เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 26 ก.ย. 05, 09:48
|
|
แต่ก็ทรง "ลูบหลัง"ไว้ในตอนท้ายว่า
" แต่ถึงกระนั้นก็เป็นหนังสือที่ควรอ่าน เพราะนอกจากข้อผิดสำคัญนี้แล้ว นับว่าเป็นการก้าวหน้าอย่างหนึ่งสำหรับนักอักษรศาสตร์ไทย น่าเสียดายที่ม.จ.อากาศฯเลี้ยวทางผิด และทำให้งานอันน่าจะเป็นชิ้นสำคัญกลับกลายมาเป็นเสียไปดังนี้
แต่ถึงกระนั้น อย่าได้ทรงท้อพระทัย เราทุกๆคนเรียนจากการพลาดพลั้ง ถ้าถือเป็นตัวอย่างภายหน้าได้แล้ว อาจกลับเป็นประโยชน์ หนังสือนี้แสดงให้เห็นได้ว่าท่านเชี่ยวชาญในการผูกเรื่องสมมุติ ม.จ.อากาศฯ ต้องทรงลองนิพนธ์ใหม่อีก"
โปรดติดตามว่าม.จ.อากาศดำเกิง ทรงตอบว่ายังไงนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 28 ก.ย. 05, 11:31
|
|
เมื่อม.จ.อากาศดำเกิงทรงอ่านบทวิจารณ์นี้ ก็กริ้วพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์มาก ความกริ้วของท่านมีมากน้อยแค่ไหน และกริ้วในเรื่องใด เห็นได้จากบทนิพนธ์ที่โต้กลับมา
แค่อ่านย่อหน้าแรก ก็ "แรง" แล้วค่ะ
"ข้าพเจ้าอดรู้สึกขันไม่ได้ เมื่อได้อ่านคำวิจารณ์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์...ข้อวิจารณ์ตลอดเรื่องไม่เป็นสาระ ไร้เดียงสาอย่างทารก ประกอบด้วยคำกล่าวหาอย่างผิดๆ และแถมความโม้เย่อหยิ่ง"
ท่านอากาศฯ ทรงออกตัวว่าทีแรกท่านก็ไม่คิดว่าจะตอบ แต่บรรดาพระสหายคะยั้นคะยอให้ตอบ เพื่อ "ต่อสู้ป้องกันงานชิ้นหนึ่งที่เหล่าสหายได้ถือว่าเป็นงานอันมีเกียรติอย่างสูงยิ่ง ที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาในชีวิตของข้าพเจ้า" ท่านก็เลยทรงอนุโลมตามเพื่อน เพราะ " การทำตามใจเพื่อนคงเป็นการกระทำอันสุขุมยิ่งขึ้น หรือช่วยให้ความเขลาลดน้อยลง เพราะเราจะอยู่โดยไม่มีเพื่อนไม่ได้"
แล้วก็ทรงยกคำวิจารณ์ของพระองค์จุลฯ มาโต้เป็นข้อๆ ถ้าจะลงในนี้ก็ยาวเหยียดเกินไป ดิฉันขอยกตัวอย่างมาบางเรื่องเท่านั้น
"เสด็จนักวิจารณ์ของข้าพเจ้าได้ทรงแถลงกับท่าน ว่าข้าพเจ้า 'กำลังพยายามที่จะเป็นคนฉลาด' เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องพยายามที่จะฉลาด เพื่อจะแต่งหนังสือตั้ง 360 กว่าหน้า ข้าพเจ้าไม่มีใจจะปฏิเสธความจริงนี้
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพระองค์จุลเป็นนักศึกษาผู้เชี่ยวชาญ และหวังว่าพระองค์คงจะพยายามฉลาด วันหนึ่งทรงแต่งหนังสือให้บุคคลในสมัยของพระองค์ได้มีโอกาสได้รับการศึกษา"
แปลง่ายๆก็คือ ถ้าพระองค์จุลเก่งจริงก็ลองแต่งหนังสือดูบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 28 ก.ย. 05, 20:39
|
|
ขอเรียนถาม อ. เทาชมพูค่ะว่า ท่านอากาศฯ ได้ตรัสตอบแต่ละจุดที่พระองค์จุลฯ ทรงวิจารณ์มาบ้างไหมค่ะ เช่น
1) ประเด็นวิธีนิพนธ์อย่างนักแปลชั้นเลว ที่พูดถึงอวัยวะของสตรีเป็นต้องใช้ราชาศัพท์
2) ประเด็นที่ทรงใช้ตัวละครสมมุติและบุคคลจริงๆปะปนกันไปหมดทั้งเรื่อง ขอบพระคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 29 ก.ย. 05, 09:45
|
|
คุณ Nuchan ถามถึงตอนที่เรียบเรียงยากที่สุดในกระทู้นี้
คำถามข้อแรก ขอตอบว่า ท่านอากาศฯ ไม่ได้ทรงตอบประเด็นนี้ คำถามข้อที่สอง ท่านอากาศฯ ท่านก็ไม่ได้ตอบตรงๆอีกนั่นแหละ แต่ท่านยกเรื่องของพระยาจำนงฯขึ้นมาตอบว่า
" ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศญี่ปุ่น 4 เดือน รู้จักพระยาจำนงค์ฯพอที่จะรู้ว่าเจ้าคุณเป็นคนอย่างไร เสด็จนักวิจารณ์ของข้าพเจ้าไม่เคยสมาคมกับเจ้าคุณเลย เพียงแต่ได้จับมือกันอย่างเบาๆครั้งเดียวที่กรุงปารีส ข้าพเจ้าขอชมเชยความองอาจและกล้าหาญของพระองค์อย่างเต็มใจ ที่ได้ช่วยป้องกันคนซึ่งพระองค์ไม่รู้จัก ถึงอย่างไรก็ดี พระยาจำนงค์ฯได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว และหนังสือของข้าพเจ้าก็ได้ออกมาสู่โลกเพียงสองวันก่อนที่เจ้าคุณถึงแก่กรรม มันช้าเสียแล้วที่จะไปแก้ไขอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างลึกซึ้ง"
สรุปอีกทีก็คือท่านอากาศฯ ทรงชี้แจงว่า ท่านรู้จักเจ้าคุณจำนงค์ฯ ว่าเป็นคนอย่างไร (หมายเหตุ: ก็คือเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างน่าตำหนิ อย่างที่วิสูตรพูดเอาไว้ในนิยาย) ส่วนพระองค์จุลนั้นไม่รู้จักเจ้าคุณจำนงฯ แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกมาปกป้อง แต่ถึงท่านอากาศฯ จะยอมรับคำวิจารณ์ของพระองค์จุลฯ ในเรื่องนี้ก็สายเกินไปที่จะแก้ไข เพราะเจ้าคุณฯ ถึงแก่กรรมเสียแล้ว
ดิฉันก็มึนๆเหมือนกันว่าจะตีความคำตอบของท่านอากาศฯว่ายังไง ตามความเข้าใจของดิฉัน ท่านคงหมายความว่า บุคคลจริงๆที่ท่านเอ่ยถึงในนิยายมีพฤติกรรมยังงั้นจริงๆ ในโลกความเป็นจริง เพราะฉะนั้นถ้าพระองค์จุลฯจะสงสัยว่าวิสูตร (ซึ่งเป็นตัวละครสมมุติ) ประสบ หรือท่าน(ผู้เป็นบุคคลจริงๆ)ประสบมากันแน่ ก็ไม่เห็นต่างกันตรงไหน เพราะยังไงบุคคลที่เป็นเป้าหมายนั้นก็มีพฤติกรรมน่าตำหนิ อันเดียวกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 29 ก.ย. 05, 09:55
|
|
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมท่านระบุชื่อจริงของพระยาจำนงฯ แทนที่จะสมมุติให้เข้ากับเรื่องซึ่งเป็นเรื่องแต่ง
ท่านอากาศฯให้เหตุผลว่า
" ข้าพเจ้าต้องการให้นักเรียนไทยทุกคนที่อยู่ต่างประเทศเมื่อได้อ่าน "ละครแห่งชีวิต" แล้ว จะได้รู้จักที่ทางต่างๆที่ตนได้ไปถึง และให้รู้จักบุคคลที่เป็นผู้แทนชาติของตนด้วยว่าเป็นผู้แทนชนิดไร การทำเช่นนี้คงไม่เป็นความผิดทางอาชญาแน่นอน ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าเรื่องที่ข้าพเจ้าแต่งนั้นได้กระทำไปอย่างซื่อสัตย์ยิ่ง ข้าพเจ้าไม่มีใจร้ายต่อพระยาจำนงค์ฯเลย เหตุผลที่ข้าพเจ้ามีแต่เรื่องบกพร่องของพระยาจำนงค์ฯมาแต่งขึ้นนั้น ก็เพราะข้าพเจ้าต้องการที่จะทำประโยชน์"
ความเห็น: ถ้าเป็นภาษาหนังสือพิมพ์ยุคปัจจุบัน อาจจะตรงกับพาดหัวข่าวว่า "แฉเจ้าคุณ...." อะไรทำนองนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 29 ก.ย. 05, 20:16
|
|
ขอบพระคุณ อ. เทาฯ สำหรับคำอธิบายเพิ่มเติมค่ะ ดิฉันยังติดใจ 2 ประเด็นคือ เหตุผลแท้จริงที่ท่านอากาศฯใช้ราชาศัพท์กับสามัญชน และสื่อที่ท่านอากาศฯใช้โต้ตอบกับพระองค์จุล ว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้อ่านเสมอกันหรือไม่
หากจะวิเคราะห์ผู้ประพันธ์และผู้วิจารณ์ ดิฉันเห็นว่าทั้งสององค์เป็นคู่มวยที่ถูกลีก ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิที่เสมอเหมือน แต่เหตุที่ท่านอากาศฯเป็นเจ้าน้องของท่านหญิงชวลิตฯ อาจทำให้ทั้งผู้ประพันธ์และผู้วิจารณ์ มี เพอสันแนล ฟิวด์ ติดองค์มาบ้างก็เหลือจะคาดได้ อย่างไรก็ตาม ดิฉันตั้งข้อสังเกตว่า 1) ท่านอากาศฯ ทรงจำนนต่อเหตุผลว่าการปรักปรำพระยาจำนงค์ฯ ผู้ล่วงลับ เหมือนการเผด็จเป้านิ่ง เป็นการไม่ยุติธรรม ทั้งนี้ท่านก็ทรงเสียทัย แต่ก็มิอาจเยียวยาได้ 2) การที่ท่านอากาศฯ “แบ่งรับแบ่งสู้” ในการใช้ร่างสมมติของนายวิสูตร เป็นตัวเดินเรื่องและพาดพิงถึงตัวตนจริงของบุคคลอื่นๆ เป็นการยอมรับโดยปริยายว่าบทวิจารณ์ของพระองค์จุลเป็นจริง 3) จากเหตุผลหลายๆข้อที่พระองค์จุลหยิบยก เท่ากับทรงชี้เป็นนัยว่า ละครแห่งชีวิต “ยังไม่สมราคา” ในวัย 22 พรรษา ต้องนับว่าพระองค์จุลเป็นเจ้าชายนักประพันธ์อีกพระองค์หนึ่ง ที่ทรงวิเคราะห์วรรณกรรมได้แตกฉาน ชี้ชัด และไม่ไว้หน้า “หนังสือจะเป็นได้แต่เรื่องจริงหรือเรื่องสมมุติ จะเป็นทั้ง 2 อย่างพร้อมๆกันไม่ได้”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 30 ก.ย. 05, 14:04
|
|
คุณ Nuchan คะ ถ้าหากเป็นนักมวย เจ้านายทั้ง 2 องค์ก็นับว่า" หมัดหนัก" ด้วยกันทั้งคู่ และปล่อยหมัดกันสุดแรง ไม่ใช่แค่แย็บๆ ปัดๆป้องๆ ท่านอากาศฯ ไม่ใช่บุคคลประเภท "ขอน้อมรับคำติชมด้วยความขอบคุณ และจะนำไปปรับปรุงงานชิ้นต่อๆไปให้ดีขึ้น" ตรงกันข้าม ท่านสวนกลับมาด้วยความแรง( ไม่น้อยกว่าพระองค์จุลฯ หรืออาจจะมากกว่า) ตั้งแต่ต้นๆบทความแล้วว่า
"เขาได้เคยกล่าวกันไว้แล้วว่า ซึ่งผู้ยกตนเองว่าเป็นนักวิจารณ์วรรณคดีนั้นเกิดมาเพื่อรื้อทำลายของออกเป็นชิ้นๆ พวกนี้มิได้เห็นอะไรในธรรมชาติของมนุษย์นอกจากความผิด ดีแต่เห็นตนเองสำคัญนั่นแหละ เป็นลัทธิที่ร้ายกาจที่พวกดำรงชีวิตบูชาอยู่ ข้าพเจ้าต้องพยายามที่จะบอกอย่างแจ่มแจ้งให้ท่านฟังว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรกับคำวิจารณ์นั้น ดูช่างคล้ายกับการวางยาเบื่อสุนัขตามถนน อย่างที่คนได้จัดยัดสตริคนินเข้าไปในก้อนเนื้อซึ่งน่ากิน แล้วก็คอยจนกว่าเจ้าตัวเจ้ากรรมที่ได้เร่ร่อนอยู่ แวะเข้ามากินจากมือเช่นนั้น ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่านั่นเป็นอุทาหรณ์ซึ่งไม่สู้งามนัก แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะหาอุทาหรณ์ใดมาเปรียบเทียบได้เหมาะไปกว่าที่ได้ยกมาแล้ว"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 30 ก.ย. 05, 14:22
|
|
ส่วนคุณภาพของ "ละครแห่งชีวิต" ท่านอากาศฯ ประเมินงานของท่านด้วยความภูมิใจ น้ำเสียงของท่าน มีแววเชือดเฉือน อยู่ในความสละสลวยของการใช้คำ "เสด็จนักวิจารณ์สู้อุตส่าห์กล่าวว่าหนังสือของข้าพเจ้าใช้ไม่ได้ และหาว่าข้าพเจ้าเดินผิดทาง จึงเป็นเหตุให้งานที่สมควรได้รับความเชิดชูกลับเสียหาย บางทีพระองค์อาจจะกล่าวถูกก็ได้ แต่"ละครแห่งชีวิต" ได้พิมพ์ออกจำหน่ายในประเทศสยามสองครั้งแล้ว และครั้งที่ 3 ก็กำลังจะออกอยู่ไม่ช้า ขายได้ถึงสี่พันเล่มในท้องตลอด เป็นสถิติใหม่ของการขายหนังสือในประเทศสยาม ดีกว่าสถิติเก่าอย่างมากมายตั้งพันกว่าเล่ม ถ้าหนังสือใช้ไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็พอใจอย่างเต็มที่ อย่างน้อยข้าพเจ้าก็ยังได้รับความปลอบใจ และข้าพเจ้าก็สามารถกล่าวได้คล้ายๆกับท่านเชคสเปียร์ว่า แต่เพี้ยนกันเล็กน้อย คือท่านได้กล่าวว่า "การจากกันแม้นำความโศก ก็เป็นความโศกอย่างหวาน" แต่ข้าพเจ้าก็พูดได้ สำหรับเรื่องของข้าพเจ้าว่า "ความไม่สำเร็จเป็นความโศกอย่างหวาน"
ตอนท้าย ดิฉันขอขยายความอีกนิดหน่อยค่ะ คำพูดของเชคสเปียร์ ในตอนนี้ หมายถึงประโยคว่า Parting is such sweet sorrow มาจากเรื่อง Romeo and Juliet ขออภัยที่ต้องเอายาหม้อใหญ่มาให้คุณ Nuchan กินอีกแล้ว มันอยู่ในตอนที่โรมิโอปีนกำแพงสวนขึ้นไปสารภาพรักกับจูเลียตซึ่งอยู่บนระเบียงห้องนอน เป็นฉากรักเด่นที่สุดของเรื่อง หลังจากรำพันฝากรักกันจนจะจบฉากแล้วก็ถึงตอนอำลา พระเอกก็อ้อยอิ่งไม่อยากจากไปสักที นางเอกก็เลยกล่าวอาลัยอาวรณ์ว่า Good night, good night Parting is such sweet sorrow, That I shall say good night till it be morrow. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงแปลว่า ลาก่อน ลาก่อน อ้า! การลานี้โศกชื่นใจ จนน้องนี้ใคร่อยากล่ำลาจนอุษาสาง
ท่านอากาศฯ คงจะหมายความว่า หนังสือที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ดี(เทียบกับความโศก) แต่มหาชนกลับต้อนรับอย่างเอิกเกริกเป็นประวัติการณ์ (ความหวาน) ก็คือยังมีข้อดีในความไม่ดี แปลอีกทีก็คือ ท่านภูมิใจกับความเห็นของมหาชนที่ต้อนรับหนังสือของท่านด้วยดี แม้ว่ามีนักวิจารณ์โจมตีก็ตาม ถ้าเทียบกันแล้วใครผิดใครถูก สถิติการจำหน่ายย่อมประกาศได้เองในตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 30 ก.ย. 05, 22:41
|
|
อ. เทาฯ พูดถึง Romeo ตรงนี้ดิฉันก็พอนึกออกค่ะ เพราะบรรทัดที่ยกมาเป็นเพชรน้ำเอกที่มีชื่อเสียงในหมู่วรรณคดีด้วยกัน เหมือนกับ To be or not to be… ในเรื่อง Hamlet
จำได้ว่า Romeo และนางเอก พิรี้พิไร ร่ำลากัน กอดกันแล้วแยกจากก้น แล้วกลับไปกอดกันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า อาจารย์ทีสอนก็ใส่แอคชั่นตอนอ่าน ส่วนดิฉันก็ภาวนาว่าเมื่อไรจะจบเสียที ทั้งคู่ระล่ำระลักจนกระทั่ง Juliet หลุดวาทะหวานแหวว ถือว่าเป็นการพลัดพรากอย่างเจ็บปวด แต่ก็เปี่ยมสุขที่ทั้งสองได้นัดแนะ จะมาพบกันอีกในวันรุ่งขึ้น
กลับมาพินิจดูปูมหลังของท่านอากาศฯ ชีวิตที่ลุ่มๆดอนๆของท่าน สภาพบ้านแตกสาแหรกขาดของครอบครัว ความสำเร็จทางวรรณกรรมตั้งแต่แต่อยู่ในรั้วเทพศิรินทร์ แรงศรัทธาของผู้อ่าน อีกทั้งกำลังสนับสนุนของทูลกระหม่อมนครสวรรค์ฯ ที่ทรงประทานเงินทุนในการจัดพิมพ์ ทำให้ดิฉันพอเข้าใจเหตุแห่งความลำพอง ถือว่าท่านก็ทรงเป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกัน ดังนั้น ”พระเกียรติ” ที่ได้มานี้ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พอจะทดแทนส่วน ”ขาด” ได้ จึงทรงต้องปกป้องสุดชีวิต แต่การที่ทรงเปรียบเปรยงานวิจารณ์ของพระองค์จุลว่าเหมือนกับการวางยาเบื่อสุนัขและใจจดใจจ่อให้สุนัขมาติดกับ ดิฉันคิดว่าเป็นคำพูดที่เค้นมาจากสภาพจิตใจที่ร้าวราน เพราะในฐานะนักเขียนท่านทรงสามารถลิขิตชีวิตตัวละครจากร้ายให้กลายเป็นดี มีความสุขได้ แต่ชีวิตของตัวท่านเองทรงกำหนดไม่ได้
ตรงกันข้าม พระองค์จุลทรงมีชีวิตเหมือนจับวาง คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่กำเนิด ไม่ต้องหารสั้นหารยาวกับใคร ไม่มีไฟแค้นที่อัดอั้นในทรวง จะทรงวิจารณ์งานชิ้นใดก็ทำได้แบบตรงไปตรงมา เพราะในโลกเจริญที่แวดล้อมพระองค์ ไม่มีวรรณกรรมใดแตะต้องไม่ได้
ถึงตรงนี้ต้องรอให้ อ. เทาฯ เล่าต่อค่ะว่าคู่มวยเลียแผล เดินแยกย้ายกลับเข้ามุม หวังประลองแค่หอมปากหอมคอ หรือพระองค์จุลทรงรวบรวมพละกำลัง หวังปล่อยหมัดตรงตีโต้ในยกหน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 03 ต.ค. 05, 18:54
|
|
ขอย้อนไปถึงคำวิจารณ์ตอนท้ายๆของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงท้วงในอีกประเด็นหนึ่งของเรื่องว่า วิสูตร์ ไปเรียนที่อังกฤษเพียง 1 ปี แต่สามารถก้าวเข้าไปเป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ Times และอีกไม่ช้าก็ก้าวไปอีกขั้น คือได้เป็นคอลัมนิสต์ เขียนวิจารณ์บทละครพูด ตีพิมพ์ใน Times ทรงเห็นว่า "เป็นการหนักมือไปสักหน่อยกระมัง? อยากทราบว่าหนังสือพิมพ์ ไตมส์ ได้ยินเข้าจะว่ากระไร"
และทรงติงต่อไปว่า
"ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือพิมพ์ "ไตมส์" มาเสมอๆนานแล้ว แต่ไม่เคยยปรากฏเลยว่ามีผู้เขียนประจำซึ่งใช้นามแฝงชนิด "บ๊อบบี้" เช่นเดียวกับวิสูตร์ ก่อนจะแต่งถึงความภายในของหนังสือพิมพ์ ม.จ.อากาศฯ ควรจะทำพระองค์ให้คุ้นเคยแต่เพียงกับหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์เสียก่อนจะดี"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 03 ต.ค. 05, 18:55
|
|
ข้อนี้เห็นจะต้องเท้าความอีกว่า หนังสือพิมพ์ Times เป็นหนังสือพิมพ์สำคัญของอังกฤษ อ่านกันตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงสามัญชน ปัญญาชนก็อ่านกันมาก ดังนั้นนักข่าวหรือคอลัมนิสต์ ก็น่าจะเป็นประเภทมือระดับเซียน ถึงจะได้รับคัดเลือก หนุ่มน้อยอย่างวิสูตร์ เพิ่งมาจากตะวันออก เรียนได้ 1 ปีในประเทศอังกฤษ จะเก่งกาจถึงขั้นเป็นนักข่าวของ Times และภาษาดีถึงขั้นเป็นคอลัมนิสต์ประจำเชียวหรือ ถ้าหากว่าวิสูตร์เป็นตัวละครสมมุติ สมมุติให้เป็นนักข่าว Times มันก็ไม่สมจริง ถ้าหากว่าจะอ้างว่าเป็นเรื่องจริง พระองค์จุลฯ ท่านก็ไม่เคยพบว่ามีนักข่าวหรือคอลัมนิสต์ชื่อ "บ๊อบบี้" หรือคล้ายคลึงกันอย่างที่เอ่ยไว้ในเรื่อง เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่คิดว่าท่านอากาศฯ เป็นนักข่าวของ Times จริง ในนามบ๊อบบี้หรืออะไรก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 03 ต.ค. 05, 18:56
|
|
คำโต้ตอบของม.จ.อากาศฯ ในประเด็นนี้ ก็คือ "...พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงกล่าวว่าข้าพเจ้าเขลา ไม่รู้ละเอียดถึงเรื่องอันเป็นโครงสำคัญของหนังสือของข้าพเจ้า คือ การจัดพิมพ์หนังสือ เป็นการน่าสงสารมากที่เสด็จนักวิจารณ์ของข้าพเจ้าไม่แถลงให้พวกเราได้ทราบว่า พระองค์ทรงเข้าพระทัยหรือเปล่าว่าหนังสือพิมพ์คืออะไร ข้าพเจ้าอยากแนะนำให้พระองค์อ่านหนังสือของเซอร์ฟิลิพ กิบส์ แล้วพระองค์จะทรงรู้สึกว่าข้พเจ้าไม่เขลาอย่างที่พระองค์ได้คิดไว้
ส่วนประเด็นที่พระองค์จุลฯ ทรงชมเชย ละครแห่งชีวิต ท่านอากาศฯก็ทรงขอบพระทัย อย่างเชือดเฉือนตามแบบของท่านอีกครั้ง "ก่อนที่จะจบ ข้าพเจ้าจะไม่ลืมที่จะขอบพระทัยพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์อย่างเต็มอกเต็มใจ ที่ได้ทรงพอพระทัยในบทรำพันภาพต่างๆ ตลอดเรื่องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหวังว่าพระองค์จะได้กล่าวเช่นนั้นโดยซื่อสัตย์จริงๆ" จบ
คำถามของคุณ Nuchan ขอตอบคราวหน้าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 04 ต.ค. 05, 09:33
|
|
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงประหลาดพระทัยมากเมื่อได้อ่านคำตอบโต้รุนแรงของม.จ.อากาศดำเกิง เพราะทรงเห็นว่า สิ่งที่ทรงเขียนไปก็คือคำติชม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของวัฒนธรรมการวิจารณ์หนังสือ นักเขียนอังกฤษที่ผลิตผลงานออกมาสู่สาธารณชน ย่อมรู้ว่ามีสิทธิ์เจอการวิจารณ์ ไม่มากก็น้อย ถ้าไม่เจอคำชมก็เจอคำติ หรือเจอทั้งสองอย่างในบทความเดียวกัน ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครตอบเป็นเรื่องเอาเป็นเอาตาย ส่วนจะไปบ่นอุบอิบหรือฟ้องเพื่อนฝูง นอกเวที นั่นก็อาจจะทำกันได้ ม.จ.อากาศดำเกิงทรงทำงานในแวดวงหนังสือพิมพ์ที่อังกฤษ และข้ามไปต่อที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีวัฒนธรรมการวิจารณ์คล้ายคลึงกัน พระองค์จุลฯจึงไม่ทรงนึกว่า ท่านอากาศฯมีปฏิกิริยาราวกับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวกันระหว่างเจ้านาย 2 องค์ ก็เลยไม่ทรงกล่าวตอบอะไรอีก เรื่องก็จบกันไป (คืออย่างน้อยดิฉันก็ไม่พบว่าทรงวิจารณ์พระนิพนธ์ของม.จ.อากาศดำเกิงอีก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 04 ต.ค. 05, 09:35
|
|
ม.จ.อากาศดำเกิง ทรงมีผลงานที่รวมเล่ม 4 เล่มด้วยกันคือ ละครแห่งชีวิต ผิวเหลืองผิวขาว และรวมเรื่องสั้น ชื่อ วิมานทลาย และครอบจักรวาล นอกจากนี้มีพระนิพนธ์ภาษาอังกฤษชื่อ East or West คาดว่าส่งไปลงในหนังสือพิมพ์อังกฤษ แต่ตามรอยไม่พบ ในบั้นปลาย เมื่อเสด็จไปอยู่ที่ฮ่องกง ก็มีบทความภาษาอังกฤษอีกหลายบท แต่กระจัดกระจาย ไม่มีผู้รวบรวม จึงสูญหายไปตามกาลเวลา
มีประเด็นหลักอีกประเด็นหนึ่งในพระนิพนธ์ของม.จ.อากาศดำเกิง ที่น่าสนใจ คือภาพสะท้อน "เจ้าไม่มีศาล" ที่ปรากฏอยู่หลายครั้งในตัวละคร หรือแนวคิดต่างๆ กระจายอยู่ในผลงานหลายเรื่อง คำนี้ หมายถึงเจ้าที่ชาติกำเนิดสูง มียศศักดิ์ แต่ว่าไม่มีเงินทองพอจะพยุงเกียรตินั้นไว้ให้สูงสมฐานะ ความเป็นเจ้าจึงกลายเป็นภาระหนักอึ้งบนบ่า เป็นตัวประหลาดในสังคม เข้ากับใครไม่ได้ จะเข้าสมาคมเจ้านายด้วยกันก็ถูกปฏิเสธว่า "ต่ำเกินไป " จะอยู่กับสามัญชน ก็กลมกลืนกันไม่สนิท เพราะมีฐานะสูงศักดิ์เป็นสิ่งกีดขวางเอาไว้ ผลคือความขมขื่นคับแค้นที่ไม่อาจลบล้างได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33423
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 04 ต.ค. 05, 09:37
|
|
ถ้าจะถามว่า ทัศนะของม.จ.อากาศดำเกิง คือทัศนะของสังคมหรือว่าทัศนะส่วนตัว ดิฉันเห็นว่าเป็นทัศนะส่วนตัวของท่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "เจ้าไม่มีศาล" มีแต่ในความเห็นของท่านคนเดียว เจ้านายที่ยากจน ไม่อาจดำรงฐานะให้สูงส่งได้มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าเป็นหม่อมเจ้าพระองค์เจ้าแล้ว จะต้องมีวังหรูหราเหมือนท่านชายพจน์พระเอกของ"ปริศนา" เสมอไป เจ้านายที่ร่ำรวยโก้หรูอย่างนั้นอาจจะจำนวนน้อยกว่าเจ้าที่ไม่ร่ำรวยเสียอีก
ลองมาอ่านทัศนะของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงกล่าวถึงเจ้าที่ร่ำรวยและยากจนดูนะคะ "เป็นธรรมดา คนชอบดูแต่ความโอ่อ่าฟุ้งซ่าน และ bluffing (สิ่งที่หลอกให้ลวงตา)ยิ่งกว่าการที่เป็นอยู่จริง ฉะนั้น มนุษย์ที่เรียกว่า เจ้า จึงมักจะถูกหาว่ามั่งมีนัก และถ้าเจ้ามีแล้วก็ต้องแปลว่า ทำนาบนหลังคน ทำไมเรื่องเจ้าจนๆ จึงไม่มีใครเอามาปาฐกถากันบ้าง?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|