เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 09 ธ.ค. 05, 00:23
|
|
ขอเล่าให้ฟังสำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเมืองหนาวแบบนี้ คืออาจจะเคยไปเมืองหนาวแบบอื่น คืออุณหภูมิอากาศ กับที่เรารู้สึกว่ามันหนาวแค่ไหน มันเป็นคนละเรื่องกัน
อุณหภูมิอากาศที่วัดได้ สมมุติว่า คือ 1 องศา ซ. แต่เขาจะมีอุณหภูมิแบบ feel like เตือนชาวบ้านไว้ให้รู้กันด้วย ว่ามันอาจจะเป็น - 10 องศา ซ. ก็ได้ เพราะอาจมีตัวแปรอื่นมาทำให้หนาวกว่าที่วัดได้ เช่นมีลมแรง มีหิมะในช่วงละลาย ตัวแปรนี้เองทำให้ผู้คนที่เดินยิ้มออกจากบ้านว่าหนาวแค่ 1 อาจจะหยุดยิ้ม เพราะเจอความรู้สึกว่ามันหนาวมาก ระดับ -10 อย่างหลังนี่แหละหนาวจริง
อย่างวันนี้ อุณหภูมิอากาศ เขาบอกว่าต่ำสุดแค่ -7 แต่ตอนนี้มัน feel like -19 เข้าไปแล้วละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Dominio
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 09 ธ.ค. 05, 09:15
|
|
เมืองมหาวิทยาลัย เช่น Greeley นี้ ช่วงซัมเมอร์ มันจะเหงาจับจิตเลยไหมค่ะ นึกถึง Campus center และ groceries ร้านรวงในเมืองบางแห่ง คงโหรงเหรงถนัดตา ยามนักเรียนกลับบ้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 09 ธ.ค. 05, 10:21
|
|
เมืองเล็กๆของที่นี่มักจะมีคนน้อยอยู่แล้วค่ะ ไม่คึกคักไม่ว่าฤดูไหน ชาวบ้านเขาอยู่กันเงียบๆ ความสนุกของเขาอยู่ในบ้าน ไม่ออกนอกบ้านอย่างคนไทย คนไทยที่ไม่เหงาก็คือจับกลุ่มรวมกันในหมู่นักเรียนไทย ถ้าใครอยู่คนเดียวก็เหงาหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 09 ธ.ค. 05, 23:40
|
|
 . I wanna say hello and give you a fun cartoon to brighten your BIG day. (Just away from home and no Thai fonts ka.) |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Dominio
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 10 ธ.ค. 05, 11:45
|
|
 . |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เนยสด
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 00:33
|
|
สวยงามมากๆ เลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เนยสด
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 00:42
|
|
ปีนี้ค่อนค่างแปลกครับ เชียงใหม่ยังไม่ค่อยหนาวเลย (+น้ำท่วม 4 รอบ) รักษาสุขภาพดีๆ นะครับ อ.เทาชมพู เห็นแล้วหนาวครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 03:40
|
|
 . |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 08:38
|
|
รูปงานรับปริญญาคงจะต้องคอยอีกหลายวัน เพราะว่าดิฉันไม่มีสายต่อจากกล้องเข้ากับคอมพ์ มันหายไปไหนไม่ทราบ ต้องไปซื้อเครื่องสำหรับเอาภาพในกล้องลงซีดี แล้วเปิดดูในคอมพ์ แล้วก็เซฟลงอีกทีก่อนจะมาย่อลงในกระทู้ ขั้นตอนยุ่งยากหน่อย
วาดภาพตามไปด้วยพลางๆก่อนนะคะ
งานรับปริญญาจัดในตอนค่ำ ทุ่มหนึ่งของวันศุกร์ที่ ๙ ปีก่อนๆ ในฤดูหนาว เขาจัดกันในซิตี้ฮอลล์ของเมือง แต่ปรากฏว่าญาติมิตรของบัณฑิตแห่กันมาเต็มล้นเนื้อที่ห้อง ปีนี้เลยย้ายมารับในยิมเนเซียมของมหาวิทยาลัยแทน
บรรยากาศงานรับปริญญาของคนอเมริกันไม่เหมือนไทย ของเรามีพิธีรีตองดูขรึมขลังเอางานเอาการมากกว่า ของเขาค่อนข้างตามสบาย ไม่มีพิธีมากเท่าเรา แต่จะว่าไม่มีเสียเลยก็ไม่ใช่ เขาก็มีพิธีของเขาเหมือนกัน
ค่ำวันศุกร์เป็นวันที่หนาวจัดวันหนึ่ง หิมะยังขาวโพลนกองอยู่ข้างทาง ไม่ละลาย สี่โมงครึ่งก็พลบค่ำแล้ว พอห้าโมงก็มืดสนิทเหมือนสามทุ่ม
ต้องฝ่าความหนาวเฉียบเย็นจมูกเย็นหู ไปที่ University Center ไปกินดินเนอร์กับ Board of Trustees และผู้บริหารมหาวิทยาลัย เขาเลี้ยงให้เป็นเกียรติในฐานะเป็นคนเดียวที่ได้ปริญญา(สาขา)นี้ในปีนี้ ที่ได้มา เรียกว่า Doctor of Humane Letters Humane อ่านว่า ฮิวเมน คนละคำกับ Human นะคะ
ดินเนอร์เสร็จ ก็ออกจาก U.C. ตรงไปที่ยิมเนเซียม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 08:46
|
|
ใครที่จบปริญญาตรี โท หรือเอกจากอเมริกาอาจจะเคยผ่านวันรับปริญญาในยิมเนเซียมมาแล้ว ขอฉายซ้ำอีกที เผื่อสำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็นน่ะค่ะ
เขาจัดเก้าอี้นั่งเอาไว้เป็นแถวหลายแถว เท่ากับจำนวนบัณฑิต วันที่รับมีแต่บัณฑิตปริญญาโทและเอก มีน้อยหน่อยไม่เกินร้อย ปริญญาเอกมีสิบกว่าคนได้ นั่งอยู่แถวหน้าสุด ส่วนปริญญาตรีที่มีเป็นพัน รับอีกวันหนึ่ง
ญาติมิตรครอบครัวเข้าเป็นสักขีพยานด้วยการนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ทั้งสองฟาก นั่งกันตามสบายตรงไหนก็ได้ ถ่ายรูปก็ได้ เวลาบัณฑิตที่เป็นคนในครอบครัวเดินขึ้นเวทีรับใบปริญญาบัตร ก็จะมีเสียงเชียร์โห่ร้องมาจากหน้าม้า บัณฑิตบางคนก็หันไปโบกมือหัวร่อร่าให้เสียอีก ไม่มีใครถือเป็นเรื่องผิด เป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 08:53
|
|
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เขาก็มีพิธีการ คณาจารย์เดินเรียงแถวเข้ามาในห้องประชุม พร้อมด้วยเสียงเพลงกระหึ่มเป็นสัญญาณ มีอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ถือคธาเดินนำหน้า ทุกคนสวมเสื้อครุยและหมวก และมีตัวแทนของแต่ละคณะ (college) ถือธงคณะเดินมาเป็นคู่ๆ ธงของเขาไม่ใช่ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโบกสะบัดพลิ้วไสวอย่างธงชาติ แต่เป็นผืนผ้าสี่เหลี่ยมยาวห้อยลงมาจากเสาสูงที่เขาถือมา หน้าตาเหมือนธงในหนังอัศวินยุคกลาง แล้วเดินขึ้นเวทีอย่างเป็นระเบียบ นั่งลงตามที่ที่เขาเขียนชื่อไว้ ต่อจากนั้นก็มีอาจารย์ที่สอนใน Music Department มาร้องเพลงเป็นต้นเสียงเพลงชาติอเมริกัน ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนให้ความเคารพ วางมือทาบบนหน้าอก บางคนก็ยืนเฉยๆ แต่ไม่มีใครไม่ยืน กรรมการสภามหาวิทยาลัย (Board of Trustees) ก็เริ่มกล่าวต้อนรับบัณฑิต และอธิการบดีกล่าวปราศรัย แนะนำ Guest Speaker ที่เชิญมาในการนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 09:15
|
|
Guest Speaker ที่รับเชิญมาแต่ละปี มีไม่ซ้ำคนกัน มหาวิทยาลัยเลือกจากบุคคลที่มีชื่อเสียง มีผลงานเป็นที่ยอมรับ หรือได้รางวัลดีเด่นอะไรสักอย่าง เพื่อมากล่าวสุนทรพจน์ แสดงความยินดี ให้กำลังใจและให้โอวาทกับบัณฑิต ปีนี้ G.S. เป็นบ.ก.หนังสือพิมพ์ใหญ่ของรัฐ เคยได้รางวัลด้านสื่อมวลชนมาแล้ว เป็นหนุ่มใหญ่ผิวสี บุคลิกดี ดูคล่องแคล่ว ช่างพูดช่างจา สังคมเก่งสมกับทำงานกับมวลชน ขอเรียกชื่อเขาสั้นๆว่าคุณเกร๊ก คุณเกร๊กสูงกว่าดิฉัน มากกว่าหนึ่งไม้บรรทัด เวลานั่งพูดกันยังต้องแหงนหน้ามอง ไม่ต้องพูดถึงเลยเวลายืน รู้สึกว่าอยู่แค่สะเอวแกเท่านั้น
คุณเกร๊กพูดไม่ยาวนัก ประมาณ ๕ นาทีกว่าๆ หรืออย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐ นาที เล่าถึงประวัติตัวเขาเองนิดหน่อยเพื่อโยงเข้าสู่ประเด็น คือการให้ข้อคิดบัณฑิตใหม่
ดิฉันสังเกตอยู่อย่างว่า คนอเมริกันเวลากล่าวสุนทรพจน์ มักจะขาดคำคม หรือ quotation เสียมิได้ เขาจะต้องอ้างอิงคำพูดคมๆของบุคคลสำคัญอยู่อย่างน้อย ๑ คน เพื่อเป็นการสนับสนุนประเด็นที่เขาพูด และอย่างที่สองคือคนอเมริกันเวลากล่าวอะไร มักจะออกมาในรูปของการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ฟัง ทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพ มีความสามารถที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือทำสังคมให้ดีขึ้นได้ด้วยจากศักยภาพนั้นๆ
คนฟังจะรู้สึกว่า มนุษย์นั้นมีคุณค่า มีประสิทธิภาพกันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะดึงเอาส่วนที่ดีของตนเองออกมาพัฒนาให้คุ้มค่ากับที่เกิดมาและได้เติบโตมาจนถึงวันนี้ เมื่อเกิดความภูมิใจในตัวเอง ก็เป็นแรงผลักดันให้ทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป เขาจะไม่ให้คิดเพียงแค่ทำตัวเองให้ดี แต่ทำตัวเองให้ดี...เพื่อทำสังคมให้ดี
คุณเกร๊กยกคำคมของนโปเลียนขึ้นมากล่าวว่า I was born to change the world. เขากล่าวต่อไปว่า บัณฑิตทุกท่านในที่นี้ก็สามารถพูดเช่นนี้ได้ ทุกคนสามารถตั้งปณิธานเช่นนี้ได้ และพัฒนาศักยภาพของตนเองไปสู่จุดนี้ได้ (คือจริงๆจะทำได้หรือไม่ได้มันเป็นอีกเรื่อง แต่การสร้างสำนึกว่าทำได้ ก็เป็นกำลังใจที่ดีว่า คนเรามิได้เกิดมา เพื่อไม่ก่อความเปลี่ยนแปลงใดๆแม้แต่จุดเดียวในโลกใบนี้ ถ้าเป็นยังงั้นก็ไปเกิดเป็นใบไม้ใบหญ้าเสียคงจะดีกว่า-ข้อเปรียบเทียบนี้ดิฉันเสริมเข้ามาเอง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Dominio
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 09:33
|
|
Doctor of Humane Letters แล้วตัวย่อจะเป็น DHL เหรอคะ แฮ่ๆๆ สาขานี้ไม่เคยได้ยินชื่อเลยค่ะ คำว่า humane พบตอนจะไปขอสุนัขมาเลี้ยง จาก Humane Society ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|