เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 27497 พระประวัติ (แบบเรียบเรียง) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ
N.P.
อสุรผัด
*
ตอบ: 19

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 19 พ.ย. 05, 10:26

 ขอบคุณครับ แต่ เอ่อ...สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ท่านก็เคยเป็นสามัญชนมาก่อน แสดงว่าคงต้องแตกต่างจากกรณีพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัชประการใดประการหนึ่ง ซึ่งผมไม่ทราบข้อแตกต่างนั้นจริงๆ อยากให้ขยายความในกรณีนี้ด้วย ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
Nuchana
สุครีพ
******
ตอบ: 979


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 19 พ.ย. 05, 14:05

 สมเด็จพระศรีนครินทรา ท่านเป็นสะใภ้หลวงค่ะ จำได้ว่าทูลกระหม่อมมหิดล (กรมหลวงสงขลาฯ)
ทรงขอพระราชานุญาตเสกสมรส จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
"สุขหรือทุกข์เป็นเรื่องของหม่อมฉัน" อะไรทำนองนี้

รอมืออาชีพเข้ามาช่วยตอบก็ดีค่ะ
บันทึกการเข้า
หยดน้ำ
ชมพูพาน
***
ตอบ: 146

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 20 พ.ย. 05, 13:25

 ครับก็อย่างที่คุณ   Nuchan   บอกอ่ะครับ  ฐานะของหม่อมสังวาย์  ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับจากราชสำนัก  แม้จะมีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชน  แต่ก็ไม่ได้เป็นลูกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป  เคยได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรีมาอย่างดีเมื่อถวายตัวเป็นข้าหลวงในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  กรมหลวงเพชรบุรีราชสิริธร  ทั้งยังมีความสามารถทางการศึกษาจนเป็นที่ประจักษ์  ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อตอนที่ทรงอภิเษกสมรสนั้น  รัชกาลที่  6  ก็ทรงเสด็จมาพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ด้วยพระองค์เองที่วังสระปทุมครับ

และในกรณีท่านพระองค์วรานนท์  ก็เป็นพระราชดำริส่วนพระองค์ของรัชกาลทื่  6  ทีทรงพระราชสิทธิ์และราชพระราชอำนาจที่จะเลือกนายพระองค์ใดก็ได้เป็นพระรัชทายาท  แต่เมื่อในสมัยรัชกาลที่  7  อาจจะทรงมองปัจจัยของผู้ที่จะเป็นพระรัชทายาทแตกต่างออกไปจากรัชกาลที่  6  เพราะพระองค์เองก็ได้แสดงพระราชประสงค์ไว้อย่างชัดเจนว่าพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ  เจ้าฟ้าฯ  กรมหลวงสงขลาฯ  ควรจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไปครับ

อ่อคุณ   Nuchan   เรื่องมรดกวังเพชรบูรณ์ผมเองก้ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก  ทราบแต่ว่าวังนี้เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ  สิ้นพระชนม์  วังเพชรบูรณ์ก็ตกอยู่หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร  ชายา  และทรงปกครองวังนี้ต่อมาจนสิ้นชีพิตักษัยครับ
บันทึกการเข้า
N.P.
อสุรผัด
*
ตอบ: 19

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 20 พ.ย. 05, 16:04

ขอบคุณครับ ทราบถึงตอนนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของทูลกระหม่อมติ๋วต่อจัง จะคอยติดตามอ่านนะครับ ขอมีส่วนร่วมด้วยการแทรกพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ครับ
บันทึกการเข้า
ศรีปิงเวียง
องคต
*****
ตอบ: 566

เรียนจบแล้ว


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 20 พ.ย. 05, 17:24

 ขอบพระคุณทุกความเห็นครับ
วันนี้ขอต่อจากความเห็นที่ 9 ครับ
พระนามเต็มของพระองค์ คือ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก สยามาธิปกปรมินทรจุฬาลงกรณราชวโรรส อดิศัยยศอุภัยชาติพิสุทธิ์ ไทวปายนุตมศักดิ์ อดุลยลักษณวิลาส มหามกุฎราชพงศานุพัทธ วิวัฒนผลพรพิสิษฐ มหิศรราชกุมาร
เช่นเดียวกับพระเจ้าลูกเธอพระองค์อื่น พระองค์ก็ทรงมีผู้อภิบาลพระองค์เช่นเดียวกัน ได้แก่
1. หม่อมใหญ่ (ในสมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ) เป็นพระนมในช่วงแรก ๆ และได้รับการยกย่องจาก ร. 5 ว่าทำให้พระวรกายสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชแย็งแรงขึ้น
2. พระนมอิน ศิริสัมพันธ์ (ธิดาพระยาอาหารบริรักษ์<พิน ศิริสัมพันธ์>)
3. พระพี่เลี้ยงมรกต ชูโต
4. พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน ทรงรับพระราชภาระในการอภิบาลพระองค์
ในช่วงต้น ๆ พระองค์ทรงประทับที่พระที่นั่งเทพดนัยนันทนากร ต่อมาเจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม ทูลไปรับถวายอภิบาลโดยประทับที่วังกรมพระยาเทววงศ์ฯ (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนราชินี) ครับ
ป.ล. ถ้ามีโอกาสก็จะเล่าเรื่องภายหลังพระองค์สิ้นพระชนม์ครับ
บันทึกการเข้า

ไม่เห็นใครแน่นอน
Dominio
ชมพูพาน
***
ตอบ: 128

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 10 ธ.ค. 05, 21:15


ตำหนักจุฑาธุช ที่เกาะสีชัง สถานที่ตากอากาศฤดูร้อน
บันทึกการเข้า
Dominio
ชมพูพาน
***
ตอบ: 128

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 11 ธ.ค. 05, 12:34

 ขอขยายความ ค.ห. 9
เผอิญอ่านพบจาก วาทะเล่าประวัติศาสตร์ เมื่อแรกเสด็จประทับ ณ พระราชวังดุสิต (1/12/48)...

จากนั้นจึงมีพระราชดำริสร้างพระที่นั่งเป็นที่ประทับถาวร เริ่มจากพระที่นั่งองค์แรก
ซึ่งโปรดให้รื้อพระที่นั่งไม้สักทองมันตธาตุรัตนโรจน์จากเกาะสีชัง ที่โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๓๕ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็พอดีเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ขึ้นเสียก่อน
ไม่สะดวกที่จะเสด็จเกาะสีชังอีก จึงโปรดให้รื้อมาสร้าง ณ สวนดุสิต พระราชทาน
นามใหม่ว่าพระที่นั่งวิมานเมฆ
บันทึกการเข้า
Nuchana
สุครีพ
******
ตอบ: 979


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 15 ก.พ. 06, 22:53


.
สะพานอัษฏางค์สะพานโรแมนติกแห่งเกาะสีชัง

เยือน"เกาะสีชัง" ยลมนต์ขลังถิ่นประวัติศาสตร์
 http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9490000020909  
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 21 ก.พ. 06, 10:19

 ขออนุญาตแสดงความเห็นแย้งความเห็นข้างต้นครับ

เรื่องลำดับการสืบสันตติวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 6

สายสมเด็จพระพันปีหลวง

รัชทายาทลำดับที่ 1 สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทิวงคต

รัชทายาทลำดับที่ 2 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลก กับหม่อมคัทริน แต่เมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชกฤษฎีกาตั้งพระรัชทายาท ได้ทรงให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกฯ ปฏิญาณว่าจะไม่ยกพระองค์จุลฯ เป็นรัชทายาท พระองค์จึงทรงถูกข้ามไป (หาอ่านได้จากหนังสือ)

ตรงนี้ข้อแย้งครับ  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ไม่เคยถูกกำหนดไว้ในลำดับวืบราชสันตติวงศ์เลยครับ  เพราเหตุมีมารดาเป็นนางต่างด้าว  ในประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระราชบันทึกไว้ว่า เมื่อจะทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นรัชทายาทเมื่อต้นรัชทายาทนั้นได้ทรงให้ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณไว้ว่า จะมิให้พระโอรสคือ พระองค์จุลฯ ทรงรับรัชทายาทต่อไป

หลักในการสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากรัชกาลที่ ๕ ลงมานั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ในประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ว่า  เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๔ พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น  ได้พระราชทานพระราชกระแสว่า ให้ทรงรักษาไว้  เมื่อพระชนม์ชีพหาไม่แล้วให้ตกไปสู่พระอนุชาร่วมพระราชชนนี คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุรังษีสว่างวงศ์ ตามลำดับ  และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๕ ก็มีพระราชดำริที่จะพระราชทานแก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร  แต่เผอิญสมเด็จพระบรมฯ พระองค์ใหญ่สวรรคตเสียก่อนจึงมิได้โปรดพระราชทานแก่พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใด  จนเมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจเฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร คือ รัชกาลที่ ๖ เสด็จกลับจากอังกฤษ (หลังจากที่พระบรมฯ พระองค์ใหญ่สวรรคตแล้ว ๘ ปี)  จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระชัยนวโลหะนี้แก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ พร้อมกับมีพระราชกระแสดำรัสสั่งให้ตกทอดไปในสายของสมเด็จพระพันปีหลวงจนกว่าจะสุดแล้วจึงส่งกลับคืนสู่พระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๔  ด้วยพระราชประเพณีและพระราชกระแสดังกล่าว  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงวางลำดับพระรัชทายาทไว้ตามเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รักษาพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๕ ตามเกณฑ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ทรงกำหนดไว้  (โปรดอ่านรายละเอียดในประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ อีกครั้งครับ)

เรื่องมรดกวังเพชรบูรณ์ผมเองก้ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก ทราบแต่ว่าวังนี้เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ สิ้นพระชนม์ วังเพชรบูรณ์ก็ตกอยู่หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร ชายา และทรงปกครองวังนี้ต่อมาจนสิ้นชีพิตักษัยครับ

เรื่องนี้เท่าที่ทราบมาจากท่านผู้ใหญ่ท่านว่า ที่ดินแปลงที่เป็นวังเพชรบูรณ์นี้เป็นพระราชมรดกเดิมมาแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และตกทอดเรื่อยมาจนถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย จะออกวังนั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดพระราชทานที่ดินแปลงนี้ให้เป็นที่ตั้งวังเพชรบูรณ์  ทีนี้ตอนที่พระราชทานที่ดินนั้นในพระบรมราชโองการพระราชทานที่ดินระบุว่า พระราชทานให้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วลูกหลาน  แต่มิได้ระบุว่าได้พระราชทานให้เป็นกรรมสิทธิ์  ฉะนั้นทูลกระหม่อมติ๋ว (สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ) จึงมิได้ทรงโอนโฉนดไปเป็นพระนาม  โฉนดที่ดินแปลงนี้จึงออกในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (การออกโฉนดที่ดินในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นในตอนปลายรัชกาลที่ ๕  การออกโฉนดที่ดินในเขตกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มาเสร็จเอาในตอนต้นรัชกาลที่ ๖)  ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ๒๔๗๕  มีการออกกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดให้ทรัพย์สินที่เป็นของส่วนกลางสำหรับพระมหากษัตริย์ เช่นพระบรมมหาราชวังหรือเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์นั้นเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  ซึ่งหมายรวมถึงทรัพย์สินที่พระมหากษัตริย์ได้มาในระหว่างที่ทรงดำรงสิริราชสมบัติซึ่งมิใช่ทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงมาแต่ก่อนครองสิริราชสมบัติให้ตกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ด้วย  เมื่อโนดที่ดินวังเพชรบูรณ์ออกในพระปรมาภิไธยรัชกาลที่ ๖  จึงต้องตกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  เช่นเดียวกับที่ดินแปลงอื่นๆ ที่เป็นพระราชมรดกมาแต่เดิมหากออกโฉนดเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วก็ถูกตีขลุมว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จนหมด  แต่เมื่อมีพระบรมราชโองการพระราชทานให้ทรงใช้เป็นที่อยู่ไปชั่วลูกหลานจนกว่าจะไม่มีผู้สืบสายสกุล  พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา  และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช จึงได้ทรงครอบครองวังนี้เรื่อยมา  จนเมื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีโครงการจะพัฒนาที่ดินแปลงนี้เป็นศูนย์การค้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานทรัพย์สินจัดเงินถวายพระทายาททั้งสองพระองค์เป็นการชดเชยจำนวนหนึ่ง
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 21 ก.พ. 06, 10:39

 ขอต่อประเด็นเรื่อง  ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะยกเลิกพระพินัยกรรมของพระบรมวงศานุวงศ์ได้ อย่างเมื่อครั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้่าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทิวงคต ทรงมีพระพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้กับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส และเป็นผู้ดูและพระองค์จุล แต่รัชกาลที่ 6 ก็ทรงใช้พระราชอำนาจที่ทรงสามารถกระทำได้ยกเลิกพระพินัยกรรมฉบับนั้น โปรดให้หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสออกจากวังปารุสก์ไปประทับที่วังจักรพงษ์ที่ท่าเตียน เข้าใจว่าทรงเรียกวังปารุสก์เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระองค์จุลย้ายจากพระตำหนักใหญ่ไปประทับที่ตำหนักจิตรลดาแทน และเมื่อหม่อมเจ้าหญิงชวลิตฯ ทรงเสกสมรสใหม่ รัชกาลที่ 6 จึงโปรดเกล้าฯ ให้คืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดแก่พระองค์จุล

เรื่องที่ทูลกระหม่อมจักรพงษ์ เสกสมรสกับ ม.จ.ชวลิตโอภาส นั้น  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ในสมัยนั้นไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย  เพราะเป็นการสมรสระหว่าง อา กับ หลาน  ซึ่งถ้าอ่านจากประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ จะเห็นว่า ไม่ทรงเห็นด้วยเลยที่พี่กับน้องจะแต่งงานกันเอง  ทั้งยังจะมีผลเสียหายทางด้านพันธุกรรมด้วย  และโดยที่การเสกสมรสระหว่งทูลกระหม่อมจักรพงษ์กับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาสก็มิได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสกสมรสตามพระราชประเพณี  จึงไม่ทรงรับเป็นสะใภ้หลวง  ส่วนการที่โปรดให้พระองค์จุลฯ ย้ายไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดานั้น  ขอเรียนว่า ในบริเวณวังปารุสกวันนั้นมี ๒ ตำหนัก คือ พระตำหนักจิตรลดา (องค์ที่อยู่ตรงมุมพระลานพระบรมรูปทรงม้า) ซึ่งเป็นที่ประทับเดิมในรัชกาลที่ ๖ ภายหลังทรงแลกกับที่ดินของทูลกระหม่อมจักรพงษ์  และตำหนักปารุสฯ ซึ่งเป็นที่ประทับของทูลกระหม่อมจักรพงษ์มาแต่เดิม  เมื่อทูลกระหม่อมจักรพงษ์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น  ประทับที่ตำหนักปารุสฯ มาตลอด  ส่วนพระจำหนักจิตรลดานั้นทรงใช้เป็นที่รับแขก  การที่รัชกาลที่ ๖ โปรดให้พระองค์จุลฯ ทรงย้ายไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดาจึงอาจจะเพื่อมิให้ทรงเศร้าพระทัยที่จะชวนให้รำลึกถึงทูลกระหม่อมและหม่อมคัทริน

ส่วนประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินวังปราสุกวันนั้น  ที่ดินผืนนี้เดิมเป็นทรัพย์สินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อมาด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นส่วนของพระราชวังดุสิตทั้งหมด  และได้ทรงแบ่งพระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระงค์ คือ
พระตำหนักจิตรลดา  -  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
วังปารุสกวัน - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ
วังสวนกุหลาบ - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครราชสีมา
และอาจจะสืบเนื่องมาจากที่ที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดนับรวมเป็นพระราชวังดุสิต  ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงเหมารวมว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาเมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว  จึงต้องตกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทั้งหมด
บันทึกการเข้า
ศรีปิงเวียง
องคต
*****
ตอบ: 566

เรียนจบแล้ว


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 01 พ.ค. 06, 10:47

 หลังจากที่มัวไปยุ่ง และปั่นกระทู้อื่นมานานนม คราวนี้กลับมาแล้วครับ
ขออภัยคุณ N.P.ครับ ที่ผมมิได้มาสานต่อ
และขอขอบพระคุณทุก ๆ ความเห็นครับ
ต่อจากความเห็นที่ 19 ครับ
ที่ว่า ต่อมาเจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม ทูลไปรับถวายอภิบาลโดยประทับที่วังกรมพระยาเทววงศ์ฯ (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนราชินี)
ขอเพิ่มเติมว่า
ต่อมาเมื่อพระชันษา 5 พรรษา เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมทูลไปรับถวายอภิบาลโดยประทับที่วังกรมพระยาเทววงศ์ฯ (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนราชินี) และเมื่อสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสด็จประทับ ณ วังบริเวณสะพานถ่าน พระองค์ได้ตามเสด็จและทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นที่นั่นครับ
หลังจากนั้น พระองค์ทรงศึกษาต่อ ณ โรงเรียนราชกุมาร(ตั้งอยู่ริมประตูพิมานไชยศรีด้านตะวันตก ในพระบรมมหาราชวัง)เมื่อวันที่ 6 ก.พ. พ.ศ.2444 (ปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2545)ร่วมกับสมเด็จฯเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช,สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์,พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช,ม.จ.รัชฎาภิเษก โสณกุล และนายเต็ม บุนนาค(พระอดิศักดิ์อภิรัตน์) โดยมีนายบัว วิเศษกุล,หลวงเสรีวัชรินทร(อาจ)และพระราชทรัพยพิสิษฐ(องุ่น กมลยบุตร)เป็นอาจารย์สอน
ทูลกระหม่อมติ๋ว ทรงสนพระทัยด้านศิลปะมาแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ว่ากันว่าพระองค์มักจะเก็บพระองค์ทรงงานเกี่ยวกับศิลปะเป็นส่วนมากครับ
ถ้ามีโอกาส จะมาสานต่อใหม่ครับ
บันทึกการเข้า

ไม่เห็นใครแน่นอน
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง