ตอบคุณถาวภักดีครับ
เรื่องของ ศ.ยอร์ช เซเดส์ นี้ ผมว่า "ท่านตกเป็นจำเลยสังคม" ของพวกต่อต้านฝรั่งไปแล้ว เพราะถ้าได้มีโอกาสอ่านงานของ ศ.ยอร์ช เซเดส์ อย่างจริงๆ จังๆ แล้วจะเห็นว่าท่านวิเคราะห์หลักฐานอย่างเป็นเหตุเป็นผล "ตามแต่หลักฐานที่มีในสมัยท่านจะอำนวย" ดังนั้น จะกล่าวหาว่าท่านทำไปเพราะอิทธิพลทางการเมืองก็ไม่ถูกต้องนักนะครับ
คือท่านว่าตามหลักฐาน หลักฐานที่ว่าคืออะไร ก็คือพวกสิ่งก่อสร้าง และจารึกต่างๆ ที่พบในประเทศไทยนั่นแหละครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วจารึกที่มีอายุอยู่ในรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ จะเป็นจารึกภาษามอญโบราณ กับเขมรโบราณทั้งสิ้น และหลังจากพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ ก็ล้วนแต่เป็นจารึกเขมร ดังนั้นจารึกภาษาไทยจริงๆ แล้วก็มีมาแค่ ๗๐๐ ปีเท่านั้นนะครับ ผมเห็นว่าท่าน ศ. ยอร์ช เซเดส์ ก็สันนิษฐานตามหลักฐานที่ปรากฏ
ด้านนั้นหลักฐานมันชี้ให้เห็นว่า คนที่อยู่ที่นี่ ต้องเคยยอมรับในอำนาจเขมรมาก่อน
หลักฐานมันมีแค่นี้ แต่นักวิชาการท่านก็มีสิทธิตั้งข้อสมมุติฐาน ท่านตั้งสมมุติฐานว่า สุโขทัยแต่เดิมมา "น่าจะ" เป็นประเทศราชของเขมรมาก่อน เพราะว่า ตำนานก็มีเล่าไว้ว่าพระร่วงต้องส่งสวยน้ำ นี่คือ "ข้อสันนิษฐาน" นะครับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ที่ผิดคือ "ผู้รับข่าวสาร" คือ สักว่าแต่รับ แล้ว "เชื่อเป็นตุเป็นตะ" ไม่พิจารณา ที่ร้ายคือ "คนที่รับไปสอนเด็ก" ไม่บอกว่าเป็นเพียงแนวคิด แต่กลับยึดเป็นตำรา แตะต้องไม่ได้ ท่องจำไปซะ
นี่คือโชคร้ายของ ศ.ยอร์ช เซเดส์ ครับ ทำคุณ บูชาโทษ พวกที่หมั่นไส้นักวิชาการฝรั่ง (ซึ่งค้นคว้าเรื่องประเทศไทย มากกว่าคนไทยเอง หรือว่าใช้คำว่า "อิฉจา" ดี อิอิ) ก็ถือโอกาสโจมตี ศ.ยอร์ช เซเดส์ โดยไม่คำนึงว่า สิ่งที่ท่านคิดนั้น "เป็นแนวคิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้" ถ้ามีคนเก่งและกล้าที่จะเสนอ เท่าที่ผ่านมา ก็มีบ้างที่กล้าที่จะเสนอความคิดแบบใหม่ แต่ท่านเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่ "แขวะ" ศ.ยอร์ช เซเดส์ อยู่ร่ำไป สงสัยจังว่าทำไม

? ความอิจฉา หรือเปล่า อิอิ
ส่วนเรื่องทฤษฏีคนไทยมาจากอัลไต ไม่ใช่ของ ศ.ยอร์ช เซเดส์ นะครับ เป็นของ หมอด็อด ที่ได้เคยศึกษาตระกูลภาษาในแถบจีนตอนใต้ แล้วพบว่าคล้ายกับภาษาไทยมา เลยคิดมากไปหน่อยว่า คนกลุ่มนี้เดิมน่าจะมาจากแถบอัลไต หนีจีนมา ว่างั้น
"ก็เป็นข้อสมมุติฐาน" แต่บังเอิญพวกนักวิชาการไทยหัวใส ยุคเผด็จการคลั่งชาติ เห็นว่าทฤษฏีนี้เหมาะสมในการ "ปลุกปล้ำ" (อิอิ) ให้คนไทยเป็น "ชาตินิยม (ขี้นก)" ก็เลยนำมาขยายความกันเป็นตุเป็นตะ จนมี "นิทาน" ชื่อ "หลักไทย" ออกมาสู่สายตาประชาชน ยึดถือกันเป็นตำราหลายปี
ส่วนเรื่องอัลไต กับ น่านเจ้า ปัจจุบันถือว่า "จบ" ไปแล้วครับ เพราะว่า นักวิชาการจีนหลายท่าน ศึกษาทั้งทางภาษาและวัฒนธรรม สรุปว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนไตเลย เป็นคนคนละกลุ่มกัน
แล้วทำไมเรื่อง อัลไต มันฝังใจกันจัง

?
ก็เป็นเพราะว่าระบบการศึกษาไทยที่ไร้ประสิทธิภาพ คนทำเนื้อหาที่ไม่มีความเป็นนักวิชาการดี ยังคงมีการสอนทฤษฏีอัลไตกันอยู่ แต่บอกว่าเป็นทฤษฏีเก่า ก็แค่นั่น ถ้าให้ถูกคือ บอกนักเรียนไปเลยว่า ครั้งหนึ่งมีการสันนิษฐานที่ผิดไปจากความจริงว่า คนไทย มาจากอัลไต และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเผด็จการทหาร เพื่อส่งเสริมความเป็นชาตินิยม ตามก้นฝรั่งยุโรป อย่าง ญี่ปุ่น ฮิตเลอร์ และมุโสลินี นี่แหละครับ ไม่มีสอนกัน นักเรียนไทยจึงฝังหัวกับ "อัลไต ทฤษฏีเก่า" ก็แค่นั่น อย่างนี้เรียกว่า "ไม่กล้าแตะ"
ส่วนเรื่องศรีวิชัย ขอตอบตามความเห็นนี้ครับ
--- แม้แต่ศรีวิชัย ก็ยังแสดงความเป็นเซเดสจ๋า เรียกเป็นชวา ทั้งที่ปัจจุบันก็ชัดเจนขึ้นมากว่า ศูนย์กลางของศรีวิชัยควรอยู่ในเขตประเทศไทย ---
ถ้าได้ศึกษางานของ ศ.ยอร์ช เซเดส์ อย่างละเอียดแล้วจะพบว่า สาเหตุที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้นก็เพราะว่า หลักฐานทางโบราณคดี หลายๆ ประการ เช่น โบราณวัตถุ โบราณสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลาจารึกที่พบมากมาย กับทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับช่องแคบมะละกา ท่านจึง "ฟันธง" ว่าอยู่ที่บาเล็งบังครับ ไม่ใช่ชวา
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ ต้นราชวงศ์ของศรีวิชัยอาจมาจากชวา เพราะว่า มีพุทธสถานที่ใหญ่โตมาก เกินกว่าเมืองเล็กๆ จะสร้างได้ เมืองที่สร้างสิ่งก่อสร้างแบบนั้นได้ก็ต้องมีอำนาจมากในระดับภูมิภาคครับ
ส่วนในประเทศไทยนั้น มีนักวิชาการไทยหลายๆ ท่านพยายามชี้ว่าศรีวิชัย อยู่ที่ไชยา แต่หลักฐานที่นำมาสนับสนุนค่อนข้างอ่อนมากครับ ที่อ่อนคือ
๑. ศิลาจารึก ที่น่าจะเกี่ยวกับศรีวิชัย มีพบเพียงหลักเดียว แต่ในขณะที่สุมาตรา และชวา มีพบมากมาย
๒. ทำเลที่ตั้ง มาอยู่ทางอ่าวไทย ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงในการควบคุมการค้าทางทะเลตรงช่องแคบมะละกา
ถ้าเช่นนั้น ไชยา จะอยู่ในฐานะอะไร ? ผมมองว่าน่าจะเป็นประเทศราชหรือของศรีวิชัยครับ ทั้งนี้รวมไปถึงตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ด้วยเช่นกัน
นี่เป็นการมองโดยอิงจากหลักฐาน ไปหาผลนะครับ ไม่ใช่ ตั้งผล แล้วไปหยิบหลักฐานมาสนับสนุน
เรื่องศรีวิชัยนี้ยังเปิดกว้างครับ ถ้ามีหลักฐานใหม่ๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ส่วนความเห็นสุดท้ายที่ว่า
--- ขอจุดประกายให้ท่านที่สนใจใฝ่ศึกษาความเป็นมาตามความเป็นจริงของชนชาติไทไว้สั้นๆเท่านี้ หวังว่าก่อนตายจะได้เห็นหลักฐานที่แน่นหนา พร้อมการยอมรับอย่างกว้างขวางระดับโลก ในประวัติศาสตร์ของชนชาติไท-ลาว ที่สามารถลำดับย้อนหลังไปได้หลายพันปี ---
ผมก็ของหวังด้วยอีกคนครับ อิอิ ตอนนี้นักวิชาการบ้านเราก็ทำการศึกษากันเยอะพอสมควรแล้วหละครับ แต่ปัญหาคือ "ขาดการนำองค์ความรู้เหล่านั้น มารวมกัน" แล้วก็ "ขาดการนำเสนอข้อมูล ที่ง่ายต่อสาธารณะ" บ้านเราขาดอยู่ ๒ อย่างนี้แหละครับ แล้ว ผมก็คิดก็คงขาดต่อไปอีกนาน อิอิ