นักอ่านเมืองมอนต์
อสุรผัด

ตอบ: 1
ทำธุรกิจส่วนตัวที่รัฐคาลิฟอร์เนีย อเมริกาค่ะ
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 02 ก.ค. 04, 13:18
|
|
 มาตามสัญญาค่ะ แต่ต้องเปลี่ยนชื่อโลจิ้น เพราะชื่อเก่า เข้าไม่ได้ค่ะ ท่านเวบมาสเตอร์ท่านเลยให้สมัครมาใหม่ พอใช้ชื่อเก่า เครื่องก็ว่า ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว.................จ๊ากกก??? |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 02 ก.ค. 04, 14:37
|
|
พม่าตีมอญแตกในรัชสมัยของเมงตยาชเวตี(ตะเบ็งชเวตี้) การเข้ายึดครองในครั้งนั้นไม่ได้มีการฆ่าทำลายล้าง แต่รับเอาข้าราชการและพระสงฆ์มอญเข้ามาถ่ายทอดวิชาความรู้เป็นอันมาก
รัชสมัยของบุเรงนองหลังจากการสิ้นพระชนม์โดยกระทันหันของเมงตยาชเวตี ก็เป็นยุคต่อเนื่องที่มีชาวมอญรับราชการอยู่มากครับ พระจอมเกล้าฯท่านน่าจะทรงเชื่อว่าต้นตระกูลของท่านเป็นข้าราชการมอญพะโคหรือหงสาวดีนี่แหละครับ มิใช่พม่าแต่อย่างใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 03 ก.ค. 04, 08:18
|
|
มาต้อนรับคุณนักอ่านเมืองมอนต์ค่ะ อ่านชื่อเมืองก็จำได้แล้วว่าใคร ลงนั่งร่วมวงคุยตามสบายเลยค่ะ
ขอบคุณคุณ CH หายเงียบไปนาน กลับเข้ามาก็ให้คำตอบชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องถามต่อเลยค่ะ อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ เชิญร่วมวงด้วยอีกคน
ตอนนี้ขอพักเรื่องแปลพระราชหัตถเลขาไว้ชั่วระยะก่อน ย้อนกลับไปชวนคุยเรื่องต้นตระกูลของราชวงศ์จักรี สักนิดค่ะ
มีหนังสืออีก 2 เล่ม ที่เล่าถึงต้นตระกูลของราชวงศ์จักรี คือ อภินิหารบรรพบุรุษ และ ปฐมวงศ์ มีเนื้อความคล้ายคลึงกันมากจนอาจจะพูดได้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน หรือไม่เล่มหนึ่งก็อ้างมาจากอีกเล่มหนึ่ง
อภินิหารบรรพบุรุษ และปฐมวงศ์ เล่าตรงกันเป๊ะถ้อยคำแทบจะลอกกันมาคำต่อคำ ว่าในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พระราชบิดาของสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อทรงพระเยาว์ พระนารายณ์ทรงมีแม่นมเป็นหม่อมเจ้าหญิงในราชนิกูล ทรงเคารพนับถือดังพระมารดา เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงเลื่อนหม่อมเจ้าหญิงองค์นี้ขึ้นเป็นพระองค์เจ้า สร้างตำหนักให้อยู่ที่ริมวัดดุสิดาราม นอกกำแพงพระนคร ชาวบ้านเรียกกันว่าเจ้าแม่วัดดุสิต เจ้าแม่วัดดุสิตมีบุตร 2 คนชื่อเหล็ก กับ ปาน
หลักฐานข้อนี้ ศุภร บุนนาคได้นำไปอ้างไว้ใน ฟ้าใหม่
นอกจากนี้ยังมีกล่าวไว้ในหนังสือ ขอโทษจำไม่ได้แล้วว่าหนังสืออะไร ว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนี้มีเชื้อสายพระมหาธรรมราชา ซึ่งย้อนกลับไปได้ถึงราชวงศ์พระร่วงแห่งสุโขทัย
แต่ไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนายทหารมอญจากหงสาวดีแต่อย่างใด
เมื่อย้อนกลับมาดูพระราชหัตถเลขา สมเด็จพระจอมเกล้าฯมิได้เอ่ยถึงเจ้าแม่วัดดุสิต หากแต่ข้ามตอนนี้ไปถึงโกษาเหล็กและโกษาปานเลย โดยมิได้ระบุว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทรงสรุปให้เซอร์จอห์นฟังเพียงว่า ช่วงที่ขาดหายไป(ตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถถึงพระเจ้าปราสาททอง)มิได้ปรากฏหลักฐานเรื่องราวของบรรพชน
เป็นไปได้ว่า เท่าที่สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงฟังมาจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อาจไม่มีการเอ่ยถึงตัวตนของเจ้าแม่วัดดุสิตเลยก็เป็นได้ แต่มีการแต่งเติมในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาทีหลัง เปลี่ยนจากนายทหารมอญชาวหงสาวดีมาเป็นหม่อมเจ้าหญิงไทยราชนิกูล หนังสืออีกเล่มก็เลยอ้างอิงตามนี้
หรืออาจเป็นไปได้ว่า ถ้าหลักฐานทั้งหมดถูกต้อง ก็อาจจะรวมสองเรื่องเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้ มีทางสันนิษฐานได้หลายทาง 1)ปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรี เป็นนายทหารมอญที่ตามสมเด็จพระนเรศวรมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา หลังจากนั้นอีกสักสามสี่ชั่วคน ลูกหลานก็ได้ไปสมรสกับเจ้าแม่วัดดุสิต มีบุตรคือโกษาปาน น่าสังเกตว่าไม่มีการระบุชื่อสามีของเจ้าแม่วัดดุสิต ทั้งที่ไทยทั้งอยุธยาและรัตนโกสินทร์นับการสืบเชื้อสายตามทางพ่อ มากกว่าแม่
2)ลูกหลานหญิงคนใดคนหนึ่งของนายทหารมอญ ได้ไปเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามในวังของเจ้านายองค์ใดองค์หนึ่ง หรืออาจจะเป็นในพระบรมมหาราชวังเลยก็ได้ แล้วเป็นยาย หรือมารดาของเจ้าแม่วัดดุสิต
สามีของเจ้าแม่วัดดุสิตจะเป็นใครก็ตาม ย่อมมีฐานันดรศักดิ์ไม่เกินหม่อมเจ้า เพราะลูกชายทั้งสองไม่ใช่เจ้า สมัยอยุธยาไม่มีหม่อมราชวงศ์และหม่อมหลวง หรือท่านอาจจะเป็นสามัญชน มาแต่กำเนิด แต่ก็ค่อนข้างยาก เพราะหม่อมเจ้าหญิงจะไม่สมรสกับสามัญชน
น่าแปลกที่สามีเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งควรจะเป็นต้นราชวงศ์จักรีโดยตรงกลับเป็นบุคคลลึกลับ ไม่มีการเอ่ยถึงในหนังสือทั้งสองเล่มว่าเป็นใครมาจากไหน กลับไปเอ่ยถึงทางแม่
วิเคราะห์ฐานะความเป็นอยู่ของสามี จากฐานันดรศักดิ์ของภรรยา ก็น่าจะเป็นบุคคลที่ไม่ด้อยไปกว่าภรรยา ถึงจะสมรสกันได้ ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นเจ้ามาจากราชวงศ์ไหน ตำแหน่งการงานอะไร ทำไมไม่ยักบันทึกเอาไว้ ทำให้ดิฉันออกจะสงสัยอยู่หน่อยๆในตัวตนของท่าน ตลอดจนเจ้าแม่วัดดุสิต ว่ามีจริงหรือเปล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 05 ก.ค. 04, 13:32
|
|
สงสัยดูบอล อดนอนกันเลยเบี้ยว lecture เป็นแถว ผมก็ใช่จะเป็นเด็กดี หากเป็นเด็กอนามัย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แต่ไม่ตื่น ได้นอนเต็มอิ่ม มาฟัง lecture สบาย
เคยอ่านที่ไหนก็ไม่รู้ มีผู้วิเคราะห์ว่าเจ้าแม่วังดุสิต น่าจะมีถึง 2 ท่าน ท่านแรก คือ แม่นมของสมเด็จพระนารายณ์ และเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาทั้งสอง คลับคล้ายคลับคลามีพระนามว่า ม.จ.บัว
เพราะการกล่าวถึงบทบาทของเจ้าแม่วังดุสิตนั่นมียาวนานต่อเนื่องหลายรัชกาล แม้กระทั่งในรัชกาลของพระเจ้าเสือ
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ หลวงสรศักดิ์กระทำผิดให้ทรงกริ้ง ก็อาศัยเจ้าแม่วังดุสิตทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้นขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว กริ้วโกรธพระราชโอรสถึงกับจะประหาร ก็ได้เจ้าแม่วังดุสิตปลอบประโลมให้หายกริ้วโทษขอพระราชทานอภัย จนราชโอรสได้สืบบัลลังค์ทั้งสองพระองค์
เสียดายที่ครั้งเจ้าฟ้ากุ้งถูกโบยจนสิ้นพระชนม์ เจ้าแม่วังดุสิตคงไม่มีชีวิตแล้ว มิฉะนั้นอาจเป็นผู้ทูลทัดทานจนประวัติศาสตร์ไทยพลิกไปอีกโฉมเลยก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 06 ก.ค. 04, 00:48
|
|
ไม่ได้เบี้ยวครับ แต่อย่างที่คุณเทาชมพูว่านั่นแหละ กศร.กุหลาบ กลายเป็นชื่อต้องห้ามไปแล้ว เนื้อเรื่องมันมีรายละเอียดมากเหลือเกิน คือดูว่ามันทั้งเหลือ ทั้งเกิน แถมอภินิหารอีกต่างหาก หึหึ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 06 ก.ค. 04, 08:57
|
|
คุณถาวภักดิ์บอกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตน่าจะมี 2 คน แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่สองคือใคร ถ้าเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นแม่นมของพระนารายณ์ ในรัชสมัยพระนารายณ์ลูกชายทั้งสองก็อายุมากจนเป็นเจ้าพระยาพระคลังและราชทูต ตัวเจ้าแม่ก็น่าจะ50 กว่า ใกล้ๆ 60 เข้าไปแล้วเป็นอย่างน้อยในตอนนั้น ไม่น่าจะมีอายุยืนยาวมาอีกสองรัชกาล ถึงกับช่วยพระราชโอรสของพระเจ้าเสือ(ซึ่งก็โตเป็นหนุ่มแล้ว) ให้พ้นถูกกริ้ว อีกข้อหนึ่ง ก็มีเรื่องว่าเจ้าพระยาโกษาเหล็กและโกษาปานก็ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายในบั้นปลาย เจ้าแม่ก็ไม่น่าจะมีบารมีอะไรเหลืออยู่มากนักในสายตาของพระเจ้าแผ่นดิน
ขอเล่าถึงก.ศ.ร. กุหลาบ สักนิดนะคะ ก.ศ.ร. กุหลาบ เป็นปัญญาชนสามัญชนสมัยรัชกาลที่ 5 ที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และพงศาวดาร ออกหนังสือของตัวเอง ชื่อสยามประเภท เผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้ ในเมื่อพงศาวดารเก่าๆของหอหลวงเป็นของต้องห้าม ไม่ให้นำออกมาคัดลอก นายกุหลาบก็หาทางลักลอบคัดลอกจนได้ แต่ว่าดัดแปลงบางตอนให้ผิดเพี้ยนไป เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่จับได้ว่ามาจากฉบับหอหลวง ทำทีว่ามาจากฉบับอื่นที่ตัวเองได้มาครอบครอง ข้อหนึ่งที่นายกุหลาบอ้าง เป็นเรื่องเท็จ คือเคยเป็นศิษย์ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว หนังสือเรื่องราวหลายอย่างก็อ้างว่าได้มาจากพระองค์ท่าน แต่เมื่อเกิดการสอบสวนขึ้นมา นายกุหลาบก็สารภาพว่าไม่ได้เป็นศิษย์แต่อย่างใด นอกจากนี้ นายกุหลาบยังแต่งประวัติของตระกูลต่างๆให้ผู้อ่านที่สนใจใคร่รู้ เขียนไปถามในหนังสือของนายกุหลาบ ว่าปู่ย่าตาทวดเป็นใคร นายกุหลาบก็แต่งให้ฟังซะเป็นคุ้งเป็นแคว เพราะมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาอยู่แล้ว แต่อ้างว่ามาจากหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่
ดิฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า ประวัติของสกุลบุณยรัตพันธุ์ ที่ว่าต้นสกุลเป็นพราหมณ์พฤติบาศมาจากอินเดียสมัยอยุธยาตอนกลางนั้น ฝีมือนายกุหลาบหรือเปล่า เพราะมันมีช่วงที่ขาดหายไปหลังจากนั้น แล้วมาอีกทีก็อยุธยาตอนปลาย ไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกับตอนต้น
อย่างไรก็ตาม อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์ ถ้าอ่านในเชิงตำนาน ก็สนุกสนานตื่นเต้นอยู่หลายตอน ว่างๆจะเก็บมาเล่าให้ฟังค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 06 ก.ค. 04, 10:59
|
|
จำไม่ได้แล้วครับอาจารย์เทาฯ เวลาคุยในกระดานไม่มีหนังสืออยู่ใกล้มือ คุยจากความจำล้วนๆ ถือว่าอยู่ใกล้ครู ผิดพลาดอย่างไรก็มีครูใหญ่ช่วยแก้ผ้าเอาหน้ารอดให้ได้
หนังสือที่กล่าวถึงเจ้าแม่วังดุสิตท่านที่เป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาทั้งสองน่าเป็นคนละท่านกับเจ้าแม่วังดุสิตที่ทูลขอพระราชทานโทษตายให้พระราชโอรสทั้งสองของพระเจ้าเสือ คงจะเป็นของ น.พ.วิบูลย์ วิจิตรวาทการนะครับ แต่ก็ไม่รับรองเพราะครั้งสุดท้ายที่จับหนังสือของท่านมาอ่านก็หลายปีโขแล้ว
อยากฟังอาจารย์เทาฯวิเคราะห์เทียบกับตำราของขุนวิจิตรมาตราด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 06 ก.ค. 04, 15:04
|
|
หมายเหตุ : คุณถาวภักดิ์คะ "ขาย" ผ้าเอาหน้ารอดค่ะ ไม่ใช่ แก้ผ้าเอาหน้ารอด โธ่ เห็นชาวเว็บนี้เป็นหนูตั๊กไปได้ลงคอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 07 ก.ค. 04, 12:05
|
|
ขออภัยครับอาจารย์ ไม่มีเจตนาจะชักเรือให้ใบเสียเล้ย แบบว่ามันหลุดปาก ต้องโทษเจ้าเพื่อนร่วมก๊วนวงเหล้าสมัยมหาภรตยุทธ ชอบพูดคำพังเพยแบบวิบัติจนเราติดปากไปด้วย แต่จะว่าไปก็เข้ากับยุคสมัยมากกว่านะครับ ผ้าสมัยก่อนแพง ถือเป็นสมบัติที่ต้องหวงแหน เอาไปจำนำก็ได้ ก็พอเอาไปขาย เพื่อเอาหน้ารอดได้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ต้องแก้ผ้า ถึงจะดัง ได้เงินมาก รอดได้ยกครัวเลย
พอหนังสือการเมืองสมัยพระเจ้าตากของอาจารย์นิธิออกมา คนก็ฮือฮาเอนเอียงไปยอมรับทฤษฎี ร.1 กบฎต่อพระเจ้าตากของ อ.นิธิ กันมาก
อยากชี้ให้เห็นความบกพร่องในความไม่สามารถเข้าถึงศรัทธาความเชื่อ ความผูกพันในพระพุทธศาสนา อย่างพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง หนังสือ-ตำราประวัติศาสตร์ที่ละเลยองค์ประกอบอันเป็นหัวใจอย่างนี้ จึงออกมาเหมือนอัลบัมนักร้อง คือดังเป็นพลุได้ แต่ก็ต้องตก เพราะไม่มีวันเป็นสัจจธรรมได้
เพราะถ้า อ.นิธิ เข้าใจในพระศาสนาดุจเดียวกับพุทธศาสนิกชนที่มุ่งตามรอยพระบาทแห่งพระบรมศาสดาแล้ว อ.นิธิ จะรู้ชัดว่าผู้ที่สามารถปลุกเสกผ้ายันต์อุณาโลมให้ทหารทั้งกองทัพบูชาติดตัว รบจนชนะสงครามอย่าง ร.1 และกรมพระราชวังบวรฯ ไม่มีวันที่จะตระบัดสัตย์ผิดคำปฏิญาณที่ถวายแด่พระเจ้าตากได้เลย
สยามประเทศเป็นรัฐแห่งพระพุทธศาสนานับพันปี ผูกพันฝังลึกอยู่ในทุกอณูแห่งวัฒนธรรมประเพณี ไม่ผิดอะไรกับประเทศตะวันตกที่ผูกพันอย่างแยกไม่ได้กับศาสนาคริสต์ แม้แต่ประเทศเกิดใหม่อย่างอเมริกา ในธนบัตรเขายังพิมพ์ไว้เลยว่า In God We Trust ในศาลก็ต้องปฏิญาณตนกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ปฏิญาณจบก็บอกว่า So help me God หรือในอังกฤษก็ร้องเพลง God save the Queen อย่างภาคภูมิ
เพราะผู้ที่อยู่แถวหน้าในสังคมไทยปัจจุบันไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับละเลยจิตวิญญาณของประเทศ แค่อ้าปากพูดก็ผิดแล้ว
น่าน้อยใจแทนบรรพบุรุษนักที่ลูกหลานไทยยุคนี้ทำตัวยิ่งกว่าข้าศึกศัตรูใดอดีต คอยจองเวรล้างผลาญทำลายจิตวิญญาณของชาติไม่รู้จบ ตั้งแต่แก้รัฐธรรมนูญ ลบทิ้งศาสนาพุทธไปจากความเป็นศาสนาประจำชาติ ตั้งฆราวาสขึ้นมาปกครองสงฆ์-ควบคุมสมบัติของสงฆ์ อย่างไม่คำนึงถึงพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาประทานไว้ ล่าสุดก็ลุกขึ้นมาแสวงหาความดังทำเป็นเรียกร้องสิทธิสตรีด้วยการเหยียบย่ำหัวใจคนท้องถิ่น เอาจารีตประเพณีในพระศาสนาของเขามาย่ำยี
รอมาทั้งชีวิตแล้ว ก่อนสิ้นใจจะได้เห็นแผ่นดินไทยที่รักยิ่งนี้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองไหมหนอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 07 ก.ค. 04, 17:04
|
|
พระราชปรารภของพระเจ้ากรุงธนบุรี
อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน
_______________________________________________ จากนิราศท่าดินแดง พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1
.....ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย แตกยับกระจัดพลัดพราย ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อดี ให้ติดตามไปจนแม่กษัตร เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแลมนตรี.....
_______________________________________________
เพลงยาว พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(บุญมา)
.....คิดมาก็เป็นน่าอนิจจัง ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป.........
....อันกรุงรัตนะอังวะครั้งนี้ฤา จะพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย พม่าจะมาเป็นข้าไทย จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา จะได้ชูกู้ยกนัครา สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์ อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์ เที่ยวล้างขอบขันฑ์ทุกพารา แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล มันไม่คิดบาปกรรมอ้ายลำบาก แต่พรัดพรากจากกันทุกแห่งหน มันเหล่าอาสัตย์ทรชน ครั้งนี้จะป่นเป็นธุลี...........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 07 ก.ค. 04, 17:22
|
|
ผมว่าหนังสือการเมืองสมัยพระเจ้าตากของอาจารย์นิธิเป็นแค่การต่อยอดนะครับ เพราะอย่างน้อยงานเขียนของอ.ปรีชา ศรีชลาลัยก็มีรายละเอียดการศึกษากรณีนี้อย่างละเอียดมาก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว ถึงแม้จะใส่อารมณ์มากไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นงานค้นคว้าที่ดีในหลายๆแง่มุม
พงศาวดารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เอง ก็เขียนไว้ชัดเจนในประเด็นที่ว่า ร.1 รับสั่งให้ประหารพระเจ้าตาก แถมด้วยเหตุการณ์แวดล้อมหลายอย่าง เช่น - เรื่องพระเจ้าจากขอเข้าเฝ้า "ท่านผู้สำเร็จราชการ" ซึ่งหมายถึง ร.1 ก่อนที่เพชฌฆาตจะนำพระองค์ไปประหาร แต่ ร.1 ปฏิเสธ - เรื่องที่ร.1 และกรมพระราชวังบวรฯ ไปทอดพระเนตรการพระราชทานเพลิงศพ และรับสั่งให้เฆี่ยนนางในที่ร้องไห้อาลัยพระเจ้าตาก - เรื่องที่ร.1 สั่งประหารขุนนางที่จงรักต่อพระเจ้าตาก(รวมถึงพระยาพิชัย"ดาบหัก") พระโอรส แต่ทรงละเว้นโอรสเล็กๆบางพรองค์ ทั้งที่ กรมพระราชวังบวรฯรับสั่งให้ "ตัดบัวอย่าเหลือใย" - รายการบัญชีการปลดและแต่งตั้งใหม่ซึ่งข้าราชการ, พระสงฆ์ ทันทีที่ทรงปราบดาภิเษก ฯลฯ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องการปราบดาภิเษกของร.1 นั้นทำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหรือละอายใดๆ
ความพยายามที่จะเอาความเชื่อยุคใหม่เข้าไปจับและเขียนประวัติศาสตร์ตอนนี้ใหม่"แก้เก้อ"นั้น น่าจะเริ่มเอาในสมัยหลวงวิจิตรวาทการนี่เอง ซึ่งปรากฎเรื่องสั้นที่จับเอา Plot มาจาก"ความจริง"จากการนั่งสมาธิของแม่ชีวรนัย กบิลสิงห์มา reproduce สร้างความสับสนให้กับประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานมาถึงปัจจุบัน
ผมเองมองภาพการชิงอำนาจทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องจำเป็นด้วยซ้ำสำหรับการปกครองแบบราชาธิปไตย เพราะการถ่ายโอนอำนาจทางสายเลือดไม่ได้รับประกันความสามารถของผู้สืบทอดอำนาจ ซึ่งการชิงอำนาจทางการเมืองเป็นกลไกปรับแก้จุดอ่อนตรงนี้ครับ
เรื่องนี้เป็นเหตการณ์ปกติมาตลอดช่วงเวลาที่ใช้ระบอบการปกครองแบบนี้นะครับ เพียงแต่ว่าการชิงอำนาจนั้นไม่ได้สำเร็จทุกครั้ง และระดับความพยายามเข้าถือครองอำนาจก็แตกต่างกัน บางครั้งเป็นแค่การเข้าครอบครอง"อำนาจ" ไม่ได้ครอง"บัลลังก์" ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในตำราเรียนครับ
ส่วนที่ว่า ร.4ทรงระบุไว้ในพระราชหัตถเลขาถึงเซอร์จอห์น เบาริงว่าพระเจ้าตากถูกประหารไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยฝีมือผู้ที่ก่อการกบฎ ก่อนหน้าที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จะกลับจากเขมรมาถึงธนบุรีนั้น ผมขอสดุดีพระอัจฉริยภาพของพระองค์ครับ
แผ่นดินสยามพ้นเงื้อมมือนักล่าอาณานิคมได้เพราะการทรงงานหนักของพระองค์โดยแท้ครับ
เราน่าจะเคารพบรรพบุรุษของเราด้วยความเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้ทำไว้ ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับในสิ่งที่ท่านทำ เพียงเพราะไปเข้าใจว่าท่านไร้คุณธรรมนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
|