เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
อ่าน: 81561 “พระนางมารี อังตัวเน็ต” เมฆหมอกแห่งฝรั่งเศส หรือ ผู้รักความสมถะสามัญชน และถูกใส่ความ
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 09:57


เพชร โฮป ของพระนางมารี อังตัวเน็ตต์  
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 10:03

 ข้อมูลเพชรเม็ดนี้เพิ่มเติม

เพชร "โฮป" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน

เพชรโฮป บนตัวเรือนจี้ล้อมด้วยเพชรสีขาว 16 เม็ด ห้อยอยู่กับสร้อยเพชร
ออกแบบโดย Pierre Cartier

 ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม

   ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668 ต่อมาใน ค.ศ. 1669 ตาแวร์นีเยขายเพชรให้แก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วยราคา 3,000,000 ปอนด์ เพชรโฮปนี้ได้รับการเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) และเป็นที่รู้จักในนาม "เพชรตาแวร์นีเยสีฟ้า" (The Tavernier Blue) เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส (The French blue) หรือเพชรสีน้ำเงินแห่งมงกุฎ (The Blue Diamond of the Crown)

   พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมอบเพชรให้แก่มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็กลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812

    บันทึกความทรงจำของจอห์น ฟรานซิลลอน (john Francillon) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอนเขียนไว้ว่า เพชรสีน้ำเงินหนัก 45-52 กะรัตได้ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1830 ที่อังกฤษ โดย เดเนียล แอเลียสัน (Denial Eligson) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอน เขาเปลี่ยนรูปแบบการเจียระไนเป็นรูปหมอนและขายให้แก่เฮนรี ทอมัส โฮป (Henty Thomus Hope) นักการธนาคารชาวอังกฤษ ดังนั้นเพชรสีน้ำเงินจึงได้ชื่อใหม่ตามชื่อของเขาคือ เพชร "โฮป"

   ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) ให้กับวิลเลียม แมกลีน (William Mclean) คนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์ และเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้

   โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ

   ใน ค.ศ. 1949 หลังจากที่ภรรยาของแมกลีนเสียชีวิตแล้ว แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา

   ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรในปัจจุบัน และมีผู้มาเยี่ยมชมหลายพันซึ่งหลงไหลในเพชรสีน้ำเงินไพลินและความแวววาวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีตำนานที่น่าสนใจ

ขอขอบพระคุณ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 10:17


smithsonian  
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:00

 มาเริ่มเรืองพระนางอลิซเบธครับ

พระนางอลิซเบธจะมีพระอุปนิสัยตรงกันข้ามกับพระนางมารี และชีวประวัติก็แตกต่างกันออกไปด้วย แถมยังเป็นพระราชินีที่ชาวอังกฤษรัก และเทิดทูนพระนางกันหมดทุกคน

เรื่องของพระนางเกิดขึ้นช่วงในสมัยประมาณก่อนสมัยพระมหาจักรพรรดิ์ไม่นาน

ถ้าเอาเมืองอยุธยา ไปเปรียบกับอังกฤษสมัยนั้น อังกฤษดูด้อยกว่าอยุธยาเป็นไหนๆ ตามประวัติศาสตร์แล้วสมัยอยุธยาจะไปเปรีบเทียบความเจริญ ความสวยงามของบ้านเมือง และภูมิประเทศได้กับกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในสมัยนั้น

แต่อย่างใรก็ตามชาวอังกฤษก็ทรงมีพระราชินีทรงพลานุภาพด้วยพระบารมี คุ้มครองให้ชาวอังกฤษรอดพ้นจากภัยในสมัยนั้นมาได้อย่างดี และพระราชินีผู้นั้นมีนามว่า"พระราชินีนาถอลิซเบธที่1"

ตอนนั้นสเปนนับเป็นมหาอำนาจที่น่าเกรงขาม เพรามีสำนักวาติกันสนับสนุน ด้วยกษัตริย์ทรงเป็นคาทอลิก ฉะนั้นก็มีเจ้าหญิง เจ้าชายแต่ละประเทศไปอภิเษกสมรสเอเป็นการกระชับสัมพันธไมตรี

ราชวงศ์ต่างๆทีได้ไปกระชับสัมพันธไมตรีในครั้งนั้นมีอยู่หลายราชวงศ์เช่น ราชวงศ์ฮัปสเบิร์กแห่งออสเตรีย ราชวงศ์กรีสตามารา แห่งคาสตีล โดยเฉพาะ"ราชวงศ์ทิวดอร์ แห่งอังกฤษ"

ค.ศ.1509 อันฟันตร้า คาทาร์สิน่า สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแห่งสเปน พระราชธิดาใน ค.ศ.1509 อันฟันตร้า คาทาร์สิน่า สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแห่งสเปน พระราชธิดาในพระเจ้าเฟอร์ดินัน ที่2 และพระราชินีนาถอิสเบลลาร์ที่1 ผู้เป็น"Cathoic kings"

ขอเล่าเรืองในสมัยพระเจาคาร์ดินัล แลพระราชินีนาถอิสเลลาร์ให้ฟังก่อน ในสมัยนี้ได้มีการสร้างโบสถ์ของโรมัน คาทอลิกขึ้นโดยถูกกฎหมาย และในสมัยนี้นี่เองที่พระนางอิสเบลลาร์ให้ชาวเป็นชาวอิตาลีท่านหนึ่งให้ไปสำรวจดินแดน และท่านนั้นมีชื่อว่า"คริสโตเฟอร์ ดคลัมบัส(Christopher Columbus 1451-1506) ราชินีอิสาเบลล่า(Queen Isabella)เป็นผู้ให้ทุนทรัพย์ในการเดินทาง

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส(Christopher Columbus )ซึ่งเป็นชาวอิตาลี ในปี ค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) โคลัมบัสได้เดินทางไปพบแผ่นดินใหม่ในฝากตะวันตก และอ้างว่าเป็นแผ่นดินใหม่ของประเทศสเปน โคลัมบัสคิดว่าแผ่นดินใหม่ที่เขาค้นพบนี้คือหมู่เกาะอินดีส ซึ่งในปัจจุบันหมายถึงสุมาตราในเอเชีย โคลัมบัสเข้าใจผิดคิดว่าเขาได้แล่นเรือถึงหมู่เกาะสุมาตราแล้ว จึงเรียกชาวท้องถิ่นที่เขาพบนี้ว่าอินเดียน และนี่คือที่มาของคำเรียกขานชาวอเมริกันพื้นเมืองหรืออินเดียนแดงในอเมริกานี้ว่า "อินเดียน/Indian"

ต่อมาในปี 1497AD(ย่อมาจากAnno Domini,meaning in the year of the Lord)จอห์น แคบอต์ ชาวอังกฤษได้เดินทางสู่ทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นการเริ่มต้นให้ชาวอังกฤษเดินทางมาตั้งหลักปักฐานจากการค้นพบในครั้งนี้ พวกที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่ และท้องถิ่นหรือโคโลนี่ทั้ง13 แห่งนี้ คือที่มาของประเทศสหรัฐอเมริกา

เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

พระนางอินฟันต้า ได้ถูกส่งตัวมาประสานสัมพันธไมตรี อภิเษกกับรัชทายาทแห่งราชวงศ์ทิวดอร์แห่งอังกฤษ คือเจ้าชายอาร์เธอพรินซ์ออฟเวลส์ และพระนางอินฟันต้าชาวอังกฤษเรียกพระนางว่า"คัธรีน ออฟ อารากอน"ดังในรูปนี้ รูปนี้เป็นรูปของ"คัธรีน ออฟ อารากอน"
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:14

 ไม่นานจ้าชายอาร์เธอร์ก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายเฮนรี่ที่8ได้เป็นองค์รัชทายาท และขึ้นครองราชในที่สุด

      พระเจ้าเฮนรี่ที่8 ทรงเอาราชินีหม้ายคัทรีนมาเป็นราชินี และทรงมีพระราชธิดานามว่า"สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแมรี่"

     แต่ไม่นานพระเจาเฮนรีที8 ได้ทรงหย่ากับหม้ายคัทรีน และถอดศเจ้าฟ้าหญิงแมรี่ เป็นนางแมรี่ธรรมดาสามัญชน และทรงอภิเษกสมรสใหม่กับแอนน์ โบลีน สาวน้อยเลือดเข้มข้นของอังกฤษ มีการศึกษาสูง

    ในค.ศ นั้นเองที่แอนน์ โบลีนตั้งครรภ์ โหราจารย์หลวงทำนายว่าจะได้พระโอรส ทำให้พระเจาเฮนรี่ที8 ทรงดีพระทัยยิ่ง แต่ท้าย โบลีนก็ประสูติกาลกลาเป็นพระราชธิดา "สมเด็จเจ้าพระหญิงอลิเบธ พระราชกุมารี"

    แม้พระเจ้าเฮนรี่ที่8ทรงเสียพระทัยไม่ได้ทำพิธีแบบติสให้เจ้าหญิงอลิธเบธ แต่อย่างใรก็ตามทรงรักเจ้าหญิงอลิธเบธมากกว่านางแมรีก็ล่ะกัน
   
นี่เป็นพระรูปพระนางแอน โบลีน พระรูปนี้หายาก
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:16


พระนางอลิธเบธเมื่อยังทรงพระเยาว์ พระชนมายุซัก14-15พรรษา  
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:23

 19 พฤษภาคม ค.ศ.153 แอนน์ โบลีน ถูกกล่าวหาด้วยข้อความอันฉกาจฉกรรจ์จนได้โทษประหารชีวิตเศียรขาดกระเด็นด้วยคมดามน่าสอง

ขอขั้นแบ็บนึงผมมีเรื่องผีๆที่เล่ากันดังมากทั้งในทีวี ในนิตยาสารเรื่องของผีพระนางแอนน์ โบลีน(โปรดใช้วิจารณยานในการรับฟัง)"หอคอยแห่งลอนดอนได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ชุมนุมผีที่มากที่สุดในอังกฤษ  ปี ค.ศ. 1864หอคอยแห่งลอนดอนได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ชุมนุมผีที่มากที่สุดในอังกฤษ

ปี ค.ศ. 1864 ขณะที่ทหารยามนายหนึ่งยืนเวรยามรักษาหอคอยอยู่นั้น  เขาเห็นสตรีที่มีผ้าคลุมศรีษะ ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า  แต่ที่น่าขนหัวลุกคือใต้ผ้าคุลมนั้นไม่มีหัวของเธออยู่แน่นอน ต้องเป็นวิญญาณของ  แอนน์ โบลีน  มเหสีองค์ที่ 2 ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งเคยถูกจับขังไว้ในหอคอยและถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดหัว "

ในคือรูปของหอคอยลอนดอนหรือ"Tower of London"ในอดีต
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:46

ขอแทรกแบ็บนึงครับ ขอประมวลภาพพะนางมารี อังตัวเน็ตต์หน่อยครับ มีเยอะมากเลย
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:48


...
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:49


@QQQ
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:50


3333
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:53


2222
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 12 ต.ค. 05, 11:55

 จบแค่นี้นะครับเยอะมากแล้วเดี๋ยวจะโหลดกันช้าเปล่าๆ
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 14 ต.ค. 05, 17:35

 ขอแก้เรื่องโมสาร์ท กับพระนางมารี อองตัวเน็ตต์ นิดหนึ่งครับ

      พระนางมารี อองตัวเน็ตต์เป็นคนที่ไม่ชอบอ่านในสือ จนพะชนมายุ13พรรษาก็ยังคงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติตนเลย

       พระองค์ชอบเฉพาะเรื่องการดนตรี แต่พระองค์ก็ไม่เคยเรียนอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย สิ่งที่น่าเสียดายทีสุดก็คือนักดนตรีหรือปราชญ์ดนตรีถือกำเนิดขึ้นในสมัยพระนางมารี เทเรซาทั้งนั้น ผู้นั้นก็คือ"โวล์ฟกังค์ อะมาเดอุส โมสาร์ท"

       เขามักถูกเชิญให้เข้ามาเล่นดนตรีถวายพระนางมารี เทเรซาบ่อยๆตั้งแต่พรชนมายุ 7 พรรษา จักรพรรดินีจึงถือโอกาสนี้แนะนำโมสาร์ทได้รู้จักกับธิดาพระนางมารี อองตัวเน็ตต์ และได้เรียนรู้การดนตรีในห้องดนตรีที่พระราชวังเชินบรุนน์ แต่พระองค์ก็มิค่อยสนใจซักเท่าใรอีกเช่นเคย
บันทึกการเข้า
vun
พาลี
****
ตอบ: 374


ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 14 ต.ค. 05, 17:43

 พระราชินีมารี อองตัวเน็ตต์ ผู้ได้รับการกล่าวขานว่าเสมือน
"กุหลาบแห่งแวร์ซาย" ผู้มีชีวิตหรูหรา อลังการ

จากสตรีผู้เป็นที่รัก เป็นที่ยกย่อง แต่ต้องกลับนำเธอไปสู่ " กิโยติน "

การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ หรือ เธอคือชนวนเหตุการณ์แห่งความสูญเสียครั้งนี้

นี่คือเรื่องราวที่ได้รับการจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
และระมัดระวังไม่ให้"ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

เพราะสุดท้ายแล้วสงครามและความรุนแรงก็มิได้เอื้อประโยชน์แต่อย่างใดนอกจากความสูญเสีย

ขอสันติสุขพึงสถิตย์กับมนุษยชาติตลอดกาล
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.052 วินาที กับ 19 คำสั่ง