เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 7091 เรือโนอาห์ภาคศาสนาพราหมณ์ ครับผม
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
 เมื่อ 07 พ.ย. 00, 09:00

คือว่า ความเชื่อเรื่องน้ำเคยท่วมโลกนั้น เหมือนจะมีอยู่ในหลายศาสนา ที่ชัวร์ที่สุดก็ในคัมภีร์ไบเบิล้ เรื่องเรือโนอาห์ แต่ว่าผมเคยไปอ่านมาเหมือนกัน อันนี้เป็นของศาสนาพราหมณ์ครับ ทางศาสนาพราหมณ์นั้น เค้าแบ่งโลกออกเป้นยุคด้วยเหมือนกัน โดยบอกว่าโลกนี้นั้น สร้างขึ้นโดยพระพรหม ก็เข้าเรื่องว่า ในสมัยของกษัตริย์ มนูญไวยวัตร เจ้าเมือง พาราณสี (สมมุติทีไรก็เมืองนี้เป็นส่วนใหญ่ตามธรรมเนียมนิยาย ใครรู้ว่าทำไมเมืองนี้ถึงดังนักช่วยบอกด้วยนะครับ) เป็นกษัตริย์ที่ดีอยู่ในทศพิธราชธรรมปกครองเมืองมาเรื่อย ๆ แต่ว่าน่าเสียดายที่พระองค์เป็นกษัตริย์ในช่วงที่จะสิ้นสุดของโลก หรือ พรหมทิวา คือพระพรหมนั้น ท่านจะสร้างสิ่งต่าง ๆ ในโลกใช้เวลาทั้งสิ้น ในช่วงกลางวัน หลังจากพระพรหมท่านทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ก็จะเริ่มเหนื่อย พระพรหมท่านก็จะเข้านอนมั่งล่ะ เรียกว่า พรหมราตรี ซึ่งเมื่อพระพรหมท่านหยุดสร้างสิ่งต่างและเข้าสู่นิทรา โลกก็จะถึงกาลอวสานล่ะครับ มาถึงว่า พระมนูญเจ้าเมืองพาราณสี และเหล่ามนุษย์จะได้รู้ว่า โลกนี้กำลังจะสิ้นสุดก็หาไม่ วันหนึ่งพระมนูญไปเที่ยวในป่า ไปลงสรงน้ำในแม่น้ำแห่งหนึ่ง ก็มีปลาสีทองน่ารักว่ายมาหา แล้วบอกกับพระมนูญว่า ท่านมนุษย์ผู้มีเมตตา โปรดช่วยเราด้วยเถิด พระมนูญก็ถามว่าจะให้ช่วยยังไง ปลาน้อยก็บอกว่า เราเป็นปลาน้อยถ้าขืนอยู่ในแม่น้ำนี้ต่อไป คงถูกปลาใหญ่จับกิน แน่นอน พระมนูญได้ฟังก็สงสาร ช้อนเอาปลาน้อยไปเลี้ยงไว้ในอ่างในวัง แต่พอวันรุ่งขึ้น เจ้าปลาน้อยก็กลายเป็นตัวใหญ่คับอ่าง แล้วร้องบอกพระมนูญว่า อ่างนี้ช่างเล็กเหลือเกิน ช่วยด้วยเถิด พระมนูญแปลกใจ แต่ก็ยังไม่คิดอะไร เอาปลาไปปล่อยใน โอ่งใบใหญ่ แต่ชั่วข้ามคืน ปลาน้อยตัวนั้นก็ขยายขนาดคับโอ่ง พระมนูญเริ่มเอะใจ แต่ก็ยังเอาปลา ไปปล่อยในบ่อ ในอุทยานของวังนั้น แต่พอข้ามวัน ปลาสีทองนั้นก็ขยายขนาดใหญ่เต็มบ่อน้ำ พระมนูญจึงคิดว่านี่ต้องเป็นเทพมาลองเชิงแน่นอน จึงถวายความเคารพแล้วถามว่าเป็นเทพองค์ใด มาลองใจพระองค์ ปลาจึงตอบว่า ดูก่อน (ทำไมต้องดูก่อนด้วย สำนวนนี้ใครทราบบ้างครับ) พระมนูญ เราคือ เราคือ นารายณ์อวตาร ที่อวตารลงมาครั้งนี้ก็ด้วยว่า พรหมทิวากำลังจะสิ้นสุดในอีก 49 วันข้างหน้า แล้วจะเข้าสู่พรหมราตรีแล้ว สรรพสิ่งในโลกจะถึงกาลดับสูญ จะเกิดพายุใหญ่ พัดพาให้น้ำท่วมโลก แต่เราเห็นท่านเป็นกษัตริย์ที่ดีพร้อม เราจึงตัดสินใจมาเตือนท่าน ขอให้ท่านจง เตรียมสร้างเรือใหญ่เอาไว้ ไปหาสัตว์มาเก็บไว้อย่างละคู่ อัญเชิญ ฤาษีทั้งเจ็ด (สัปปฤาษี)มาอยู่บนเรือ หามนุษย์ชายหญิงที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและบำเพ็ญความดี มาเตรียมไว้บนเรือใหญ่ จงไปเตรียมการดังนี้เถิด พอถึงเวลาน้ำท่วมใหญ่แล้ว เราจะมาช่วยท่านอีกครั้ง พระมนูญพอได้ฟังคำเตือนขององค์พระนารายณ์ ก็รีบไปเตรียมสร้างเรือใหญ่ขึ้นทันที แล้วก็ไปเตรียมหาสัตว์มาเก็บไว้อย่างละคู่ ไปเชิญฤาษีทั้งเจ็ด พร้อมทั้งสรรหาชายหญิงที่เป็นคนดีมาไว้พร้อมบนเรือใหญ่
ไปทางฝ่ายพระพรหม หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ก็ทรงเข้าบรรทม ทันทีที่เนตรทั้งแปดปิดสนิท ก็บังเกิดความมืดมิดในสามโลกทันที พายุฝนก็พัดอย่างหนัก เกิดน้ำท่วมในโลก แล้วในตอนนั้น พระเวทอันสูงสุด ที่ต้นพลังต้นกำเนิดแห่งจักรวาลก็ไหลออกจากปากของพระพรหม  (ท่านคงกรน น่ะ) หล่นออกมา มีอสูรตนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว) ก็รีบโผล่ขึ้นมา ฮุบเอาพระเวทย์แล้วดำดินหายลงไปในบาดาล (ทำไมอสูรตนนี้ไม่สลายไปก็ไม่ทราบครับ) แล้วลงไปซ่อนตัวอยู่ในบาดาล ฝ่ายพระมนูญ ก็อยู่บนเรือใหญ่ แต่ก็ต้องผจญกับพายุอย่างหนัก พระมนูญ ฤาษีทั้งเจ็ดและเหล่ามนุษย์จึงพากันสวดภาวนาถึงองค์พระนารายณ์ ทันใดนั้น ปลาสีทองตัวใหญ่ ก็ปรากฎขึ้นแล้วบอกให้พระมนูญเอานาคผูกกับเสาเรือแล้วมาผูกกับกระโดงของปลา แล้วปลาใหญ่ก็แหวกว่ายนำทางเรือ ฝ่าพายุไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน และก็ว่ายมาจนถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ปลาใหญ่ก็บอกว่า บัดนี้ใกล้จะสิ้นสุดพรหมราตรีแล้ว พระพรหมท่านจะตื่นแล้วลงมือสร้างสรรค์สรรพสิ่งในโลกอีกครั้ง พวกท่านจงรอคอยอยู่ที่นี่ ก่อน เราจะไปจัดการอะไรบางอย่างเดี๋ยวจะกลับมา ว่าแล้วปลาใหญ่ก็ดำน้ำหายไป จริงๆ ก็คือ ปลาใหญ่นั้นดำน้ำไปหาเจ้าอสูรร้ายที่แอบขโมยเอาพระเวทย์ไป พอไปเจอกัน เจ้าอสูรก็แผลงฤทธิ์ตัวใหญ่มหึมา แต่จะใหญ่กว่าปลาสีทองก็เปล่า แล้วสู้กันพัลวัน แล้วปลาสีทองก็กัดเจ้าอสูรนั่นตาย แล้วแหวะท้อง เอาพระเวทย์ออกมา แล้วก็กลายร่างเป็นองค์นารายณ์ ทรงครุฑขึ้นไปยังวิมานของพระพรหมทันที พระพรหมท่านก็เพิ่งตื่นมา ก็เห็นพระนารายณ์มาเข้าเฝ้า อ้อ องค์นารายณ์มาหาเราหรือ เราเหนื่อยจากงานเลยเผลอหลับไปหน่อย เอาล่ะตื่นแล้วจะมาทำงานต่อล่ะ ไม่รู้โลกเป็นไงบ้าง
พระนารายณ์ก็ตอบว่า โลกได้สลายไปแล้วพระเจ้าข้า พระองค์เป็นผู้สร้างเมื่อพระองค์ทรงหลับไหล โลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาก็ดับสลายไปพระเจ้าข้า พระพรหม ก็โหข้าเหน็ดเหนื่อยสร้างมาทั้งวัน พังหมดแล้วเนี่ยข้าก็ต้องเริ่มสร้างใหม่สิเนี่ย
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวัฎจักร มีเกิดก็มีดับพระเจ้าข้า นี่ข้าพระองค์ก็เอาพระเวทย์ที่ทำหล่นไปตอนนอนมาคืนพระเจ้าข้า
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 31 ต.ค. 00, 10:40

ตะกี้เล่าไม่จบ อ่ะมาเล่าต่อให้จบ ก่อนแล้วกัน
พระนารายณ์ ก็เอาพระเวทย์คืนให้พระพรหม
พระพรหมก็บ่นว่าต้องเริ่มสร้างสรรพสิ่งในโลกใหม่อีกแล้ว เฮ้อ เพิ่งได้นอนไปตื่นเดียวเอง
พระนารายณ์ก็บอกว่า ในคราวนี้ข้าได้ไปเลือกสรรมนุษย์กลุ่มหนึ่งไว้สำหรับ ช่วยแบ่งเบาภาระพระพรหมไว้แล้ว พระพรหมก็บอกอืมถ้างั้นก็ดีสิ ว่าแล้วพระนารายณ์ก็อำลาพระพรหม แล้วมาปรากฎกายต่อหน้าพระมนูญ แล้วบอกว่า พระมนูญและเหล่ามนุษย์ที่ถูกเลือกสรรมา จะมีหน้าที่ แพร่ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไป สัตว์คู่ต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือมาก็จะแพร่ขยายพันธุ์ต่อไป แล้วโลกก็อยู่ต่อไปได้อีกนาน กว่าจะสิ้นพรหมทิวาอีกครั้ง โดยโลกมนุษย์ในยุคพระมนูญนี้จะเป็นโลกยุคแรก (เรียกอะไรผมไม่แน่ใจ ) คือในโลกยุคนี้ถ้าแบ่งความดีของมนุษย์เป็น 4 ส่วน มนุษย์ในยุคนี้จะมีความดีอยู่เต็มทั้ง 4 ส่วน แล้วจากนั้นความดีของมนุษย์จะลดถอยลงไปเรื่อย
ยุคที่สามหรือกลียุค นั้นจะเป็นยุคที่ความดีของมนุษย์หรือเพียงส่วนเดียว หลังจากนั้น โลกก็จะถึงกาลล่มสลายอีกครั้ง (ไม่รู้ยุคพวกเรานี่ใกล้หรือยัง)
ทรงสั่งสอนพระมนูญแล้ว ก็ขึ้นประทับหลังพญาครุฑ กลับสู่สวรรค์ไวยกูณฐ์ ที่เกษียรสมุทร แล้วทรงเข้าบรรทมธ์ไปจนกว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหม่จึงจะปลุกพระองค์ขึ้นมาอีก
บันทึกการเข้า
ภูมิ
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 31 ต.ค. 00, 12:37

เคยได้ยินมาว่ามีตํานานที่ว่า
โลกจะล่มสลายทั้งหมด๔ครั้งด้วยดิน นํ้า ลม ไฟ
นํ้าคงตามที่คุณพระนายบอก
ส่วนไฟเคยได้ยยินว่าหมายถึงปัจจุบัน(ในอีกราว๒๕๐๐)ปีข้างหน้า
ไม่ทราบว่าผู้ใดมีรายละเอียดเกี่ยวกันการวิบัติด้วยดิน และ ลม บ้างครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 01 พ.ย. 00, 13:10

อ่านของคุณพระนายแล้ว  เลยพลอยได้โอกาสปัดฝุนความจำด้วยคนค่ะ
เข้าใจว่าร่องรอยน้ำท่วมใหญ่ของโลก มีจริง   จึงกลายเป็นตำนานอยู่ในศาสนาใหญ่ๆที่อยู่มายาวนานทันเห็น หรือไม่ก็เล่าสืบต่อกัน
เรื่องโนอาห์ อยู่ในพระคัมภีร์เก่า ซึ่งมีหลายตอนเหมือนในศาสนายิว ที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าสูงสุด
ส่วนเรื่องพระมนู  ดิฉันจำว่าเป็นหนึ่งในสิบปางอวตารของพระนารายณ์ เรียกว่า "มัสยาวตาร" คืออวตารเป็นปลายใหญ่ที่มาลากเรือ  หาอ่านได้จากพระราชนิพนธ์ "นารายณ์สิบปาง" ในรัชกาลที่ ๖
ส่วนอสูรตัวนั้นชื่ออะไรจำไม่ได้อีกเหมือนกัน รู้แต่ว่ารูปร่างเป็นหอยสังข์  กลืนพระเวทลงไปในท้อง   เมื่อไปเอาออกมาได้แล้ว  หอยสังข์ก็เลยได้ชื่อว่าเป็นของมงคลเพราะเคยกลืนพระเวท   พราหมณ์ก็นำสังข์มาใช้ประกอบพิธีต่างๆเพราะเหตุนี้   คนไทยก็เอามาใช้เหมือนกัน อย่างรดน้ำสังข์ในพิธีแต่งงาน

ส่วนยุคที่ว่ามี ๔ ยุค คือ กฤดายุค  ไตรดายุค  ทวาบรยุค และกลียุค    จำได้หน่อยๆว่าเรากำลังอยู่ในกลียุค เป็นยุคที่มีการรบร่าฆ่าฟันและเสื่อมศีลธรรมกันมากที่สุด

เรื่องที่คุณภูมิถาม ทราบอย่างเดียวคือพอโลกถึงวันสิ้นสุด  ลมยุคันตวาตก็จะพัด     เป็นพายุใหญ่พัดทำลายโลกในวันสิ้นโลกค่ะ
เรื่องวันสุดท้ายของโลก (The Day of Judgement  หรือ Doomsday) ปรากฏอยู่ในหลายศาสนา ทั้งคริสตศาสนา และศาสนายิวก็กล่าวไว้คล้ายกัน
มีลูกไฟหล่นจากท้องฟ้า  ทะเลจะเดือด  โลกจะถล่มลง
เป็นวันพิพากษาโลก   คนตายจะฟื้นขึ้นมาหมด  แล้วพระเจ้าก็จะตัดสินว่าผู้ใดจะลงนรกและผู้ใดจะได้ไปสวรรค์  คราวนี้ไปแบบนิรันดรค่ะไม่มีการเวียนมาเกิดใหม่
บันทึกการเข้า
วราลี
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 01 พ.ย. 00, 13:20

ตามมาฟังเรื่องสนุกๆเช่นเคยค่ะ
บันทึกการเข้า
เด็กนอกดอทคอม
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 01 พ.ย. 00, 14:08

นารายณ์สิบปาง มีปางอะไรมั่งครับ คุณเทาชมพู
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 01 พ.ย. 00, 14:56

ตอบคุณเด็กนอก  
นับตามพระราชนิพนธ์นารายณ์สิบปาง ซึ่งทรงใช้ Hindu Mythology ของ  J.W. Wilkins เป็นหลัก  
มีตามนี้ค่ะ
๑)มัตสยาวตาร  (สะกดแบบในหนังสือ) อวตารเป็นปลา ตามที่คุณพระนายเล่า
๒)กูรมาวตาร   อวตารเป็นเต่า
๓) วราหาวตาร  อวตารเป็นหมู (เรื่องตอนนี้อยู่ในตอนต้นของรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ ๑)
๔)นรสิงหาวตาร  อวตารเป็นนรสิงห์ ครึ่งคนครึ่งสิงห์
ทั้ง ๔ ปางนี้เกิดใน "กฤดายุค"
๕)วามนาวตาร  อวตารเป็นพราหมณ์ร่างเตี้ย
๖)ปรศุรามาวตาร  อวตาร เป็นพราหมณ์ถือขวาน
สองปางนี้เกิดในไตรดายุค
๗)รามจันทราวตาร  อวตารเป็นพระราม ในรามเกียรติ์ที่เรารู้จักกัน
๘) กฤษณาวตาร  อวตารเป็นพระกฤษณะ  ในมหาภารตะ
สองปางนี้อยู่ในทวาบรยุค
๙) อวตารเป็นพระพุทธเจ้า  ซึ่งทำให้ชาวพุทธจำนวนมากไม่เห็นด้วยนัก    และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาสูญไปจากอินเดีย เพราะถูกกลืนไปเข้ากับพราหมณ์
๑๐) กัลกยวตาร  เป็นพระกัลกิ  ยังมาไม่ถึง จะมาตอนปลายกลียุค
สองปางสุดท้ายอยู่ในกลียุคค่ะ
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงวินิจฉัยว่า  อวตารบางปางเป็นการเปรียบเทียบกับความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ  บางปางก็น่าจะมาจากเรื่องจริงในอดีต

อ้อ  ชื่ออสูรที่ขโมยพระเวทไป    ตำรับ"ภาควัตปุราณะ"ของอินเดีย  เรียก " หัยครีพ " ไทยเรียก "สังขะอสูร"   แปลตรงตัวว่ายักษ์หอยสังข์ค่ะ
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 01 พ.ย. 00, 21:37

ปางพุทธาวตาร เป็นปางที่ชาวพุทธอย่างผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะเป็นการดูดกลืนพุทธของฝ่ายฮินดู ซึ่งผมว่า ขี้โกง สอนสู้ไม่ได้แล้วโมเมเอาดื้อๆ
มีเรื่องบางกระแสเล่าแปลกออกไป เรียกปางนี้ว่า สมณาวตาร ปางสมณะหรือนักบวช และเท่าที่จำเรื่องได้ก็ไม่เกี่ยวกับพุทธประวัติเลย ดูเหมือนจะอธิบายว่า พะนารายณ์อวตารลงมาเป็นสมณะรูปหนึ่ง แกล้งสอนผิดๆ แก่อสูรเหล่ามารให้บำเพ็ญเพียรผิดทาง จนตกนรกแทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์ ถือเป็นวิธีปราบมารอย่างหนึ่ง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 03 พ.ย. 00, 12:10

สมณาวตารเป็นความรู้ใหม่ค่ะ คุณนกข.  ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง
อ่านแล้วนึกถึงมังกรหยก  อึ้งย้งแกล้งสอนใคร.(.จำไม่ได้แล้ว)ให้ฝึกพลังผิดวิธี ลมปราณย้อนกลับ ธาตุแตก  เสียสติไปเลย
ส่วนในนารายณ์สิบปาง   สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ท่านไม่เห็นด้วยกับปางพุทธาวตาร เลยไม่ทรงเล่ารายละเอียดอย่างเรื่องอื่นๆ   แต่มีพระราชนิพนธ์ว่า

ไพษณพปางที่เก้า.............ลำดับ
สมณะโคดม...................พุทธเจ้า
นี่เพราะจะไม่รับ.............รองพระ...เสียเลย
เกรงว่าจะเสียเค้า............มากไป

เราไซร้ย่อมรู้อยู่.............ไป่ฉงน
ว่าพระสุคตจอม............โลกนั้น
เป็นเลิศ ณ สากล............ยิ่งกว่า
สุรเทพในชั้น................สรวงสวรรค์

ถามนอกเรื่อง  วันฮัลโลวีน คุณนกข. แปลงกายเป็นแมวมงคลสีดำไปเที่ยวบ้างหรือเปล่าคะ
บันทึกการเข้า
ภูมิ
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 06 พ.ย. 00, 01:11

อึ้งย้งสอนอาวเอียงฮง  :-)
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 06 พ.ย. 00, 19:01

ฮาโลวีน ผมไม่ได้ไปไหนครับ ไม่กล้าออกจากบ้านด้วย กลัวเด็กๆ ที่แต่งชุดแฟนซีตกใจกลัวผม (ตอนไม่ใส่หน้ากาก...)
ผมแค่ไปตั้งกระทู้ที่สโมสรมองอดีตในห้องไกลบ้าน ของพันธุ์ทิพย์.คอม เท่านั้นครับ
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 06 พ.ย. 00, 19:03

เพื่อลากเอาเรื่องฮาโลวีนให้เข้ากับกระทู้ให้ได้ ขอเสนอว่า สัตว์โลกชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องให้โนอาห์หรือพระมนูช่วยตอนน้ำท่วมโลก เห็นจะได้แก่ เปรต...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 06 พ.ย. 00, 22:37

น่าจะจริง  ถ้าตอนนั้นเปรตยังไม่ได้ย้ายลงไปอยู่ในนรกนะคะ

ช่วยลากเข้าเรือนไทยด้วยอีกคน
คุณนกข.เคยได้ยินเรื่อง " แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ " ไหมคะ?
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 07 พ.ย. 00, 04:46

เคยทราบแต่แร้งวัดสระเกศครับ เปรตวัดสุทัศน์เคยได้ยิน แต่ไม่ทราบละเอียด
ประตูผี อยู่ตรงวัดศระเกศใช่ไหมครับ แล้วก็ดูเหมือนว่านักโทษประหาร เพชฌฆาตเขาก็เอามาทำพิธีตัดคอประหารตรงแถวนั้นด้วย แร้งคงจะมารอกินศพกระมัง ผมเข้าใจว่าแต่ก่อนวัดสระเกศอยู่นอกเมืองกรุงเทพฯ  
เห็นใครบอกว่า ร.1 เมื่อทรงยกทัพกลับมาปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ ให้หยุดพักพลที่วัดสระเกศ และทรงสระพระเกษาที่นี่ ถ้าตำนานเรื่องนี้จริง น่าจะแปลชื่อวัดสระเกศว่า the Royal Shampooing Temple...

เรื่องนารายณ์อวตาร ปางสุดท้ายเป็นพระกัลกี อัศวินขี่ม้าขาวมากู้โลก อาจารย์คึกฤทธิ์เคยบอกว่า ปัญหาของโลกปัจจุบันมันยุ่งกันนัก มนุษย์แก้ไม่ได้หรอก ต้องเทวดา แล้วเทวดาก็ต้องเป็นซุเปอร์เทวดา คือพระวิษณุ ซึ่งเคยลงมากู้โลกหลายหนแล้ว หนหน้านี่จะต้องเป็นคนขาวขี่ม้าขาว อ.คึกฤทธิ์แกว่า ก็คืออวตารลงมาเป็นอเมริกัน จึงจะแก้ปัญหาได้ ท่านตลกเล่นกับนักเขียนใหญ่ที่ชื่อ กอร์ วิดัล อีตานั่นเลยได้ไอเดีย เอาไปเขียนเป็นหนังสือเบสต์เซลเล่อร์ไปเลย ... รู้สึกจะชื่อเรื่อง Kali
ผมว่า อเมริกันน่าจะเป็นกาลีอย่างอีตาวิดัลแกว่ามากกว่าเป็นพระกัลกี !

เรื่องหอยสังข์ที่ว่าเป็นมงคล ก็น่าสนใจ ว่าในพิธีการของชนเผ่าโพลีเนเชียน พวกเกาะทะเลใต้ นับถือหอยสังข์เหมือนกัน เป่าสังข์เหมือนพราหมณ์เป่าสังข์ที่บ้านเราเลย ทำไมมาตรงกันได้ก็ไม่ทราบ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 07 พ.ย. 00, 15:38

วัดสระเกศ  คนตายเพราะโรคระบาดหรือถูกประหารก็เอาศพมาไว้ที่นี่ค่ะ   เข้าใจว่าเป็นเพราะอยู่นอกกำแพงเมืองออกไป  ถือว่าห่างไกลชุมชน
แร้งจึงมาชุมนุมอยู่ที่นี่   จิกกินศพจำนวนมากๆช่วยเบาแรงสัปเหร่อไปได้ด้วย
เคยเห็นรูปศพที่วัดสระเกศ ถ่ายราวๆรัชกาลที่ ๕ หรือ ๖  ใกล้ๆมีแร้งมาจับอยู่บนพื้นดินคอยกินศพ  เห็นเรียงกันเป็นแถว  และมีคนถือไม้คอยไล่ไม่ให้เข้ามาสกรัมศพ
ถ้าหากว่าค้นเจอจะเอามาให้ดู  แต่อย่าดูก่อนทานอาหารมื้อไหนนะคะ  นอกจากจะอยาก diet อยู่แล้วก็จะช่วยให้อดได้ง่ายขึ้น
ส่วนเปรตวัดสุทัศน์  ความเป็นมา ไม่ทราบค่ะ รูปของจริงไม่มี   จะเอาเปรตอาจารย์กู้มาแทนก็ไม่เหมือน
จำได้เลาๆว่า เขาว่ามีกันสองตัวผัวเมีย อาศัยอยู่แถวนั้น  ดึกๆก็ออกมาเดินเล่นจนชาวบ้านรู้จักดี   บางคืนก็ร้องกรี๊ดๆให้ได้ยิน  ปากเท่ารูเข็ม  บางทีก็ชะโงกหน้าไปทักทายชาวบ้านที่นอนอยู่บนชั้นสองของห้องแถวตรงข้ามวัด
จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ระเบิดลง   เปรตก็หายไปทั้งสองตัว
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 19 คำสั่ง