เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 07 ม.ค. 04, 16:57
|
|
นักประวัติศาสตร์ขนานนามยุคกลาง อีกชื่อว่า ยุคมืด Dark Ages มืดในที่นี้คือมืดจากศิลปวิทยาการ ไม่ใช่มืดทางด้านศีลธรรม แต่ถ้ามองว่าศิลปวิทยาการเป็นเครื่องแสดงออกของปัญญาที่ไม่ถูกปิดกั้น เมื่อปัญญาไม่ถูกปิดกั้นก็ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นมาพอจะสร้างสรรค์อะไรดีๆได้ ยุคมืดก็น่าจะมีความอับเฉาทางอะไรดีๆอยู่มาก แต่ไม่ถึงกับว่าไม่มีเสียเลย
อย่างน้อย แนวคิดเรื่อง chivalry ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นในยุคมืด ทำให้เกิดศัพท์เกี่ยวกับอัศวินขึ้นอีกหลายศัพท์อย่าง knight templar ซึ่งเป็นอัศวินที่คอยช่วยเหลือผู้เดินทางจาริกแสวงบุญชาวคริสเตียน ให้พ้นจากอันตราย โดยไม่คิดค่าจ้างอะไร
ยุคกลางเป็นยุคของสงครามยืดเยื้อนับร้อยปี ที่ชื่อว่าสงครามครูเสด แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าชาลมาญ เป็นการรบชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระหว่างคริสเตียนกับสาระเซ็น ดูเหมือนจะเป็นเยรูซาเลมนี่ละค่ะ
สาเหตุอีกอย่างคือผลประโยชน์ เพราะพวกคริสเตียนอยากจะใช้เส้นทางตะวันออกกลางเป็นเส้นทางเครื่องเทศ ซึ่งเป็นของมีราคาของยุโรป แต่สาระเซ็นขวางทางอยู่
กษัตริย์และเจ้าชายต่างๆไปร่วมรบกันเยอะแยะ ถือว่าได้บุญ เป็น "สงครามศักดิ์สิทธิ์" บางองค์ก็แทบจะทิ้งประเทศไปเลย อย่างพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ ทิ้งให้เจ้าชายจอห์นน้องชายครองแทน กดขี่ข่มเหงชาวบ้านก่อความเดือดร้อนแก่อาณาจักรมากมาย โรบินฮู้ดเป็นขุนนางผู้ดีคนหนึ่งที่ทนไม่ไหว ต้องกลายเป็นโจรปล้นคนรวยให้คนจน
สงครามครูเสดรบกันนานมาก เปลืองชีวิตผู้คนไปมากมายก่ายกอง เกิดตำนานขึ้นก็หลายเรื่อง ผลสุดท้ายก็เลิกรบกันไปโดยคริสเตียนล่าถอยไปไม่รบอีก แต่ผลพลอยได้จากสงครามคือคริสเตียนได้รับวิทยาการหลายอย่างไปจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเจริญกว่ายุโรปในตอนนั้น
พอยุโรปเกิดยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนสซองส์ขึ้นมา ก็ก้าวลิ่วๆไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทิ้งชีวิตในยุคมืดเอาไว้แบบไม่เห็นฝุ่น และไม่ย้อนกลับไปอีกเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 07 ม.ค. 04, 17:30
|
|
ผมเห็นด้วยกับคุณถาวภักดิ์อยู่มากครับ ในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะผมเจอฝรั่งอวดดีมาก็ไม่น้อยในชีวิตผม
แต่ผมก็ยังสนุกกับการอ่านนิยายอัศวินฝรั่งอยู่ดี โดยถือว่าอ่านเอารสทางวรรณกรรม (หรือพูดภาษาธรรมดาๆ ว่า อ่านนิทานเอาสนุกน่ะ)
ดังนั้น ผผมจึงได้ขอให้ท่านผู้อ่านนิทานชาลมาญจงทำใจไว้ 2 ประการ อย่างที่ผมเรียนแล้วตอนเปิดเรื่องข้างบน ว่า หนึ่ง นิทานชุดนี้ก็เป็นแค่นิทานเท่านั้น คือเป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่พงศาวดาร สอง ฝรั่งคนแต่งนิทานนั้น แกมีอคติ แกใจแคบ แกเขลา แกมั่ว แกรู้อะไรผิดๆ เชื่ออะไรผิดๆ เยอะแยะไป แต่ถ้าจะอ่านนิทานโกหกของแกแล้วก็จงทำใจอภัยความเขลาและความเชยของฝรั่งคนเล่านิทาน และเอารสความสนุกของนิทานของแก อย่าถือสาอะไรมาก
เช่นเดียวกับที่เราอ่านสุนทรภู่เขียนเรื่องพระอภัยมณีได้อย่างสนุกสนาน และต้องนับถือในจินตนาการอันบรรเจิดของท่าน ซึ่งเป็นรสแปลกใหม่กว่าวรรณคดี จักรๆ วงศ์ๆ เรื่องอื่นของไทยก่อนนั้นทั้งสิ้น เพราะภูมิศาสตร์สุนทรภู่มีทั้งเมืองฝรั่ง ลังกา ชวา มักกะสัน แขก จีน ฯลฯ ตัวละครก็เชื้อชาติต่างๆ ธรรมเนียมต่างๆ น่าตื่นใจ แต่สุนทรภู่ก็มีข้อจำกัดในความรู้ของท่าน บางข้อก็ไม่ตรงกับที่เรารู้ภายหลัง แต่ก็ต้องชมท่านแล้วว่าแค่นั้นก็นับว่ารู้มากกว่าคนไทยร่วมสมัยเดียวกันเยอะ หรือบางที ต่อให้ท่านรู้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง ท่านก็อาจถือว่า ขอเอามาแต่เค้าเท่านั้นก็ได้ เพราะเรื่องจริงคงไม่สนุกเท่าเค้าผสมจินตนาการ
เมื่อพูดถึงสุนทรภู่ เผอิญมีข้อสังเกตของ น.ม.ส. อยู่ว่า "เจ้าลมาน" ในเรื่องพระอภัยมณีนั้น เป็นไปได้ไหมว่ามาแต่ชื่อชาลมาญ สุนทรภู่อาจได้รู้เรื่องของชาลมาญราชาธิราชแล้วตัดแต่ชื่อเอามาเป็นชื่อของราชายักษ์มักกะสัน พันธมิตรของนางละเวงในการตีกรุงผลึกของพระอภัยก็ได้ แต่ข้อนี้ น.ม.ส. ก็ว่าท่านไม่ทรงมีหลักฐานยืนยัน เป็นแต่ทรงสันนิษฐาน เพราะเสียงชื่อทั้ง 2 ใกล้กันเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 08 ม.ค. 04, 10:25
|
|
ไบเบิ้ลซึ่งมีผู้ยกย่องจำนวนมากว่าเป็นบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ ก็กล่าวถึงจักรวรรดิ์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดอยู่สองอาณาจักร คือ บาบิโลนและอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ในทวีปเอเซียกับอัฟริกา
อเล็กซานเดรียที่ได้รับการย่องย่องว่าเป็นขุมความรู้แห่งโลกตะวันตกโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก็ตั้งอยู่ในอียิปต์
อารยธรรมกรีกและโรมันในคาบสมุทรเมดิเตอเรเนียนซึ่งรุ่งเรืองขึ้นภายหลังสองจักรวรรดิ์นี้ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นชัยภูมิของตาอยู่ที่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์ได้ทุกกรณีจากตาอินกะตานา น่าเชื่อว่าความเจริญของกรีกและโรมันเป็นผลพวงแห่งความสัมพันธ์ของสองจักรวรรดิ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการสงครามหรือการค้า ในขณะที่ยุโรปยังเป็นบ้านป่าแดนเถื่อน อยู่นอกสายตา ไม่มีหลักฐานใดกล่าวถึง
หลังจากโรมันรุ่งเรืองแล้ว จึงขยายอำนาจ ขยายเขตแสวงหาผลประโยชน์ขึ้นไปทางเหนือ จับชาวป่ามาเป็นทาส มาเป็นนางบำเรอบ้างเพราะน่าตาแปลกๆดี มีแบบผมแดงจากเกาะอังกฤษ ผมสีน้ำตาลจากพวกกอธ์ และผมสีทองจากพวกไวกิ้งและแฟร้ง พวกผู้ชายก็ตัวโตใหญ่ เลยจับเอาไปสู้กันเองให้คนดูบ้าง เอาไปสู้กับสิงโตบ้าง เป็นที่สนุกสนาน พนันขันต่อกันเหมือนบ่อนไก่บ้านเรา
ตราบเมื่อชาวป่าทางเหนือได้อยู่ใกล้ชิดบำเรอชาวโรมันมาอย่างต่อเนื่องนับพันปี จึงค่อยๆซึมซับความรู้ รู้จักภาษาเขียนและวิทยาการชั้นสูงต่างๆ ทำตัวเลียนแบบเจ้านายเก่า พัฒนาขึ้นเป็นเมืองเป็นอาณาจักร เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเจริญได้พอควรก็อายกำพืดเดิม พยายามกลบเกลื่อนปมด้อยด้วยการย้ายโคตรตระกูลจากไก่ชนมาเป็นชาวโรมันและชาวกรีก แม้ต้นราชวงค์โรมานอฟของรัสเซียที่อยู่ไกลถึงมอสโคว์ก็ยังพยายามนับญาติกับซีซาร์ให้ได้ ใครที่ยังมีอะไรแพลมให้เห็นว่าสืบเชื้อสายจากไก่ชนอยู่ เช่นการถือผี สวดมนต์แบบท้องถิ่นโบราณ ก็กล่าวโทษว่าเป็นแม่มด เป็นพวกนอกรีต จับเผาทิ้งไปปีละหลายๆกอง จนวิทยาการพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาจจะพอมีกับเขาบ้างสูญหายไปหมด
ที่เป็นผลร้ายอย่างน่าเสียดายที่สุด จากวัฒนธรรมการเลียนแบบชาวโรมันของพวกยุโรป คือ การอ้างศาสนา เพื่อแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจ เผาทำลายวิทยาการความก้าวหน้าในสาขาวิชาต่างๆ หรือกระทั่งจับผู้ทรงความรู้ขังลืมหรือฆ่าทิ้ง เป็นเหตุให้ความเจริญของชาวยุโรปต้องชะงักงันอยู่นับพันปี จนค่อยๆเริ่มฉลาดขึ้น ตื่นจากความฝันที่ต้องการเป็นชาวโรมัน รู้จักสลัดแอกของโรมันแคธอลิก ตั้งโปรแตสแตนท์ของตัวเองขึ้นมา เป็นนิมิตหมายรุ่งอรุณของยุคฟื้นฟูอย่างแท้จริง
คำว่ายุคกลาง หรือยุคมืดนี้ เป็นคำเรียกที่ไม่สู้ตรงความจริงเท่าใด เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแต่งตั้งโคตรตระกูลของตนเองให้สามารถนับเนื่องว่าชาวกรีกและโรมันเป็นบรรพบุรุษของชาวยุโรปแทนชาวป่าที่ถูกจับมาเลี้ยงเหมือนไก่ชน ไปจนถึงมีการตีมั่ว ตู่เอาดื้อๆว่าราชวงค์และชนชั้นสูงของอียิปต์โบราณเป็นอารยันผิวขาว
ที่ถูกควรเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุคเริ่มพัฒนา หรือปฐมยุคแห่งความเป็นมนุษย์ของชาวยุโรปมากกว่า จึงจะตรงต่อความเป็นจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 08 ม.ค. 04, 12:11
|
|
ชื่อสมบัติวิเศษประจำตัวโรลันด์ในตอนนี้ เนื่องจากบุลฟินช์เอาเรื่องมาจากฉบับอิตาเลียน จึงเป็นภาษาอิตาเลียนครับ
บริกลิอาโดโร ซึ่งเป็นชื่อม้าคู่ใจนั้น น.ม.ส. ทรงเล่าไว้ว่า แปลว่า บังเหียนทอง คำว่า -โดโร ที่ต่อท้ายนั้น เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่า ทองหรือทำด้วยทอง เทียบฝรั่งเศส คือ d'or
ผมเคยไปเที่ยวเมืองลูกาโนในแถบสวิสอิตาเลียน เดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ เจอร้านอาหารเยอะแยะ มีร้านหนึ่ง ขายซีฟู้ด ชื่อ concho doro ผมก็บอกเพื่อนที่ไปด้วยกับว่า นั่นแน่ ร้านนี้ คือร้านพระสังข์ของเราในเรื่องสังข์ทองนั่นเอง (แต่สงสัยว่าคนสวิสอิตาเลียนจะไม่เคยได้ยินนิทานเรื่องสังข์ทองของเรา) คอนโชโดโร แปลว่า หอยสังข์ทองคำ
ในเรื่องแฮรี่พอตเตอร์ บ้านคณะหนึ่งในโรงเรียนพ่อมดคือคณะของแฮรี่ ชื่อกริฟฟินดอร์ ถ้าจะแปลก็ได้ความว่า กริฟฟินทองคำ ตัวกริฟฟินเป็นสัตว์ประหลาดในนิยายฝรั่งชนิดหนึ่ง ซึ่งในนิทานชุดนี้ต่อไปข้างหน้าก็จะมีกล่าวถึงเหมือนกันครับ
ดาบวิเศษดูรินดานา นั้นก็ตามธรรมเนียมนิทานฝรั่ง (หรือแม้แต่นิทานไทย) ที่อัศวินในนิทานต้องมีอาวุธวิเศษ เช่นพระแสงดาบเอ็กซคาลิเบอร์ของพระเจ้าอาร์เธอร์ ในเรื่องนิทานชุดนี้ต่อไปจะมีการกล่าวถึงพระแสงดาบยอร์เยอซ์ของพระเจ้าชาลมาญเอง และดาบคอร์ตานา ของอัศวินอีกคนหนึ่ง ล้วน (ว่ากันว่า) เป็นดาบวิเศษด้วยกันทั้งสิ้น ทำนองดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนของเรา ซึ่งถ้าย้ายภูมิประเทศของนิทานไปอยู่เมืองจีน นิทานทางโน้นก็มีเหมือนกัน ส่วนมากในนิยายจีนจะเป็นกระบี่วิเศษ เช่น กระบี่เล่มหนึ่งในเรื่องสามก๊ก ที่ทหารเอกของโจโฉคนหนึ่งได้ถือ โจโฉรักทหารเอกคนนี้มาก มอบกระบี่คมกล้าให้เล่มหนึ่ง ชื่อกีเทนเกี้ยม ซึ่ง "ถ้าจะฟันเหล็กก็ดุจหนึ่งว่าฟันหยวก" ตามสำนวนแปลของเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
ก่อนที่คุณถาวภักดิ์จะหมั่นใส้ฝรั่งเข้าอีก ผมก็ต้องรีบบอกเสียก่อนว่า นี่คือนิทานครับ นิทานโกหกน่ะจ้ะ เรากำลังคุยกันเรื่องวรรณคดีฝรั่ง ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จริง ข้อที่อัศวินยุคหลังในยุโรปพยายามตะเกียกตะกายจะนับญาติให้ได้กับวีรบุรุษโบราณสมัยกรีกโรมัน และสงครามกรุงทรอย ซึ่งก่อนยุคของอัศวินเหล่านี้ขึ้นไปหลายร้อยปีนั้น ก็เป็นจินตนาการของนักเล่านิทาน และการพยายามลากการสืบวงศ์พงศาวลีให้โยงกันให้จงได้กับวีรบุรุษหรือราชากรีกเหล่านั้นเป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า การสืบวงศ์ที่ว่ามานี้เป็นการประดิษฐ์ขึ้น แต่ไม่ใช่ของแปลกอีกเหมือนกัน เพราะไม่ใช่แต่ฝรั่งที่เป็นอย่างนี้ ผมได้กล่าวแล้วว่าขอมก็เป็น กษัตริย์ขอมที่สร้างตำนานใส่พระองค์เองและราชตระกูล โยงกลับไปถึงเทวดาฮินดูก็มีอยู่เหมือนกัน
เพื่อเอาใจคุณถาวภักดิ์ ที่รู้สึกจะสนใจในด้านประวัติศาสตร์มากกว่าด้านตำนานหรือวรรณกรรม ผมขอเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ที่กลายมาเป็นต้นเค้าของตำนานดาบวิเศษฝรั่งว่า เรื่องของเรื่องนั้นคือความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการถลุงโลหะในสมัยกรีกนั่นเอง สมัยกรีกโบราณนั้น ดาบหรืออาวุธหรือโล่หรือเกราะอะไรก็ตาม ทำด้วยเหล็กธรรมดา ซึ่งถ้าเป็นดาบก็ทื่อได้ง่าย แล้วเนื้อเหล็กก็ไม่ค่อยเหนียว ออกจะเปราะ แต่ต่อมาก็มีพวกกรีกเผ่าหนึ่ง (กรีกมีหลายเผ่าครับ) ถ้าผมจำไม่ผิด คือพวกดอริก แต่อาจเป็นพวกอื่นก็ได้ เอาเป็นว่ากรีกเผ่า x ก็แล้วกัน (ถ้าอยากรู้จริงๆ จะพยายามค้นมาให้ครับ) ที่คิดวิธีการถลุงแร่เหล็กทำเหล็กกล้า (steel) ได้ก่อนเพื่อน ดาบที่ทำจากโลหะเหล็กกล้านี้ แข็งแกร่งกว่า คมกว่า เนื้อเหนียวกว่า ดาบอื่นในสมัยโน้น พอประดาบกันเข้ากับพวกอื่นดาบของคนอื่นก็หักสะบั้นไป เอาดาบเหล็กกล้าฟันผ่าลงไปบนหมวกเกราะเหล็ก (ธรรมดา) ถ้าฟันจังๆ และเกราะนั้นบางหน่อยหรือขึ้นสนิมแล้วก็เป็นอันว่าต้า่นไม่ได้ ฟันเข้าหัวแบะไปตามกัน จึงร่ำลือกันไปว่าดาบเหล่านี้เป็นดาบวิเศษ เทคโนโลยีนี้ไม่เป็นที่เปิดเผยทั่วไป ดังนั้นดาบเหล็กกล้าดีๆ จึงหายากกว่าดาบเหล็กธรรมดา ผมไม่แปลกใจที่ในสมัยที่วิทยาการของยุโรปตกต่ำลง เรื่องของดาบเหล็กกล้าจะถูกเสริมเติมต่อกลายเป็นตำนานดาบวิเศษอภินิหารไป ทั้งๆ ที่เดิม เป็นเรื่องของเทคโนโลยี่การถลุงโลหะเท่านั้นเอง
สูตรผสมโลหะของดาบไทยเรา ที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ (ของจริง ไม่ใช่นิทาน) ก็คือเหล็กน้ำพี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ัวดาบมีความคมและแข็งแกร่ง ส่วนอื่นๆ เช่นพิธีกรรมคาถาต่างๆ อย่างที่นิทาน เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน กล่าวถึงตอนขุนแผนตีดาบฟ้าฟื้นนั้น ก็เป็นเรื่องของความเชื่อประกอบที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่อย่างน้อยคงช่วยทำให้ขวัญกำลังใจเจ้าของดาบดีขึ้นอย่างหนึ่งละ
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 08 ม.ค. 04, 14:09
|
|
ไปค้นเ้ว็บเรื่องประวัติเทคนิคถลุงเหล็กและเหล็กกล้า หรือที่เรียกว่า carbon steel ได้ความว่า เหล็กนั้นไม่ใช่ธาตุที่มีอยู่อิสระในธรรมชาติ สินแร่เหล็กเป็นสารประกอบของเหล็กกับธาตุอื่น จำเป็นต้องถลุงหรือสะกัดออกมา (ผมไม่ใช่นักโลหวิทยาครับ ถ้าใช้ศัพท์ผิดก็ขออภัย) แต่เหล็กธรรมดาหรือ iron นั้นมนุษย์ถลุงออกมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ได้ก่อน ต่อมาจึงรู้จักการทำเหล็กกล้า หรือ steel โดยมีการทำยังไงก็ไม่รู้ จนด้วยเกล้าสำหรับผมที่เรียนมาทางรัฐศาสตร์ แต่สรุปว่า ทำให้อนุภาคของคาร์บอน ซึ่งได้จากถ่าน เข้าไปประสมกับเหล็ก และมีการให้ความร้อนที่สูงขึ้นกว่าที่เคยทำได้ มีเตาหลอมชนิดใหม่กว่าที่เคยมี มีสูบลม ...อะไรทำนองนั้น (บอกแล้วว่าจนด้วยเกล้าครับ) ผลที่ออกมาคือเหล็กกล้าที่คมและเหนียวกว่าเหล็กธรรมดา เทคนิคการถลุงหรือหลอมเหล็กกล้านี้ พวกกรีกก็ไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่ได้มาจากมนุษย์ชนชาติแรกๆ ที่ค้นพบวิธีการทำเหล็กกล้า คือชุมชนที่อยู่ทางตะวันออกใกล้ (Near East) โดยเฉพาะก็แถวๆ อียิปต์ อีกทีหนึ่ง ในสมัยกรีกโบราณก่อนที่จะรู้จักเหล็กกล้า ทหารส่วนมากก็ใช้อาวุธและเกราะเหล็กธรรมดากัน หรือไม่ก็เป็นบรอนซ์ ซึ่งเข้าใจว่าภาษาไทยจะเรียกว่าสัมฤทธิ์
ออกนอกนิทานมาไกล ขอเชิญกลับไปฟังนิทานกันต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ถาวภักดิ์
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 08 ม.ค. 04, 14:27
|
|
ขอบพระคุณคุณหลวงนิลครับที่อุตสาห์เอาใจ ผมก็หาเรื่องเสวนาไปเรื่อยแหละครับ เผอิญยังสนุกกับประเด็นไก่ชน เลยว่าของผมไปเรื่อยๆ แค้นฝรั่งมานานแล้วที่เอาอารยธรรมโบราณที่สืบทอดมาเป็นพันๆปีของเราไปยกให้มอญให้พม่าให้เขมรหมด จนเหมือนคนไทยเป็นตัวตุ๊ดตู่เกิดจากรูไม้ไผ่
ในความเห็นของผม ตำนานและนิทานพื้นบ้านเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามดูหมิ่น ในเชิงวรรณกรรมที่นำมาผูกเป็นร้อยกรองหรือแม้แต่ร้อยแก้วที่สละสลวยด้วยสำนวนภาษาก็มีคุณค่ามากมายในตนเองอย่างไม่ต้องสาธยาย และยังมีแง่มุมของประวัติศาสตร์โบราณคดีที่อาจเป็นลายแทงสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ในส่วนวิชาตีดาบของไทย ผมเข้าใจว่าคงแบ่งเป็นสองระดับ คือระดับแม่ทัพนายกองซึ่งต้องมีความคมกล้าและคงทนเป็นยอดดาบต่างจากระดับพลทหารทั่วไป ด้วยการรบในยุคโบราณต้องเข้าถึงตัว ผู้ที่มีฝีมือเข้มแข็ง ตะลุยไปทางใดข้าศึกก็แตกเป็นช่อง ย่อมจะเป็นความดีความชอบเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งเป็นนาย ซึ่งก็ยังคงต้องทำหน้าที่ให้เกิดความระส่ำระสายในกระบวนทัพของข้าศึกอยู่ หากมีดาบที่แข็งแรง คมกล้ากว่า ก็ย่อมจะยิ่งได้เปรียบ สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเข้าตากรรมการ ยิ่งได้รับการปูนบำเหน็จยิ่งๆขึ้นไป เคล็ดวิชาตีดาบย่อมต้องเป็นที่หวงแหนปิดบังกัน ซึ่งก็เป็นผลเสียทำให้วิชาดีๆสาบสูญไปบ้าง และทำให้ทหารทั้งกองทัพไม่ได้ใช้อาวุธที่มีมาตรฐานสูงเป็นการทั่วไป
ครั้งหนึ่งในสมัยอยุธยาตอนปลาย เกิดกบฏทหารรับจ้างชาวญี่ปุ่น เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียทางฝ่ายไทยมากอย่างเทียบกันไม่ติดเพราะดาบซามูไรทั่วไปในยุคนั้นตีขึ้นด้วยเทคโนโลยี่การตีดาบที่บรรลุความสุดยอดแล้ว ในขณะที่วิชาตีดาบของไทยคงสาบสูญไปมากแล้ว อันมีเหตุจากการผลัดแผ่นดินเลี่ยนราชวงค์มาหลายรอบ ซึ่งเปลี่ยนที่ก็ต้องปราบเสี้ยนหนามกันเป็นกองโตๆทุกครั้ง คนดีมีวิชาจึงค่อยๆร่อยหรอลงจนอยุธยาต้องล่มสลาย
เมื่อไม่นานมานี่ก็ได้ฟังมาว่า ที่พระยาพิชัยดาบหักนั้นเป็นเพราะท่านออกไปนอกค่ายในเวลากลางคืนโดยไม่ได้เอาดาบไปด้วย ครั้นเช้ามาข้าศึกเข้าตี จำเป็นต้องคว้าดาบลูกน้องแถวนั้นเข้าปะทะ ถึงเป็นเหตุให้ดาบหัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 08:11
|
|
ได้แนะนำตัวโอลันโด ทหารเอกของพระเจ้าชาลมาญไปแล้ว ถึงตอนนี้จึงขอแนะนำอัศวินคนอื่นๆที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดอัศวินบ้าง เพราะต่อไปทุกคนที่กล่าวนี้ก็จะมีเรื่องราวยาวยืดพัวพันต่อเนื่องกันไปตลอด
อัศวินคนที่สอง ต่อจากโอลันโด ชื่อเรอนาร์ด ออกเสียงแบบฝรั่งเศส อังกฤษเรียกเรโนลด์ (Reynold) และอิตาเลียนเรียกว่า รินัลโด มีการผจญภัยยาวเหยียดในตำนาน มีชื่อเสียงรองลงมาจากโอลันโด
คนอื่นๆก็คือ นาโม เป็นพระราชาแห่งบาวาเรียที่มาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าชาลมาญ โอเกียร์ หรือ โอกิเยร์ ชาวเดนมาร์กซึ่งเคยนับถือศาสนาอื่นมาก่อนแต่เปลี่ยนใจมาเป็นคริสเตียน ต่อมามารับสวามิภักดิ์กับพระเจ้าชาลมาญ ราชการได้เป็นอัศวินสำคัญคนหนึ่ง แต่ต่อมาขัดพระราชโองการจึงถูกเนรเทศไปจากเมืองหลวง เมื่อสิ้นรัชกาล โอเกียร์ก็ไม่สมัครใจจะภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ กลายเป็นหัวหน้าชาวเหนือนอกกฎหมายคุมพลเข้าปล้นสะดมบ้านเมืองต่างๆในอำนาจของฝรั่งเศส อัสโตโฟ( หรืออัสตอล์ฟ ตามภาษาอังกฤษ) เป็นอัศวินรูปหล่อแต่ฝีมือค่อนข้างเป็นรองกว่าคนอื่นๆ ใจดี ชอบสนุกสนานบันเทิง อัสโตโฟ มีของวิเศษสองอย่างคือสมุดวิเศษบอกทาง ถ้าอยากไปไหนสมุดก็บอกทิศทางและระยะทางให้อย่างถูกต้องทำให้เดินทางได้สะดวกสบายไม่หลงทาง (สมัยนี้ก็เรียกว่าแผนที่) อีกอย่างคือเขาวิเศษ เป่าแล้วทำให้ศัตรูระย่อเกรงกลัวไม่กล้าสู้ ราชสหายอีกคนหนึ่งไม่ใช่นักรบแต่เป็นมายากรหรือผู้วิเศษชื่อ มาลากิกี้ (Malagigi) เป็นมนุษย์แต่เทพธิดานำไปเลี้ยงไว้ อบรมสั่งสอนจนมีมนต์คาถาแปลงร่างและรู้เวทมนตร์ต่างๆ
ทีนี้ ก็ขอคุยถึงรินัลโดก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 08:56
|
|
แจมครับ
ดาบวิเศษของโอลันโด หรือโรลันด์ นั้น อิตาเลียนว่าชื่อดาบดูรินดานา หรือดูรานดานา (Durindana/ Durandana) ตำนานฉบับฝรั่งเศสว่าชื่อดาบ Durandal/Durindal ถ้าจะให้ผมเดาความหมาย สงสัยจะแปลว่าดาบ "ยอดทรหด" หรือเนื้อเหล็กแข็งเหนียวแกร่ง ไม่ทื่อได้ง่าย ไม่หักง่าย และไม่แพ้ใครง่ายๆ อันนี้ผมเดาเอาเองเทียบคำว่า Enduring ในภาษาอังกฤษ ใครทราบภาษาอิตาเลียนหรือฝรั่งเศส ช่วยสงเคราะห์ด้วย ดาบนี้ ว่ากันว่า(หรือโม้กันว่า) เดิมเป็นดาบคู่มือของเจ้าชายเฮคเตอร์แห่งสมัยสงครามกรุงทรอย ก่อนสมัยของชาลมาญขึ้นไปหลายร้อยปี ตกทอดกันมายังไงจนถึงโรลันด์ได้ นิทานก็ไม่ได้บรรยายไว้ละเอียดเหมือนกัน ท้าวนาโมแห่งกรุงบาวาเรีย (ต้นตระกูลสโมสรฟุตบอลบาเยิร์น-มึนเช่น ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีเกมฟุตบอลเกิดขึ้นในโลก) ราชสหายองค์หนึ่งของชาลมาญนั้น ภาษาอิตาเลียนว่า Namo ซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เพราะอ่านแล้วนึกถึงคำนมัสการพระ (นโม ตัสสะ ฯ) อยู่ร่ำไป ขนาดเซิร์จเว็บดูหาเรื่องของพระเจ้า Namo พระองค์นี้ ยังได้เว็บพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูในภาษาอังกฤษติดมาเพียบ เพราะใช้คีย์เวิร์ดว่า นโม นี่แหละ ค้นไปค้นมาจึงเจอว่า ท้าวนาโมทรงมีอีกชื่อเรียกว่า Nami ภาษาไหนก็ไม่ทราบครับ แต่ถ้าจะแปลงเป็นไทยว่า เนมิราช ก็จะไปซ้ำเข้า่กับเรื่องนิทานชาดกพระเจ้าสิบชาติอีก และอีกชื่อว่า Nayme ซึ่งผมคิดว่าใกล้กับชื่อจริงภาษาเยอรมันที่สุด น่าจะออกเสียงทำนอง เนม (วัทอิสฮีสเนม? ฮิสเนมอีสเนม...)
แฮ่ะๆ ตลกฝืดครับ
อ้อ เมื่อผมบอกว่าคำว่าอัศวินภาษาฝรั่งต่างๆ มาจากละตินว่า Cheval แปลว่าม้านั้นผมเผลอไปนิดหรือใจเร็วไปนิดครับ ความจริง cheval เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าม้า แต่ฝรั่งเศสก็รับมาจากละตินอีกที ว่า caballus แปลว่าม้าเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 09:14
|
|
คุณนกข.ช่วยเล่าเรื่อง joust และ tournament ประกอบด้วยดีไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 10:14
|
|
มาป่วนหน่อยครับ อดใจไม่ไหวเห็นชื่อดาบ Excaliber ทีไร คันหัวใจทุกที เพราะผมจะพาลแปลว่า "without ability" ทุกครั้งไปน่ะสิครับ กลัวว่าแปลตามสำนวนกำลังภายในพระแสงดาบของกษัตริย์อาเธอร์ จะกลายเป็น พระแสงดาบ"บ่มิไก๊" ไปน่ะสิครับ สงสัยต้องวานผู้รู้ในที่นี้ช่วยแถลงไขถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อดาบนี้หน่อยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 10:28
|
|
ครับผม ขอเวลาหน่อยครับ
ดาบดูรินดานาหรือดูรันดานา มีเค้าว่าอาจจะได้ชื่อมาจากภาษาละตินคำว่า durus แปลว่า hard นั่นคือถ้าเป็นไปตามที่ผมเดา ดาบนี้ก็ชื่อ "แกร่ง" นั่นเอง
Joust หรือที่ น.ม.ส. ทรงผูกศัพท์ล้อคำในภาษาไทยไว้ว่า "การประลองยุสต์" ล้อคำว่าประลองยุทธ นั้นเป็นวิธีประลองกันหรือดวลกันของอัศวินโบราณดังที่เราอาจจะเคยเห็นในหนัง คือ ต่างฝ่ายต่างสวมเกราะเข้าเต็มที่ รวมทั้งม้าบางทีก็ใส่เกราะด้วย ถอยห่างกันได้ระยะพอสมควร มือกุมหอกหรือทวนยาว แล้วก็ควบม้าตรงลิ่วเข้าหากัน โผนเข้าปะทะกันเต็มแรง จอมยุสต์ - เอ๊ยจอมยุทธ - ฝ่ายไหนพละกำลังดี ชั้นเชิงบังคับม้าดีและม้าคู่ขาเป็นม้าดี รวมทั้งชั้นเชิงทวนหลบหลีกรุกไล่ดี ก็ยังนั่งอยู่บนหลังม้าได้ อีกฝ่ายหนึ่งถ้าแพ้แรงปะทะหรือแพ้ฝีมือก็ตกม้าไปตามระเบียบ จุสต์นี่เคยได้ยินฝรั่งอ่านออกเสียงว่า เจ๊าสต์ เหมือนกัน (เข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับคำว่า เจ๊ากันไป ในภาษาไทย) มีกติกามารยาทในการเจ๊าสต์หรือจุสต์หรือยุสต์หรือเย้า... พอสมควร แล้วจะหามาเล่าครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 09 ม.ค. 04, 11:32
|
|
คุณเทาชมพูพูดถึงราชสหายของพระเจ้าชาลมาญเอาไว้ ตามตำนานกล่าวว่ามี 12 คน แต่เท่าที่ปรากฏชื่อก็ดูเหมือนมีจำนวนหลายโหล เลยไม่ทราบแน่ว่าจริงๆ มีเท่าไร
รายชื่อราชสหายเท่าที่ค้นมาได้ นอกจากที่คุณเทาชมพูให้ชื่อมาแล้ว ยังมีชื่อที่จะขอถอดเป็นภาษาไทยให้อ่านได้ง่ายๆ หน่อยดังต่อไปนี้ คือ เอลอรี ซึ่งมีเรื่องว่าเคยได้เป็นผู้เชิญธงศึกประจำพระองค์พระเจ้าชาลมาญ ชื่อธงโอริแฟลม ตำแหน่งอัศวินเชิญธงนี้ แสดงว่าคงจะเป็นคนสนิทใกล้ชิดพระเจ้าชาลมาญไม่น้อย ถ้าเทียบตำแหน่งของทหารเรือไทยเดี๋ยวนี้ คำว่า “นายธง” เช่น นายธงผู้บัญชาการทหารเรือ ก็แปลตรงกับตำแหน่ง “นายทหารคนสนิท” ของกองทัพบก แต่การเชิญธงอออกศึกของเอลอรีนั้นครั้งหนึ่งมีเหตุปรากฏอยู่ในนิทานเกี่ยวกับพระเอกหรืออัศวินอีกคนหนึ่ง คือ โอเกียร์ ซึ่งจะต้องขอให้อดใจรอไว้อ่านนิทานต่อไป เอลอรีมีพี่ชายชื่อวิลเลียม เป็นราชสหายเช่นเดียวกัน
ยังมีคาโน ราชสหายซึ่งพระเจ้าชาลมาญไว้วางพระทัยเพราะทรงหลงคำสอพลอของคาโน โดยไม่ทรงทราบว่าคาโนมีใจทุจริตคิดทรยศอยู่ตลอดเวลา รับบทเป็นตัวผู้ร้ายตัวหนึ่งในตำนาน
มีโอลิเวอร์ เพื่อนร่วมตายของโรลันด์ และมีเรื่องปรากฏอยู่ในนิทานตั้งแต่ยังเด็กอยู่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายของทั้งคู่ โอลิเวอร์เป็นญาติ คือเป็นหลานของท้าวเกอรินหรือเกอแรง ซึ่งก็เป็นราชสหายอยู่ด้วย มีรินัลโดหรือเรย์โนลด์และน้องชายอีกสามคนแห่งปราสาทภูเขาขาวหรือ Montalban มีฟลอริสมาต อัศวินหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะมีเรื่องในนิทานชุดนี้อีกเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีใครต่อใครอีกมาก รวมกันแล้วเกิน 1 โหล หลายคนก็ไม่ปรากฏชื่อในเรื่องนิทานที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้เลย จึงไม่ขอกล่าวชื่อนะครับ
หนังสือที่ผมค้นมา บอกว่า Paladins นั้น แปลว่าผู้เกี่ยวข้องหรือพักอาศัยอยู่ในพระราชวัง (วัง มาจากคำละตินว่า Palatium ซึ่งต่อมาเป็น Palace ในภาษาอังกฤษ) ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|