เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
อ่าน: 87944 จารึกหลักที่ 1 และความคิดเห็นที่แตกต่างในของนักวิชาการ
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 03 ก.ย. 04, 15:56

 ขอโทษครับ บริบทครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 03 ก.ย. 04, 16:09

 เอ ดิฉันจะตอบยังไงดีล่ะคะ  สงสัยจะไม่เข้าใจจริงๆ

คืองี้ค่ะ   คราวที่แล้วดิฉันเข้าใจว่าคุณตั้งประเด็นเรื่องการจารึกก่อน จารึกหลัง โดยเอาความเคร่งครัดเรื่องวรรณยุกต์เป็นหลักในการจับว่าอะไรก่อนอะไรหลัง    ดิฉันก็ตอบว่ามันวัดจากการใส่วรรณยุกต์ครบ ไม่ครบ ไม่ได้

ตอนนี้  ดูเหมือนคุณจะมองในแง่ที่ว่า ทำไมหลักเดียวกัน คำเดียวกัน  ใส่วรรณยุกต์ไม่เหมือนกัน
และแปลกว่าหลักที่ 1 เคร่งครัด  หลักอื่นๆไม่เคร่งครัด
ไม่เกี่ยวกับก่อนหลังแล้วใช่ไหมคะ

งั้นตอบแบบนี้ได้ไหม ว่า พ่อขุนรามท่านตั้งใจประดิษฐ์ลายสือไท  ท่านก็วางแบบแผนการใช้ไว้เป็นระเบียบ แต่หลักอื่นๆ ไม่ได้ตามท่าน   ก็เลยไม่ได้ตามระเบียบนี้

คุณจะสงสัยไหมคะว่าทำไมหลักอื่นๆไม่ได้ตามระเบียบ?
ถ้าตอบข้อนี้ ก็มีการสันนิษฐานไว้หลายข้อด้วยกัน  แต่ยังไม่อธิบายละนะ ไม่รู้ว่าตรงข้อสงสัยของคุณหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 03 ก.ย. 04, 17:23

 ตรงแล้วครับ    
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 03 ก.ย. 04, 18:03

 จะว่าเกี่ยวกับก่อนหลังหรือไม่อยู่ที่สมมติฐานครับ

1.อย่างอ.ธวัชว่า ตรึงไว้ก่อนว่าเป็นสมัยสุโขทัยแล้วลองหาเหตุผลดูว่าที่ไม่เหมือนใครนั้นเป็นเพราะอะไร

2.สงสัยว่าต้องไม่ใช่ของสมัยสุโขทัยแน่ เพราะำไม่เหมือนใคร ที่เห็นชัดก็แบบอ.พิริยะครับ ไปไกลถึงสมัย ร.๔ เลย ซึ่งความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาที่เป็นไปได้นั้นกว้างกว่านั้นมากครับ เพียงแต่หลักฐานที่จะหาได้ในช่วงเวลาอื่นนั้นมืดมนเหลือเกิน

ประเด็นของผมไม่ยึดกับอันใดอันหนึ่งครับ แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องตัดทั้งสองทางไป ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อสมมติฐานของอ.พิริยะแต่อย่างใดครับ (กลายเป็นว่าใครคุยเรื่องนี้ต้องรีบออกตัวก่อนเลย)  

หากจะเชื่อแบบอ.พิริยะก็เหนื่อยครับ เพราะต้องรับเงื่อนไขเหล่านี้เข้ามาก่อน
-ร.๔ได้อ่านจารึกอื่นๆอีกเป็นสิบหลัก
-ร.๔ reverse engineering อักษรสุโขทัยจากจารึกเหล่านั้นแล้วปรับปรุงเป็น ระบบเขียนไทยแบบก้าวหน้า แต่ไม่ทราบว่าทำไมไม่รวมเอาไม้ตรีไม้จัตวามาด้วย แถมไม่ทรงเผยแพร่ให้ใช้กันอีกต่างหาก
-ร.๔ เป็นผู้ทรงหรือรู้เห็นการแต่ง ไตรภูมิฯ,ตำรับฯ ด้วย(เพิ่มตัวแปรเข้ามาอีก)
ฯลฯ

แต่หากจะเชื่อทฤษฎีพ่อขุนรามประดิษฐ์ ผมก็ยังชั่งใจอยู่
-ถึงแ้ม้จะเห็นได้เลยว่าอธิบายได้ เพราะระบบในหลักที่ ๑ นั้น เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้มาจากการวิวัฒน์ แต่ก็ต้องเชื่อว่าพ่อขุนรามสร้างระบบการเขียนล้ำยุคขึ้นมา ในวันที่ระบบการเขียนไทยยังไม่มี(หรือพออนุโลมได้ว่ามีแต่ยังไม่ mature)
-ต้องเชื่อว่าคนร่วมสมัยตามพระองค์ไม่ทัน ใช้ตามได้แบบครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ หลังจากนั้นอีกหลายร้อยปีถึงจะเริ่มก้าวหน้าหยิบเอาสิ่งที่พระองค์สร้างไว้มาใช้ (แถมยังไม่ครบถ้วนอีกต่างหาก ระบบปัจจุบันจะดีกว่านี้ถ้าได้ระบบการเขียนตัวควบกล้ำของพระองค์มาด้วย)
-สุดท้ายแล้วหากจะเชื่อตามนี้ ก็ต้องเชื่ออย่างที่อ.ประเสริฐว่าไว้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนี่คืออัจฉริยภาพของพ่อขุนรามโดยแท้ การที่คนๆหนึ่งลุกขึ้นมาปฏิวัติระบบการเขียนอักษรแล้วทำได้ขนาดนี้ ต้องอัจฉริยะจริงๆ (ลองดูตัวอย่างเปรียบเทียบได้กับการปฏิวัติระบบการเขียนครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เองที่เห็นได้ว่าการปฏิวัติแบบ"ปฏิอัจฉริยะ"เป็นอย่างไร)

ดูกันไปครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 03 ก.ย. 04, 18:06

 หลักอื่นๆ 100 กว่าหลัก ที่ไม่ได้ตามระเบียบ มีข้อสันนิษฐานได้หลายข้อ คือ
1)   ไม่มีมาตรฐานการจารึก ที่ลงตัวเป็นระเบียบเดียวกัน แม้แต่ในหลักเดียวกัน ก็สะกดกันไปคนละอย่างได้
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ไม่ได้มีอิทธิพลกับหลักอื่นๆ   ว่าเมื่อมีหลักนี้เป็นระเบียบแบบแผนอยู่ให้เห็นทั้งหลักแล้ว    หลักอื่นจะต้องเดินเข้าแถวตามนี้  
บรรดาพ่อขุนอื่นๆก็ดีหรือว่าบุคคลสำคัญที่เป็นผู้สั่งให้จารึกก็ดี  ไม่ได้เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าแถว  จะเป็นเพราะยังไม่มีราชบัณฑิตยฯ หรือกระทรวงศึกษาธิการมากำหนด ก็เป็นได้

การไม่มีมาตรฐานเดียวกัน  เช่นนี้มีมาในสมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์

2) ยึดการเขียนตามเสียงที่ได้ยิน  ศิลาจารึกจากคนละถิ่น คนละรัชกาล  อาจมีการออกเสียงที่ผิดเพี้ยนกันไป  ทำให้การสะกดสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ไม่ตรงกัน

3) ผิด   เช่น  เขียนผิด อ่านผิด ปริวรรตผิด จารึกลบเลือน ทำให้บางตัวหายไป หรือเข้าใจว่าเป็นตัวอื่น

ย้อนมาถึงข้อที่ 1   เคยพบว่า คนโบราณแม้แต่ไม่นานนัก เช่นเมื่อ 200 ปีก่อนจะพิถีพิถันกับการเขียนลายมือให้งาม   แต่ไม่สนใจความถูกต้องของการสะกดตัว   แม้แต่อาลักษณ์เองก็เขียนต่างกันตามใจชอบ  ทำให้ต้องมาปริวรรตกันใหม่และสอบทานให้ตรงกันในสมุดข่อยโบราณฉบับต่างๆ  ลักษณะนี้อาจจะนำไปประยุกต์อธิบายได้กับการจารึก
เอาแค่นี้นะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 24 พ.ย. 19, 19:46

ดึงกระทู้นี้ขึ้นมาอีก   เพราะเจอว่า ผู้จัดการออนไลน์ลงข่าวเรื่องนี้ หลังจากเงียบหายกันไปหลายปีแล้ว

เป็นไปได้ไง! ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เพิ่งทำในยุครัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ร่วมเขียน!!
เผยแพร่: 22 พ.ย. 2562 09:33   โดย: โรม บุนนาค

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ องค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาติ ได้ลงมติประกาศอย่างเป็นทางการให้ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ เป็นมรดกแห่งความทรงจำของโลก และการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นมรดกโลกนั้น คณะกรรมการยูเนสโกจะต้องพิจารณาในด้านมีคุณค่าสำหรับสากล เป็นของหายาก สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของแท้ และเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติหรือทางวัฒนธรรมก็ตาม ทั้งนี้ก็โดยพิจารณาจากข้อเสนอของคณะกรรมการชาติผู้เป็นเจ้าของ

ศิลาจารึกที่พบในประเทศไทยนั้น ตามหนังสือประชุมศิลาจารึกสยาม ปรากฏว่ามีถึง ๒๐๐ กว่าหลักและแผ่น ขุดพบทั่วทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งได้จารึกไว้ในเวลาต่างๆกัน ส่วนศิลาจารึกของกรุงสุโขทัยขุดพบได้เพียง ๑๔-๑๕ หลัก มีทั้งภาษามคธ มอญ และเขมร หลักของพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักแรกที่ใช้ภาษาไทย จึงถือกันว่าเป็นหลักที่ ๑ ซึ่งจารึกไว้ในสมัยที่ไทยปลดแอกจากขอมได้ใหม่ๆ มีจ้อความ ๑๒๔ บรรทัดอยู่ทั้ง ๔ ด้านของหลัก กล่าวถึงการเมือง การปกครอง ความเป็นอยู่ของเมืองสุโขทัย การสงคราม กฎหมาย ประเพณี เศรษฐกิจ ผังเมือง ปรัชญา การพระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย และอื่นๆอีกหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องการถือผี

หลักศิลาจารึกส่วนใหญ่จะกล่าวถึงเรื่องศาสนา แต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักเดียวก็ว่าได้ ที่กล่าวถึงเรื่องการเมืองการปกครอง ในยุคนั้นการปกครองบ้านเมืองล้วนแต่ใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช คนเผ่าไทยที่เคยปกครองอาณาจักรน่านเจ้ามาก่อนก็ใช้การปกครองแบบนครรัฐ แต่ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงกลับเป็นแบบพ่อปกครองลูกเหมือนในครอบครัว ซึ่งล้ำหน้ากว่าการปกครองในยุคนั้น

การขึ้นครองราชย์ ขอมซึ่งมีอิทธิพลในย่านนี้ ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราช ไม่ใช่คนธรรมดา แม้แต่ในยุโรปยุคนั้นก็อ้างว่าพระเจ้าให้มาครองราชย์เช่นกัน แต่พ่อขุนรามคำแหงจารึกไว้ว่า “พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม” ชัดเจนถึงการถ่ายทอดอำนาจโดยไม่ต้องอ้างเทวดาหรือพระเจ้า

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี มีความเห็นว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ น่าจะถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของโลกที่เป็นแบบอย่างประชาธิปไตย

ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นเหตุผลที่คณะกรรมการยูเนสโกได้พิจารณาลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง มรดกของชาติไทย มีคุณค่าที่ควรเป็นมรดกของโลก

หลักศิลาจารึกหลักนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งยังทรงผนวชเป็น พระวชิรญาณภิกขุ ทรงค้นพบที่เนินวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เมื่อราว พ.ศ.๒๓๗๖ และนำมาไว้ที่กรุงเทพฯ เมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงทรงแปลข้อความในจารึกนี้ออกมาเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ศิลาจารึกหลักที่ ๑ นี้ ไม่มีข้อความว่าจารึกในปีใด กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อปีมะแม มหศักราช ๑๒๐๕ ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์ “ลายสือไทย” ขึ้นเป็นครั้งแรก จึงสันนิษฐานว่าคงจะสลักศิลาจารึกไว้ในเวลาใกล้ๆกัน แต่นักประวัติศาสตร์และวรรณคดียังสงสัยกันว่า ศิลาจารึกหลักนี้ไม่ได้จารึกสำเร็จในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เพราะมีข้อความในด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ถึงบรรทัดที่ ๑๘ ตั้งแต่ “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ ...จนถึง พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม” ใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ มาตลอด จากนั้นก็กลับใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ ซึ่งตีความหมายกันว่า จารึกเมื่อพ่อขุนรามคำแหงสวรรคตแล้ว

แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มีความเห็นว่า พ่อขุนรามคำแหงคิดภาษไทยได้สำเร็จใน พ.ศ.๑๘๒๖ ก็น่าจะสลักศิลาจารึกเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนั้น กว่าจะสวรรคตใน พ.ศ.๒๘๖๐ มีเวลาถึง ๓๔ ปี ไม่น่าจะจารึกไม่เสร็จ หลักศิลาจารึกสูงเพียง ๑ เมตร ๑๑ เซนติเมตร กว้าง ๓๕ เซนติเมตรเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะตอนต้นที่ใช้คำหนักๆ เช่น พ่อกู แม่กู อาจจะทำให้ดูขลัง ส่วนบางคนว่า ในตอนท้ายใช้สระและพยัญชนะต่างกันไปบ้าง ก็ตงเพราะระยะนั้นเพิ่งคิดอักษรไทยขึ้นใหม่ๆ การเขียนจึงยังไม่คงที่แน่นอน หรืออาจใช้คนละคนแกะสลักก็ได้ หัวท้ายจึงต่างกัน

นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการอีกหลายคนวิพากษ์วิจารณ์หลักศิลาจารึกหลักนี้ ว่าไม่ใช่จารึกขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง แต่ทำในยุครัตนโกสินทร์นี่เอง เพื่อผลทางการเมือง

ไมเคิล วิเคอรี ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกเอเซียอาคเนย์ ได้เสนอการวิเคราะห์ในการสัมนาประวัติศาสตร์ ที่กรุงแคนเบอรา ออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ อธิบายว่า ศิลาจารึกนี้ไม่น่าจะเขียนขึ้นในยุคสุโขทัย อาจจะเขียนขึ้นหลังจากนั้น หรือเพิ่งจะเขียนขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง โดยอ้างเหตุผลว่า หลักศิลาจารึกหลักนี้มีความแตกต่างจากหลักอื่นๆมาก เช่น

ภาษาในศิลาจารึกหลักนี้มีวรรณยุกต์ใกล้เคียงกับภาษาในปัจจุบันมากกว่าศิลาจารึกหลักอื่นๆ อีกทั้งมีคำไทยแท้มากจนน่าผิดสังเกต ซึ่งศิลาจารึกหลักอื่นๆจะมีอิทธิพลของภาษาขอมอยู่มาก

ศิลาจารึกหลักนี้เรียกกำแพงเมืองสุโขทัยว่า “ตรีบูร” ซึ่งหมายถึงกำแพง ๓ ชั้น แต่กำแพงเมือง ๓ ชั้นนี้เพิ่งสร้างในยุคที่มีปืนใหญ่แบบตะวันตกเข้ามาแล้ว

ศิลาจารึกเขียนสระ อิ อี อึ อือ อุ อู อยู่บรรทัดเดียวกันแบบฝรั่ง ขณะที่จารึกหลักอื่นๆเขียนอยู่บนล่าง จึงน่าจะเขียนเมื่อได้รับอิทธิพลจากภาษาตะวันตกแล้ว

เนื้อหาของศิลาจารึกมีข้อที่น่าสงสัย เพราะกล่าวถึงเรื่องการเมือง ขณะที่ศิลาจารึกอื่นๆกล่าวแต่เรื่องศาสนา

ข้อสงสัยของฝรั่งนี้ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิตสาขาประวัติศาสตร์ ได้คัดค้านความเห็นของไมเคิล วิเคอรีทันที โดยให้ความเก็นว่า เรื่องสระพยัญชนะอยู่ในบรรทัดเดียวกันไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาของชาวยุโรป กลุ่มไทยขาวก็เขียนแบบนี้เหมือนกัน อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯที่ฝ่ายคัดค้านว่าเป็นผู้ทรงสร้างหลักศิลาจารึกนี้ขึ้นเองนั้น ดร.ประเสริฐกล่าวว่าก็ทรงแปลผิดไว้หลายแห่ง และยังมีบางคำที่ไม่เข้าพระทัย จนเมื่อความรู้ทางภาษาศาสตร์ขยายตัวขึ้น จึงอ่านและตีความหมายได้มากขึ้น ฉะนั้นที่ว่าศิลาจารึกหลักนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของพระองค์ จึงเป็นไปไม่ได้




นักวิชาการบางส่วนของไทยเอง ก็ออกมาระบุว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ไม่ได้ทำขึ้นในพ.ศ.๑๘๓๕ ในสมัยกรุสุโขทัย แต่ทำขึ้นระหว่าง พ.ศ.๒๓๙๔-๒๓๙๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่ง ดร.ประเสริฐ ณ นคร ก็ได้ให้ความเห็นว่า มีการพูดเรื่องนี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว และถกเถียงกันมาหลายครั้ง ส่วนการยกคำศัพท์ไปเทียบกับหลักศิลาจารึกอื่นๆนั้น ยังมีเหตุผลไม่พอเพียง และวิธีพิสูจน์ก็ยังไม่พอให้เชื่อถือ อย่างคำว่า “ขับ” ฝ่ายคัดค้านบอกว่าในหลักศิลาจารึกอื่นแปลว่า “ไล่” แต่ในหลักที่ ๑ นี้มีความหมายว่า “ร้อง” แต่ถ้าไปดูให้ดีก็จะเห็นว่า ในหลักที่ ๑ นี้ก็มีคำว่าขับ ที่หมายความว่าไล่เหมือนกัน แต่ใช้พยัญชนะ “ฃ” แทน

คำว่า “เมืองไท” ที่มีอยู่ในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ อ้างว่าคำนี้เพิ่งเกิดในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ ๓-๔ เพราะโบราณไม่ได้คิดถึงเรื่องเชื้อชาติ ประเทศ แต่ในศิลาจารึกวัดป่าแดง ที่เชียงตุง ซึ่งจารึกไว้ในปี พ.ศ.๑๙๙๔ มีระบุว่า ศาสนาจากลังกามาถึงเมืองไท แสดงว่าคำนี้มีมานานแล้ว ส่วนคำว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่” ที่บอกว่าทำขึ้นในรัชกาลที่ ๔ เพราะคิดในเรื่องทุนนิยม ลองไปอ่านดูใน “ไตรภูมิพระร่วง” ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยพระยาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย จะกล่าวถึงการเก็บภาษีด้วย หรือในหลักศิลาจารึกที่ ๑ ที่กล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหงใส่ลายสือไท ก็คล้ายกับที่มีอยู่ในหนังสือ “จินดามณี” ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่กลุ่มผู้คัดค้านก็แย้งว่าอาจใส่ความเข้าไปใหม่ เมื่อไปค้นต้นฉบับหนังสือจินดามณีที่เป็นลายมือสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็มีข้อความนี้

ส่วน นายไมเคิล ไรท ฝรั่งผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยผู้หนึ่ง ได้ให้ความเห็นสนับสนุนข้อสันนิษฐานของนักวิชาการกลุ่มที่เห็นว่าหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ทำในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่า

“...กลุ่มนักปราชญ์อิสระเหล่านี้ได้พบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์ประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ ๑๙ ในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย หรือสมัยรัชกาลที่ ๔ ทุกสิ่งทุกอย่างผิดจากสมัยโบราณเมื่อ ๗๐๐ ปีที่แล้ว ในจารึกหลักที่ ๑ อ้างถึงการค้าเสรีโบราณ ไม่เคยคิดว่ากษัตริย์ไม่เก็บค่าจังกอบในไพร่ เป็นไปไม่ได้ การค้าเสรีเป็นความคิดใหม่เอี่ยม ในสมัยนั้นยังคิดไม่สำเร็จ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๔ อังกฤษบังคับให้ไทยเปิดการค้าเสรี หรือไม่เสรีก็อย่างน้อยก็ให้เก็บภาษีการค้าต่ำมาก

ผมไม่ค่อยเชื่อว่ารัชกาลที่ ๔ เป็นคนทำหลักศิลาจารึก แต่เชื่อว่าท่านบัญชาข้าในพระองค์คณะหนึ่งช่วยกันทำ และคณะเหล่านั้นอาจจะมีสุนทรภู่ร่วมอยู่ด้วย เหตุผลที่น่าจะมีสุนทรภู่ด้วยก็คือ ภาษาดีขนาดหลอกคนได้มาถึงปัจจุบัน ซึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์มีนักภาษาที่เก่งขนาดนั้นไม่กี่คน และที่ทำให้ก็คือพระมหากษัตริย์ทรงไม่มีเวลา เพราะมีราชบัณฑิตจำนวนมาก และเหตุผลที่ทำไมพระองค์ทรงให้ทำแบบนี้ ผมไม่ทราบ เพราะไม่มีหลักฐาน แต่สันนิษฐานค่อนข้างจะมั่นใจว่า สมัยรัชกาลที่ ๔ ยังถือตามโบราณราชประเพณี และตามโบราณราชประเพณีนั้นพระมหากษัตริย์ทำอะไรใหม่ไม่ได้ แต่ถ้าพระองค์จะทำอะไรใหม่ ก็จะมีข้อขัดแย้งว่าทำไม่ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี พระองค์ก็ต้องหาหลักฐานว่าสิ่งที่พระองค์อยากทำนั้น ในสมัยโบราณเคยทำมาก่อนแล้ว”

นี่ก็เป็นเหตุผลของแต่ละฝ่ายที่มีความเห็นต่างกัน และขุดค้นเหตุผลของฝ่ายตนมาคัดค้านโต้แย้ง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์แตกฉานออกไป ไม่ใช่เรื่องที่มีไว้แค่ให้ท่องจำ ให้คนรับรู้ประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผลและความเป็นไปได้ สำหรับหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ นี้ หากเป็นของปลอมอย่างที่สงสัยกันจริง ก็น่าจะเป็น “มรดกโลก” อีกเหมือนกัน เพราะปลอมได้แนบเนียนที่สุดในโลกถึงขนาดนี้


https://mgronline.com/onlinesection/detail/9620000112075
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 24 พ.ย. 19, 19:48

พาดหัวข่าวได้ตื่นเต้นมาก ว่าสุนทรภู่ร่วมเขียน
แต่พออ่านเนื้อหาแล้ว ไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าสุนทรภู่เขียน  นอกจากคำว่า "อาจจะ"  เพราะภาษาของกวีเอกของเราดีมาก   ฮืม ฮืม ฮืม
บันทึกการเข้า
jerasak
อสุรผัด
*
ตอบ: 0


ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 17 ก.ย. 22, 11:45

เห็น อ.เทาชมพู เคยตัดเป็นภาพลงไว้ในกระทู้นี้นานแล้ว
ปัจจุบันมีเป็นเอกสาร pdf ให้ download นะครับ

คำอภิปราย ศิลาจารึกหลักที่ 1 จริงหรือปลอม
ประเสริฐ ณ นคร
สารนิพนธ์ ประเสริฐ ณ นคร. กรุงเทพฯ. 2541. หน้า 129-151 (588 หน้า)
https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/index.php?/BKN/search_detail/result/23736
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 128  เมื่อ 18 ก.ย. 22, 13:02

ขอบคุณมากค่ะ คุณ jerasak
ข่าวเรื่องนี้ดูเหมือนจะเงียบกันไปแล้ว   ศิลาจารึกหลักที่ ๑  ก็ยังเป็นของเก่าอยู่
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.044 วินาที กับ 20 คำสั่ง