ปัจจุบันเราขาดหลอดไฟไม่ได้ฉันใด สมัยโบราณก็ขาดตะเกียงไม่ได้ฉันนั้นครับ
จะว่าไปแล้วตะเกียงนี้เป็น "ของนอก" นะครับ รูปแบบต้นๆ ของตะเกียงก็เป็นถ้วยดินขนาดเล็กๆ ใส่น้ำมันที่สกัดมาจากสัตว์ หรือ พืช หรือ จากหินแร่ จากนั้นก็ไส้ไว้จุดไฟ
ถ้วยดินแบบนี้ จากหลักฐานทางโบราณคดีนะครับ บอกว่าในประเทศเราเริ่มมีใช้กันอย่างน้อยที่สุดก็ต้องแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ก็สมัยที่ติดต่อกับอินเดียจนพัฒนามาเป็นวัฒนธรรมทวารวดีนั่นแหละครับ (จริงๆ อาจเก่ากว่านั้นอีกซัก สี่ ห้าร้อยปีก็ได้)
ถ้วยดินเล็กๆ นี้ มีศัพท์เฉพาะเรียกกันนะครับว่า "ตะคันดินเผา"
นอกจากตะคันดินเผาแล้ว ในสมัยทวารวดีก็พบว่ามีการใช้ "ตะเกียงดินเผา" ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกันที่มีใช้กันอยู่ที่อินเดียด้วยครับ อุปกรณ์ดินเผาทั้ง ๒ นี้ ดูจะเป็นเครื่องใช้ที่แพร่หลายมากในสมัยนั้นครับ
ส่วนโลหะหนะมีหรือเปล่า ? ก็ตอบว่ามีครับ แต่เป็นของ import เลย เพราะว่าเรายังไม่พบหลักฐานว่าเรามีการหล่อตะเกียงโลหะใช้กัน ตะเกียงโลหะ (สำริด) ที่นำเข้ามาก็เป็นตะเกียงแบบโรมันครับ พบไม่กี่ชิ้น คาดว่าคงเป็นสินค้านั่นแหละครับ
ตะเกียงโลหะ ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องใช้ที่นิยมกันในวัฒนธรรมกรีก-โรมัน แล้วลามมาถึงพวกอาหรับ และอินเดียด้วยครับ
ดังนั้น ตะเกียงวิเศษ ก็คือตะเกียงใส่น้ำมัน สำหรับให้แสงสว่างนั่นแหละครับ ส่วนการขัด ก็เป็นการทำความสะอาดธรรมดา ไม่มีอะไร เพราะว่าตะเกียงมักจะถูกวางทิ้งไว้นาน ก็ย่อมมีฝุ่นมาเกาะเป็นธรรมดา
ตะเกียงก็จัดได้ว่าเป็น generation หนึ่งของอุปกรณ์ให้แสงสว่างครับ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน เดิมเรามีหลอดไฟเหลืองๆ ก่อน ต่อมาก็มีหลอดนีออน ปัจจุบันก็พัฒนาไปเป็นพวกหลอดประหยัดไฟ ดังนั้น ตะเกียงก็คือสุดยอดอุปกรณ์ให้แสงสว่างในโลกยุคโบราณก็คงว่าได้ครับ
ลองไปดูรูปและเนื้อหาเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาได้ที่นี่ครับ
http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK22/chapter2/t22-2-l2.htmส่วนรากศัพท์ของคำว่าตะเกียงนั้น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เข้าใจว่า น่าจะมาจากภาษาจีนนะครับ ไม่น่าที่จะเป็นคำไทย ไม่รู้ทำไมถึงคิดแบบนั้นเหมือนกัน อาจเป็นเพราะไปเทียบกับคำว่า "ตะเกียบ" มั้ง อิอิ ตะเกียบ มาจากคำแต้จิ๋วว่า "เต็กเกี๊ยบ"
ใครทราบช่วยขยายด้วยครับ