เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
อ่าน: 117035 ก็อสสิปนอกกำแพงวัง
ลายคราม
อสุรผัด
*
ตอบ: 16


ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 03 พ.ย. 04, 21:47

 ขอบritคุณ  คุณcinnabar8jt
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 04 พ.ย. 04, 03:29


มัวแต่วุ่นวายกับฮาโลวีนจนผักบุ้งที่ซื้อไว้ใส่ตู้เย็นเหี่ยวหมดแล้ว  ถึงเพิ่งจะมีเวลาทำเมื่อวานค่ะ  เคยแต่ไปซื้อหมูหันมาทำ  นี่ลงทุนซื้อหมูสามชั้น  คิดว่าใช่นะคะ  ที่นี่เค้าเรียก pork belly น่ะค่ะ  มาทำ  ออกมาอร่อยมาก  มะกรูดปีนี้ลูกดกน้ำฉ่ำมาก  เปรี้ยวจี๊ดเลยค่ะ  ขอบคุณที่หาสูตรมาให้นะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 04 พ.ย. 04, 10:49

แกงหมูสามชั้นเทโพ  เมด อิน ยูเอสเอ เห็นแล้วน่ากินมากค่ะ  คุณพวงร้อย

ออกนอกกำแพงวังมาเข้าครัวส่งท้ายกระทู้  
ถ้าหากว่าชอบทานหมูนะคะ  บอกวิธีทำหมูส้ม(หรือหมูหมัก)ให้  ทำง่ายๆ  หมูอมเปรี้ยว  รสชาติเหมือนกินแหนมน่ะค่ะ  แต่ว่าไม่มีส่วนผสมดินประสิวก่อมะเร็ง  จึงปลอดภัยกว่า
อ้อ มีข้อแม้อีกอย่างว่า คนกินต้องไม่เกลียดกลิ่นกระเทียมด้วย

หั่นหมูเป็นชิ้นบางๆ  โขลกกระเทียมใส่ลงไปเยอะๆ เช่นหมู ๕ ขีด กระเทียม ๓ ขีด  เกลือนิดหน่อย แล้วแต่ชอบเค็มมากน้อย เติมน้ำลงไปสักครึ่งถ้วยกาแฟ
คลุกๆขยำๆให้เข้ากันจนนิ่ม  ใส่ซุปเปอร์แวร์ปิดฝาให้แน่น   ตั้งทิ้งไว้นอกตู้เย็นสัก ๒ คืน   ถ้าอุณหภูมิในห้องอุ่นเท่าอากาศในห้องเมืองไทยก็ ๒ คืนได้ผล  ถ้าอากาศเย็นเห็นจะต้องเพิ่มเวลา จนกว่าจะเปรี้ยวได้ที่
เคล็ดลับที่ทำให้หมูเปรี้ยวคือกระเทียมเยอะๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมากไป  
และเคล็ดลับที่ทำให้หมูนิ่ม (ได้มาจากแม่ค้าขายหมู) คือใส่น้ำลงไป หมูจะนิ่มค่ะ

พอได้ที่ก็เอามาทอด  อย่างธรรมดา  เหมือนทอดหมูทั่วไป ถ้าชอบกระเทียมเจียวก็เจียวให้เหลืองโรยหน้า  ไม่ชอบก็กินกับขิงและหัวหอม  หมูออกมาสุกปลอดภัย เนื้อนิ่มไม่แข็ง รสอมเปรี้ยวเหมือนแหนมทอด   กินกับข้าวต้มร้อนๆอร่อยนักแล
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 05 พ.ย. 04, 12:25


ดีใจคุณครูมาชมการบ้านค่ะ อิๆๆ  สูตรหมูส้มดูน่าทานมากเลยค่ะ  เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปตลาดเอเชียแล้วจะหาเนื้อหมูมาลองทำ  ฝรั่งตัดเนื้อหมูไม่เหมือนคนเอเชีย  เจอทีไรหงุดหงิดทุกที  อย่างหมูสันในนี่สับรวมกับ pork chops ทั้งกระดูกกระเดี้ยว เสียดายของสุดๆเลยค่ะ  เลยต้องรอไปตลาดเอเชียถึงจะถูกใจ  แต่มันไกลไปหน่อย  นานๆถึงไปทีค่ะ

ว่าไปน่าจะมี ครัวเรือนไทย นะคะ  อาหารไทยเดี๋ยวนี้ เด็กไทยรุ่นใหม่ๆก็ไม่รู้จักกันแล้วก็มี  กลับไปเมืองไทยหาอาหารพื้นบ้านก็ยาก  อย่างน้ำพริกนี่มีแต่ปลาแต่ไข่มาให้จิ้ม  หาผักสดๆทานให้จุใจยากมากๆเลยค่ะ  แถวแอลเอเสียอีกมีอาหารและขนมไทยทานเหมือนสมัยก่อนมากกว่าหลายร้านเลยทีเดียวค่ะ  

เอากุหลาบที่เพิ่งซื้อมา ยังไม่ทันลงดินมาฝากค่ะ  ดอกหอมมากๆๆ ดมกลิ่นถูกใจแล้วถึงถอยมาค่ะ
บันทึกการเข้า
พระอุทัย
อสุรผัด
*
ตอบ: 2

มัคคุเทศก์อิสระ


ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 13 ธ.ค. 04, 17:02

 เรียนคุณพวงร้อย ถ้าไปเจอหมูบดติดกระดูกอ่อน ลองผัดระเบิดดูบ้างซิ   ใช้น้ำพริกแบบแกงหมูก็ได้  แต่ต้องใส่พริกไทยอ่อน กับใบยี่หร่าด้วย ความเผ็ดมากๆ ขนาด 4ดาวขึ้นไป   โดยเติมพริกขี้หนูสดบุบลงไปผัดกับเครื่องแกงด้วย   ร้านอาหารที่เมืองไทยเขากำลังนิยมกัน
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 21 ก.ย. 05, 23:48

 อ่านที่อาจารย์เทาชมพูกรุณาตอบไว้ในกระทู้ราชสกุลแล้วพาดพิงถึงกระทู้นี้เลยต้องตามเข้ามาอ่าน  แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความเห็นเพิ่มเติม

"...สตรีที่อยู่ในข่ายเหมาะสมกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ หรือสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เขาว่ากันว่ามี 3 องค์ ล้วนแต่พิจารณาโดยสมเด็จพระพันปี
นอกจากเสด็จพระองค์หญิงเยาวภาฯ ก็มีพระธิดาในกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์อีกองค์หนึ่ง
อีกองค์คือสมเด็จหญิงน้อย เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระธิดาในพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ
แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะไม่อภิเษกสมรสกับพระกนิษฐภคินีไม่ว่าองค์ใด ส่วนองค์ที่เป็นพระญาติสนิท พระพันปีทรงเปลี่ยนพระทัยเองในเวลาต่อมา..."
ในเรื่องนี้ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงบรรยายไว้ในพระราชบันทึก "ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖" ที่พระราชทานเจ้าพระยารามราฆพไว้ว่า "...เสด็จแม่ได้ตรัสแก่ฉันให้เลือกคู่เสียทีเถิด  และทรงอ้างว่าทูลกระหม่อมก็ได้ทรงบ่นอยู่ว่าอยากให้ฉันมีเมีย  ส่วนพระองค์เสด็จแม่เองนั้นมีพระประสงค์ให้ฉันเลือกลูกเธอของทูลกระหม่อมองค์ ๑  และทรงแนะนำว่าหญิงน้อย (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนาภานภดล) เปนผู้ที่ทรงเห็นเหมาะ  แต่ฉันก็ยืนยันอยู่เช่นที่ได้เคยยืนยันมาแล้วตั้งแต่กลับจากยุโรป  ว่าไม่ยอมเลือกน้องสาวเปนเมียเปนอันขาด...
  เมื่อฉันไม่ยอมเลือกน้องสาวเปนเมียแล้ว  เสด็จแม่จึ่งทรงยอมว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้เลือกหม่อมเจ้าหญิงคนใดคน ๑  ฝ่ายฉันเห็นว่าจะอิดเอื้อนหรือผัดผ่อนต่อไปก็ไม่งดงาม  จึ่งทูลว่าถ้าเช่นนั้นขอเลือกลูกสาวเสด็จลุงคน ๑  เสด็จแม่จึ่งรับสั่งว่า ทรงเห็นว่าพอใช้ได้มีอยู่คน ๑ คือ ....................(ที่เรียกกันว่า "หญิงโอ")  แต่ในเวลานั้นฉันยังมิได้รู้จักมักคุ้นอะไรเลย  จึงตกลงเปนอันว่าเสด็จแม่ทรงรับจะฝึกฝนกิริยามรรยาทและสั่งสอนให้เรียบร้อยก่อน  แล้วจึ่งค่อยนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าหลวงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตต่อไป
  เมื่อได้ตกลงเช่นนั้นแล้วฉันจึงรูสึกชอบกล  ฉันเองเปนผู้ที่ได้เคยกล่าวค่อนแคะผู้ชายที่แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก  มาบัดนี้สิฉันเองจะต้องทำเช่นนั้น..."
แต่ในที่สุดสมเด็จพระพันปีหลวงทรงกริ้วหม่อมเจ้าหญิงพระองค์นั้น  จึงทรงบอกเลิกไปเอง
เสด็จลุงในพระราชบันทึกนั้นคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ  ส่วน "หญิงโอ" นั้น คือ หม่อมเจ้าทิพรัตนประภา  เทวกุล  
นอกจากพระราชบันทึกดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ยังมีเรื่องเล่ากันว่า โปรดหม่อมเจ้าพูนพิสมัย  ดิศกุล อยู่เหมือนกัน  แต่ท่านหญิงทรงรับใช้ใกล้ชิดติดพระองค์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาก  จึงมีรับสั่งว่า หญิงพูนเธอไม่รู้จักโตเสียที   ในส่วนของท่านหญิงพูนเองนั้นก็ดูว่าจะทรงเคารพรักในล้นเกล้าฯ ยิ่งกว่าเจ้าพี่เจ้าน้องทุกพระองค์ในราชสกุลดิศกุล

เรื่องล้นเกล้าฯ ทรงขัดแย้งกับกรมหลวงชุมพรฯ นั้นมีเรื่องเล่ากันพิสดารเสียเหลือเกิน  แต่ที่ผมเคยทราบมานั้น  เนื่องจากเสด็จในกรมชุมพรฯ ทรงมีพระชนมายุมากกว่าล้นเกล้าฯ เพียง ๑๓ วัน จึงทรงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่ทรงพระเยาว์  เมื่อเสด็จออกไปศึกษาต่อที่อังกฤษก็เสด็จออกไปพร้อมกัน  ในชั้นต้นนั้นก็ประทับอยู่ด้วยกัน  และจะทรงเรียนทหารเรือด้วยกันทั้งสองพระองค์  แต่ล้นเกล้าฯ ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระยุพราชรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดทรงเปลี่ยนการศึกษามาเรียนทางพลเรือนเป็นหลักเพื่อเตรียมพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์  แต่ก็โปรดให้ทรงเรียนวิชาทหารเพื่อรู้ไว้ด้วย  แต่ด้วยพระราชหฤทัยที่หนักไปในทางการทหารจึงได้ทรงศึกษาจนจบจากโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สท์  แล้วเสด็จไปทรงศึกษาวิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่เพิ่มเติม  รวมทั้งได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองจนทรงเชี่ยวชาญเรื่องการสงครามป้อมค่ายประชิด  และพระยาเทพหัสดิน (ผาด  เทพหัสดิน ณ อยุธยา) อดัตแม่ทัพไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้เล่าไว้ว่า  เมื่อล้นเกล้าฯทรงมีพระชนมายุได้ราว ๒๑พรรษา ได้เสด็จฯ ประพาสเบลเยี่ยม  และวันหนึ่งได้เสด็จฯ ทอดพระเนตร สถานที่ที่เมืองลิเอซ (Liez) เมื่อเสด็จฯ กลับถึงที่ประทับแรมได้ทรงเล่าถึงป้อมเมืองลิเอซ (ป้อมนี้ได้ชื่อว่าเป็นป้อมที่แข็งแรงที่สุดในยุโรปเวลานั้น)  ถึงสะพานและช่องทางที่ข้าศึกอาจยกเข้ามา  ได้ทรงทำนายไว้ว่า เยอรมันจะต้องยกเข้ามาทางนั้น  ได้รับสั่งเรื่องนี้แก่พระยาเทพหัสดิน ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมไว้เมื่อ ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901)  และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๗ หรือ ค.ศ. 1914 คือ ๑๓ ปีหลังจากนั้น  กองทัพเยอรมันก็ได้เข้าโจมตีลิเอซตามทางที่ได้ทรงทำนายไว้จริงๆ  และ Encyclopedia Britanica ได้บันทึกไว้ว่า  ในการรบครั้งนั้นซึ่งกินเวลาราว ๗ วัน  มีทหารเสียชีวิตกว่า ๔ หมื่นคน
ขอย้อนมากล่าวถึงเรื่องความขัดแย้งระหว่างล้นเกล้าฯ กับเสด็จในกรมชุมพรต่อ  เมื่อเสด็จกลับจากทรงศึกษาที่อังกฤษทั้งสองพระองค์แล้ว  ล้นเกล้าฯ ได้ทรงรับราชการเป็น จเรทัพบก ทัพดรือ และผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก  ส่วนเสด็จในกรมฯ ได้เสด็จฯ เข้ารับราชการในกรมยุทธศึกษาทหารเรือ  และทรงเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายเรือ  ในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อโปรดให้สร้างพระตำหนักพญาไทขึ้นนั้น  โปรดที่จะเล่นปิคนิคและทรงปลูกผักทำสวนครัว  รวมทั้งทรงเลี้ยงไก่  กล่าวกันว่า เสด็จในกรมชุมพรฯ โดยคำแนะนำของกรมหลวงประจักษ์ก็ทรงเจริญรอยพระยุคลบาท  ทรงอ้างว่าทรงปลูกผักทำสวนครัวตามพระราชนิยม  มีผักมาถวายเป็นเข่งๆ ทุกวัน  แต่แท้จริงแล้วว่ากันว่าทรงซื้อมาจากตลาด  และเมื่อหม่อมเจ้าหญิงทิพสัมพันธ์ พระชายาสิ้นชีพิตักษัยไปแล้ว  เสด็จในกรมฯ คงจะทรงโทมนัสมากจึงได้ทรงหันไปศึกษาวิชาคาถาอาคม  ประกอบกับได้เกิดเหตุวิวาทกันระหว่างนักเรียนนายเรือกับมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมฯ ดังที่อ้างถึงข้างต้น  ซึ่งท่านผู้ใหญ่ทางฝ่ายมหาดเล็กท่านว่า  นักเรียนนายเรือไปห้ามพวกมหาดเล็กมิให้ฝึกหัดท่าทหาร  จึงมีปากเสียงกันขึ้น  เมื่อความทราบฝ่าละอองพระบาทจึงโปรดให้เลขานุการในพระองค์มีหนังสือว่ากล่าวไปทางผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ  ทรงหวังว่าเรื่องคงจะจบลงเพียงนี้  แต่วันหนึ่งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งให้หาสมเด็จพระบรมฯ ไปเฝ้าในที่รโหฐานและได้มีพระราชดำรัสว่า ที่ทรงให้เลขานุการในพระองค์มีหนังสือเตือนไปนั้น  ทางผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือเกรงกลัวภัยจะถึงตัว  รวมทั้งได้รับสั่งว่า ในกรมชุมพรฯ ทรงเกรงภยันตรายจึงได้นำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบารมีปกเกล้าฯ  แต่สมเด็จพระบรมฯ ก็มิได้ทรงติดใจอะไร  และเล่ากันว่สมื่อเสด็จกลับถึงวังสราญรมย์แล้ว ทูลกระหม่อมบริพัตรซึ่งเวลานั้นทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเรือก็ได้เสด็จไปเฝ้าฯ และกราบทูลขอโทษว่า ไม่ทรงทราบเรื่องมาก่อน  และทรงรับว่าจะไปต่อว่าเสด็จในกรมชุมพรฯ มิใทรงกระทำเช่นนั้นอีก
ต่อมาปรากฏว่า เสด็จในกรมชุมพรฯ ซึ่งเป็นพวกหัวใหม่ ทรงขัดแย้งกับนายทหารเรือรุ่นเก่า ที่เรียกกันว่าพวก "หัวเก่า" ถึงกับไม่เสด็จไปทรงงานที่กองทัพเรือเลย  แต่ยังทรงรับเงินเดือนเต็ม นับว่าทรงเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่พวกทหารเรือหนุ่มๆ จนถึงขั้นนายทหารเรือหนุ่มคนหนึ่งถึงกับขู่ว่า  หากไม่ได้รับเงินค่าเดินทะเลที่ค้างจ่ายมาแต่แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว  จะสไตรค์เอาเรือไปลอยเสียที่ปากน้ำ  ซึ่งในเรื่องนี้ก็ไม่ปรากฏว่า เสด็จในกรมฯ ทรงห้ามปรามลูกศิษย์  กลับทรงเข้าข้างพวกลูกศิษย์  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงได้ทรงนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมเสนาบดีสภา  กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และสมเด็จเจเฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงเห็นว่า ควรปลดกรมหลวงชุมพรออกเป็นกองหนุนเพื่อให้ทรงสำนึกตัว  จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ปลดเสด็จในกรมชุมพรฯ ออกจากราชการเป็นกองหนุนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ต่อมาเสด็จในกรมฯ ได้กราบบังคมทูลสำนึกผิดจึงได้โปรดให้เสด็จเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือต่อมาจนได้เสด็จไปทรงเลือกซื้อเรืรบหลวงพระร่วง  และทรงบังคับการลูกเรือชาวไทยทั้งลำนำเรือนั้นเดินทางกลับจากอังกฤษสู่ประเทศสยามโดยสวัสดิภาพ  นับเป็นการเดินเรือข้ามทวีปโดยชาวไทยล้วนๆ เป็นครั้งแรก  และในบั้นปลายพระชนม์ชีพ  ได้โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมเป็นเสนาธิการทหารเรือ และเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในที่สุด
ขอกล่าวถึงเรื่องนักเรียนนายเรือเพิ่มเติม  ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้นกล่าวกันว่า นักเรียนนายเรือมิได้เป็นสุภาพบุรุษทหารเรือดังเช่นทุกวันนี้  ในสมัยนั้นเมื่อนักเรียนนายเรือไปแข่งขันฟุตบอลกัลโรงเรียนหรือหน่วยงานอื่นๆ สุดท้ายมักไปตีกับฝ่ายตรงข้ามเป็นประจำ  จึงถูกห้ามมิให้เข้าแข่งขันไปพักหนึ่ง  จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทีมสุภาพบุรุษโรงเรียนนายเรือจึงได้เข้าร่วมการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลกับทีมมหาวิทยาลัยต่างๆ  มาจนถึงทุกวันนี้  จากนั้นจึงได้ขยายไปสู่กีฬาอื่นๆ ยกเว้นกีฬาฟุตบอล
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 22 ก.ย. 05, 00:00

 อ่านความเห็นที่ ๙๖ ที่ว่า
ขอย้อนไปความเห็นที่ 38 ของคุณเทาชมพูครับ

"เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ สิ้นพระชนม์ กล่าวกันว่าปอดบวม ดิฉันเคยคุยกับแพทย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าน่าสงสัย เพราะปอดบวมจะไม่ส่งผลรุนแรงขนาดสองวันคนไข้ตาย น่าจะยืดเยื้ออยู่เป็นอาทิตย์ รักษาทัน ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร"

ตรงนี้ต้องขอเรียนว่า อย่าเอาวิทยาการสมัยใหม่ไปจับนะครับ  สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าทุกวันนี้  สาเหตุที่ทิวงคตนั้นน่าจะมาจากทรงตรากตรำพระวรกายในตำแหน่งเสนาธิการทหารบก  ซึ่งต้องทรงเป็นผู้บัญชาการในการซ้อมรบใหญ่ทหารบกที่ทุ่งอยุธยา (ตรงนี้ต้องเรียนว่าการซ้อมรบสมัยก่อนนั้นใช้ทหารหลายหมื่นนายลงไปกินนอนอยู่กลางทุ่งเป็นสัปดาห์  การสื่อสารก็ยังต้องใช้พลเดินสารหรืออาณัติสัญญาณธง) และการที่จะต้องทรงไปคลุกคลีกินนอนอยู่กับทหารตากแดดตากลมอยู่กลางทุ่งเป็นเวลานับสิบวันนั้น  ร่างกายย่อมทรุดโทรมลงเป็นธรรมดา  เมื่อเสร็จการซ้อมรบแล้วก็เสด็จออกไปสิงคโปร์เลย  ไม่ทันได้ทรงพักผ่อน  คงจะทรงไปพักในเรือในระหว่างเสด็จยุโรป  ประกอบกับทรงมีโรคประจำพระองค์อยู่แล้ว  เมื่อมาเจอฝนจึงเป็นเหตุให้ประชวรปอดบวมแล้วเสด็จทิวงคตในเวลอันรวดเร็วก็เป็นได้  แต่ที่ลือกันว่า อาจจะทรงถูกวางยานั้น  เพราะมีนายทหารผู้ใหญ่เสียชีวิตกันหลายท่านในเวลาใกล้เคียงกัน  แต่อาจะลืมนึกไปว่าแต่ละท่านนั้นปกติมิได้ออกไปตรากตรำกลางทุ่งกันอย่างนั้นมาก่อน  เมื่อร่างกายทนการตรากตรำไม่ไหวก็มีอันต้องร่วงโรยไพร้อมๆ กันได้
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 22 ก.ย. 05, 00:09

 อันคำว่าพระพันปีหลวง กับพระพันวษา นั้น  เคยอ่านพบในตำราแม่ครัวหัวป่าก์ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งเป็นคุณข้าหลวงเดิมในเจ้าฟ้าบุญรอด ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดสถาปนาพระอํฐิเป็น กรมเสด็จพระสุริเยนทรามาตย์ ที่สมเด็จพระบรมราชชนี พันปีหลวง  แต่ในบทประพันธ์นั้นท่านผู้เขียนได้ออกพระนามเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดว่า "พระพันวษา" มาโดยตลอด  และออกพระนามกรมเด็จพรัศรีสุราลัย ว่า "สมเด็จพระพันปี"  และในเฉลิมพระยศเจ้านาย  ก็จะปรากฏเป็นธรรมเนียมว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติแล้วจะทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมราชชนี พันปีหลวง ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระ... ทุกรัชกาล
จึงน่าจะสรุปได้ว่า  สมเด็จพระพันปีหลวง นั้น คือ พระมเหสีในพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนและทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อมา  ส่วนสมเด็จพระพันวัสสา นั้นก็ทรงเป็นพระมเหสีเอกในพระเจ้าแผ่นดิรัชกาลก่อนแต่มิได้ทรงเป็นพระบรมราชชนนีพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อมา  หากแต่ทรงยกย่องเสมอด้วยพระบรมราชชนี
บันทึกการเข้า
ศรีปิงเวียง
องคต
*****
ตอบ: 566

เรียนจบแล้ว


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 02 ต.ค. 05, 10:29

 
เคยโดดเด่นคนเห็นเป็นพลุดัง สวยสะพรั่งแพรวพราวขาวเวหา
แล้วตกต่ำดิ่งด่ำคว่ำลงมา อยู่กับพื้นคนพามองหน้าดู


เบื่อชีวิตไม่คิดจะอย่างนี้ เบื่อเต็มทีระทมขมขื่นหลาย
เบื่อลำบากยากไร้ไม่สบาย เบื่ออยากตายทุกข์ทนอยู่คนเดียว


ยามชราหูตาต่างมัวมืด จิตชาชืดหนังย่นร่นความสวย
ไม้ใกล้ฝั่งนั่งคอยเวลาม้วย เพราะเหตุด้วยดูโลกโศกเศร้านาน


อนาถหนอโลกนี้ชีวิตมนุษย์ ยามสาวสุดสูงเด่นเป็นดวงแข
ยามชราเอือมระอาคนรังแก ช่างไม่แน่เหมือนหวังดังคาดเดา


อนิจจาโอ้ว่าตัวเรา ตรมเศร้าโศกสลดหมดสุข
ขมขื่นกลืนแต่ความทุกข์ ทรยุคยากไร้ไข้ครอง
ลำบากยากแค้นแสนสาหัส อัตคัดผู้คนปรนสนอง
มีแต่ศัตรู จู่ปอง ครอบครองย่ำยีบีฑา
เจ็บจนทนทุกข์ถึงที่ ไม่มีญาติมิตรมาหา
บ่นไปก็ไร้ราคา นิ่งเสียดีกว่าเป็นบ้าไป
เคราะห์ดีที่เราเฝ้าเพียร ขีดเขียนข้อข้องป้องได้
พอปลอบดวงจิตพิษภัย สดใสสร่างเศร้าเหงางง
คนเดียวเดี่ยวโดดต่อสู้ สัตรูมากมายไม่หลง
ยังสู้สัตรูอย่างทนง นึกปลงว่ากรรมทำมา
วันหนึ่งจักได้ชัยชนะ เพราะพระธีรราชมหา
รับสั่งว่าไว้ใครมา อะเวราสนองป้องภัยเอย

ใครรานพาลข่มข้า ลักษมี
ขอเดชพระบารมี เลิศล้ำ
บันดาลพวกกาลี พินาศ
มันข่มข้าชอกช้ำ ใช่แกล้งกล่าวหา

พระนางเธอลักษมีลาวัณ


ไม่ทราบว่าพระนิพนธ์ “ขีดเขียนข้อข้องป้องได้ พอปลอบดวงจิตพิษภัย สดใสสร่างเศร้าเหงางง” ทั้งบทนี้เป็นอย่างไรครับ เพราะในห้องสมุดไม่มีหนังสือที่กล่างถึงพระนิพนธ์ดังกล่าว เต็ม ๆ ครับ

ดูจากพระนิพนธ์ซึ่งไม่ต้องอธิบายมากแล้ว ก็เข้าเรื่องในกระทู้นี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยครับ
ผมขอถาม อ. เทาชมพูว่า เรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ นี้ถือว่าผิดกฎกติกาของวิชาการดอทคอมหรือเปล่าครับ เคยอ่านแล้วสนุกดี สะท้อนหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างในราชสำนัก    
บันทึกการเข้า

ไม่เห็นใครแน่นอน
นางมารน้อย
พาลี
****
ตอบ: 306


ทำงานแล้วค่ะ


ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 10 พ.ค. 13, 14:16

ต้องกราบขอบพระคุณคุณ V_Mee ด้วยค่ะที่กรุณามาให้ขอมูลในอีกแง่มุมหนึ่งให้เราได้รับรู้ค่ะ

เพิ่งได้มาติดตามอ่าน ขอบคุณคุณเทาชมพูสำหรับเรื่องราวค่ะ
บันทึกการเข้า

สวัสดีทุกๆท่านค่ะ
yong9798
อสุรผัด
*
ตอบ: 5


ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 18 ส.ค. 13, 22:30

สวัสดีค่ะคุณ paganini หายหน้าไปพักใหญ่เชียวนะคะ  งานยุ่งมากหรือ

ยินดีที่กลับมาร่วมวงคุยกันอีกค่ะ


คุณพวงร้อยคะ   ข้อสังเกตของคุณพวงร้อยทำให้ดิฉันต้องกลับไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการเสกสมรสของเจ้านายอีกครั้ง

ก็พบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ


ถ้าหากว่าเราลำดับถึงพระมหากษัตริย์และพระมเหสีในแต่ละรัชกาลแล้ว  จะเห็นได้ว่ามีรัชกาลเดียวเท่านั้นที่มีพระมเหสีเป็นพระกนิษฐภคินีต่างพระมารดากัน   คือในรัชกาลที่ ๕

นอกนั้นไม่ใช่

ในรัชกาลที่ ๑  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯกับสมเด็จพระอมรินทร์ฯ ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย  ฝ่ายชายมีตระกูลอยู่ทางกรุงศรีอยุธยา  ฝ่ายหญิงอยู่ราชบุรี

แล้วมาสมรสกันด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่

 ในรัชกาลที่ ๒  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯ ไม่ใช่พี่น้อง  แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  แบบ first cousin  ฝ่ายหญิงเป็นลูกป้า  ฝ่ายชายเป็นลูกน้า(ชาย)

ในรัชกาลที่ ๓  ไม่ทรงมีพระมเหสีในราชวงศ์จักรี  ทรงมีแต่เจ้าจอม  ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

ในรัชกาลที่ ๔  สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีพระมเหสี ซึ่งนับตามลำดับญาติแล้ว เป็นหลานปู่  แต่ไม่ใช่หลานแท้ๆ

ในรัชกาลที่ ๖   พระนางเธอลักษมีฯ   เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  พระนางเจ้าอินทรศักดิศจีเป็นสามัญชน เช่นเดียวกับพระนางเจ้าสุวัทนา   ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน

ในรัชกาลที่ ๗   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระนางเจ้ารำไพพรรณี อยู่ในฐานะพระญาติ first cousin

ในรัชกาลปัจจุบัน  สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระญาติในพระราชวงศ์จักรี   ดิฉันเข้าใจว่าถ้านับแบบฝรั่งเขาจะเรียกว่า second cousin
ขอเรียนถามอาจารย์ว่าเจ้าฟ้ากุณฑลซึ่งเป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่๑ ทรงอยู่ในฐานะพระเหสีหรือเจ้าจอมของรัชกาลที่๒ ครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 18 ส.ค. 13, 23:43

^

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5
บันทึกการเข้า
yong9798
อสุรผัด
*
ตอบ: 5


ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 19 ส.ค. 13, 00:12



ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.056 วินาที กับ 19 คำสั่ง