กลับมาแล้วค่ะ ขณะพิมพ์นี่ยังมึนๆอยู่เลยนะคะ
ลงเครื่องเมื่อราวๆสองยามวันอาทิตย์ กว่าจะนอนก็เกือบตีสอง ตื่นเจ็ดโมง
คำตอบของคุณนที ให้บรรยากาศโบราณเข้ากับกระทู้ดีจัง
ในสมัย 100 ปีก่อน โรคติดเชื้อจากทางเดินอาหาร หรือทางลมหายใจ แพร่กระจายง่ายมาก ตายกันเยอะ อาจจะเป็นเพราะยาไทยยังไม่มียาปฏิชีวนะที่รักษาผู้ป่วยได้ทันเวลา
อีกอย่างคือเรื่องสุขลักษณะ ก็ยังไม่ค่อยจะรู้กันด้วย เราถ่ายกันลงแม่น้ำลำคลอง น้ำก็ไม่ต้มก่อนดื่ม แค่แกว่งสารส้มให้ตกตะกอน (อาจจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าน้ำใสก็ยังมีเชื้อโรค) โรคท้องร่วง อหิวาต์ ไข้รากสาด จึงติดกันง่ายมาก
http://www.thailabonline.com/sec51typhoid.htm#ไข้รากสาดน้อย
ไข้รากสาดน้อย - Typhoid Fever
ลักษณะทั่วไป
ไข้รากสาดน้อย พบได้บ่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า ไข้หัวโกร๋น เพราะสมัยนั้นยังไม่มียารักษา เป็นไข้กันเป็นเดือนจนกระทั่งผมร่วง พบได้ในทุกอายุ แต่จะพบมากในคนอายุ 10-30 ปี อาจจะพบว่ามีคนในละแวก ใกล้เคียงเคยเป็น หรือกำลังเป็นโรคนี้ด้วย พบมากในฤดูร้อนแต่ก็พบได้เกือบทั้งปี
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไทฟอยด์ เป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า "ซัลโมเนลลา ไทฟี" (Salmonella typhi) ติด
ต่อโดยการกินอาหาร หรือน้ำดื่มที่ติดเชื้อจากอุจจาระ หรือปัสสาวะของผู้ป่วย หรือที่มีแมลงวันตอม ระยะฟักตัวประมาณ 14 วัน (7-21 วัน)
อาการ
อาการจะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มแรกจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คล้ายไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่มีน้ำมูก อาจมีเลือดกำเดาออก บางครั้งอาจมีอาการไอ และเจ็บคอเล็กน้อย มักมีอาการท้องผูก หรือไม่ก็ถ่ายเหลวเสมอ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดแน่นท้อง ท้องอืด และกดเจ็บเล็กน้อย ต่อมาไข้จะค่อย ๆ สูงขึ้นทุกวัน
และจับไข้ตลอดเวลา ถึงแม้จะกินยาลดไข้ก็อาจไม่ลด ทุกครั้งที่จับไข้จะรู้สึกปวดศีรษะมาก
อาการไข้มักจะเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีไข้สูงอยู่นาน 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ลดลงจนเป็นปกติเมื่อพ้น 4 สัปดาห์ บางรายอาจเป็นไข้อยู่นาน 6 สัปดาห์ก็ได้ บางรายอาจมีอาการหนาวสะท้านเป็นพัก ๆ เพ้อ หรือปวดท้องรุนแรงคล้ายไส้ติ่งอักเสบ หรือถุงน้ำดีอักเสบ
ผู้ป่วยจะซึมและเบื่ออาหารมาก ถ้ามีอาการมากกว่า 5 วัน ผู้ป่วยจะดูหน้าซีดเชียว แต่เปลือกตาไม่ซีด (เหมือนอย่างผู้ป่วยโลหิตจาง) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคที่เรียกว่า หน้าไทฟอยด์
สิ่งตรวจพบ
ไข้ 38.5-40 ํซ. หน้าซีดเชียว และเปลือกตาไม่ซีด ฝ่ามือซีด ริมฝีปากแห้ง อาจมีอาการท้องอืด กดเจ็บใต้ชายโครงขวา หรือท้องน้อยข้างขวา ตับม้ามอาจโต อาจพบจุดแดงคล้ายยุงกัด เมื่อดึงหนังให้ตึงจะจางหายเรียกว่า โรสสปอต (Rose spots) ที่หน้าอก หรือหน้าท้อง ซึ่งมักจะขึ้นหลังมีไข้ได้ 5 วัน และขึ้นอยู่นาน 3-4 วัน ในบางรายอาจมีอาการ ดีซ่าน หรือซีด (ถ้าเป็น
เรื้อรัง)
อาการแทรกซ้อน
ที่พบบ่อย และเป็นอันตราย ได้แก่ เลือดออกในลำไส้ (ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ อาจถึงช็อกได้) และลำไส้ทะลุ (ท้องอืด ท้องแข็ง) ซึ่งจะพบหลังมีอาการได้ 2-3 สัปดาห์ ที่พบรองลงไป ได้แก่ ปอดอักเสบ , โลหิตเป็นพิษ , กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, ถุงน้ำดีอักเสบ , ไตอักเสบ,
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , โรคจิต การกลับเป็นซ้ำ บางรายแม้ว่าจะรักษาจนไข้หายแล้ว อาจมีไข้กำเริบได้ใหม่ หลังจากหยุดยาไปประมาณ 2 สัปดาห์
การรักษา
หากสงสัย ควรส่งตรวจเพิ่มเติม ด้วยการตรวจเลือด ทำการ ทดสอบไวดาล (Widal test) ตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดขาว (มักต่ำกว่า 5,000 ตัวต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร), นำเลือด อุจจาระ และปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นโรคนี้ ควรให้การรักษา ดังนี้
1.แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน, ดื่มน้ำมาก ๆ , ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง, ถ้ากินข้าวไม่ได้นาน ๆ ให้ยาบำรุงพวก วิตามิน, ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
2.ให้ยาปฏิชีวนะ โคไตรม็อกซาโซล ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น (ในเด็กให้ 6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ของไตรเมโทพริม) หรือให้คลอแรมเฟนิคอล วันละ 2 กรัม (ในเด็กให้ 75-100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน) แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หรือ อะม็อกซีซิลลิน วันละ 2 กรัม (ในเด็กให้ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน)
แบ่งให้ 4 ครั้ง ถ้าดีขึ้น (กินข้าวได้มากขึ้น ไข้ลด) ให้ยาต่อจนครบ 14 วัน ถ้าไม่ดีขึ้นใน 4-7 วัน หรือในรายที่สงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อน ควรส่งโรงพยาบาล ในรายที่เชื้อดื้อยา อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะไซโพรฟล็อกซาซิน (Cyprofloxacin) 750 มก. วันละ 2 ครั้ง
ข้อแนะนำ
1.โรคนี้ต้องใช้เวลารักษาติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เมื่อได้รับการรักษา ไข้จะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่ง 4 วัน แล้วจึงจะไม่มีไข้ ถ้าให้คลอแรมเฟนิคอล อาจใช้เวลาอย่างน้อย 4 วันกว่าไข้จะลดเป็นปกติ ถ้าให้โคไตรม็อกซาโซล อาจใช้เวลา 6-10 วันกว่าไข้จะลด ส่วนอะม็อกซีซิลลิน อาจต้องใช้เวลานานกว่า 10 วัน
2. ผู้ป่วยบางรายเมื่อไข้หายแล้ว อาจมีอาการไข้กำเริบได้ใหม่ ภายหลังการหยุดยาไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ แต่อาการไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก ควรให้ยารักษาซ้ำอีกครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์
3. ผู้ป่วยบางรายเมื่อหายแล้ว อาจมีเชื้อไทฟอยด์หลบซ่อนอยู่ในถุงน้ำดี โดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร เราเรียกว่า พาหะนำโรค (carrier) ซึ่งมักจะปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระ แพร่กระจายให้คนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ แพทย์สามารถตรวจพบโดยการนำอุจจาระไปเพาะเชื้อ และอาจให้การรักษาโดยให้ โคไตรม็อกซาโซล หรือ อะม็อกซีซิลลิน หรือไซโพรฟล็อกซาซิน
นาน 4 สัปดาห์ บางรายอาจต้องผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก
4. ผู้ป่วยบางรายอาจดื้อยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะคลอแรมเฟนิคอล ดังนั้น ถ้าหากให้ยา 4-7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรแนะนำไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล
การป้องกัน
1. ในเด็กอายุมากกว่า 6 ปีให้วัคซีนป้องกันไทฟอยด์ ถ้าใช้วัคซีนชนิดฉีด ให้ฉีด 2 เข็มห่างกัน
1 เดือน และกระตุ้นซ้ำทุก 3 ปี ควรฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง วัคซีนชนิดนี้อาจทำให้มีไข้ หรือเกิด
รอยบวมแดงบริเวณที่ฉีดได้ ในปัจจุบันมีวัคซีนชนิดแคปซูลใช้แทนชนิดฉีดได้ ให้กินครั้งละ
1 แคปซูล วันเว้นวัน 3 ครั้ง โดยต้องกลืนทั้งแคปซูล อย่าถอดแคปซูลออก เชื้ออาจถูกกรดใน
กระเพาะอาหารทำลายได้ และในช่วงที่กินวัคซีนอยู่ ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย ยาอาจฆ่า
เชื้อในวัคซีนตายหมดได้
2. กินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำสะอาด
3. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
4. ล้างมือก่อนปรุงอาหารและเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
5. สำหรับผู้ป่วย ควรแยกสำรับอาหาร และเครื่องใช้ส่วนตัว อย่าปะปนกับผู้อื่น อุจจาระควร
ถ่ายลงในส้วม และควรล้างมือให้สะอาดหลังถ่าย
ข้อแนะนำ
ถ้าเป็นไข้รากสาดน้อย ควรให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 14 วัน