือคอยตามเสด็จ ผลัดเวรกันอยู่บนราชมณเฑียรตามแต่เจ้านายจะใช้สอย
สำหรับชาววังชั้นกลางก็คือลูกหลานของคหบดีหรือขุนนาง อำมาตย์ที่รับราชการในวังและให้ลูกเข้ามาศึกษาในวังด้วย ชาววังระดับนี้ที่เป็นหญิงจะขึ้นตรงกับเจ้านายในวังพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ส่วนชาววังระดับล่างสุดเรียกว่า “โขลน” ส่วนผู้ชายเรียกว่า “ไพร่หลวง” ชาววังชั้นนี้จะผลัดเปลี่ยนกันเข้ารับหน้าที่ในพระราชวัง มีหน้าที่รักษาประตูวังหรือรับใช้งานต่างๆ
ชาววังในครั้งอดีตเมื่อถึงเวลาจะเข้าเฝ้าฯ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหากเป็นชายที่เป็นขุนนาง ข้าราชการมักไม่ใคร่ใส่เสื้อเข้าเฝ้าฯ แต่จะเข้าเฝ้าฯด้วยกิริยานอบน้อมโดยการหมอบคลานเข้ามากราบไหว้ ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ของตนอย่างสูงสุด จนมาเลิกระเบียบธรรมเนียมการหมอบคลานเอาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔-๕ เพราะมีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น
ประเพณีชาววังที่น่ากล่าวถึงอีกอันหนึ่งเห็นจะเป็นธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีในวังที่ถือเป็นกฎเกณฑ์สำคัญเวลาจะเข้าเฝ้าฯพระเจ้าแผ่นดินคือ ต้องแต่งองค์ด้วยผ้าลายและสะพักแพรที่ต้องมีสีสันตามวันอย่างถูกต้อง โดยต้องนัดหมายแต่งองค์ให้เหมือนกันทุกพระองค์ รวมไปถึง “หีบหมากเสวย” ที่เจ้านายสมัยนั้นทรงเสวยหมากกันก็จะนัดหมายให้ใช้หีบหมากเสวยเหมือนๆ กันทุกพระองค์ เช่น หีบหมากทอง หีบหูหิ้วรูปนาค ฯลฯ
ในส่วนของการแต่งกายมาจากสี่แผ่นดินเวลาขึ้นเฝ้าฯให้ถูกต้องตามวัน เป็นดังนี้
วันอาทิตย์ ทรงผ้าลายสีลิ้นจี่ ทรงสะพักแพรสีโศกหรือทรงผ้าสีเขียวใบไม้ ทรงสะพักสีทับทิม
วันจันทร์ ทรงผ้าเหลืองอ่อน ทรงสะพักแพรสีน้ำเงินหรือสีบานเย็น ทรงผ้าสีนกพิราบน้ำเงินหม่น ทรงแพรสีจำปาแดง
วันอังคาร ทรงผ้าสีม่วงอ่อน ทรงแพรสีโศกหรือผ้าสีโศก ทรงแพรสีม่วง
วันพุธ ทรงผ้าสีเหล็กหรือสีถั่วเขียว ทรงสะพักแพรสีจำปาอ่อน หรือ แก่ ทรงแพรสีเหลือง หรือสีแก่กว่า
วันพฤหัสบดี ทรงผ้าสีแสด
วันศุกร์ ทรงผ้าสีน้ำเงินแก่ ทรงแพรสีเหลือง
วันเสาร์ ทรงผ้าลายพื้นม่วง ทรงแพรสีโศก
วันพระ ทรงผ้าสีแดง ทรงสะพักแพรสีชมพู ผู้ที่จะนุ่งแดงได้นั้น จะต้องเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์เท่านั้น บรรดาข้าราชการ ข้าราชบริพาร หรือข้าหลวงชาววังต่างๆ ไม่สามารถนุ่งแดงอย่างเจ้านายได้เลย ส่วนวันที่ต้องไว้ทุกข์ก็จะทรงผ้าสีม่วง ทรงสะพักแพรสีนวลหรือทรงผ้าสีเขียว ทรงแพรสีม่วงอ่อนหรือม่วงแก่
ส่วน “ทรงผม” ชายหญิงของชาววังในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ก็ยังคงไว้ตามประเพณีครั้งกรุงศรีอยุธยาคือ เด็กก็ยังคงไว้ผมจุกทั้งชายและหญิง ผู้ชายไว้ผมมหาดไทย ผู้หญิงไว้ผมปีกมีเรือนผม แต่ในสมัยหลังเปลี่ยนเป็นตัดเกรียนรอบศีรษะ แต่ไว้ผมเป็นพู่ข้างหูสำหรับเกี่ยวดอกไม้ หรือเครื่องประดับทั้งสองข้างเรียกว่า “ผมทัด”
ทรงผมชายหญิงยุครัตนโกสินทร์ เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ โดยผู้ชายให้เลิกไว้ผมทรงมหาดไทย ให้เปลี่ยนเป็นผมยาว ฝ่ายผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก เปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวแทน โดยมี “เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าจอมมารดาแพ)” สนมเอกองค์แรกของรัชกาลที่ ๕ เป็นสตรีท่านแรกที่อาสาเปลี่ยนทรงผมปีกมาไว้ผมยาวตามอย่างตะวันตก และเพื่อสนองพระราโชบายของพระราชสวามี
แฟชั่นการไว้ผมยาวจึงเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในวังหลวง โดยมีเจ้านายฝ่ายหญิงในวังเริ่มไว้ผมยาวตามอย่างกันบ้าง แต่ต่อมาก็เลิกไว้ เพราะดูแลรักษายาก แฟชั่นนี้จึงเงียบหายไป
ที่มา
http://www.yingthai-mag.com/