|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 28 พ.ย. 03, 12:05
|
|
พอพระชนม์ได้ 13 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯก็ทรงส่งพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯไปศึกษาต่อที่อเมริกา เพราะทรงเกรงว่าถ้าส่งไปอังกฤษ ก็อาจจะไปพบพระองค์จุลฯ แล้วขอทูลลาไปอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระองค์จุลฯเสียอีกองค์หนึ่ง อย่างที่เคยเกิดมาแล้วในกรณีพระองค์พีระฯ
พระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพระองค์จิรศักดิ์ฯมาก มีพระราชหัตถเลขาถึงพระโอรสบุญธรรมทุกวัน และรอจดหมายตอบทุกอาทิตย์ ความในพระราชหฤทัยต่างๆนั้นก็ถ่ายทอดลงในจดหมาย เล่าให้พระโอรสบุญธรรมฟังอย่างที่ไม่อาจจะทรงเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนหนึ่งของจดหมายเหล่านี้ นำมาตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของคุณหญิงมณี สิริวรสาร
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระปกเกล้าฯเสด็จอเมริกาเพื่อทรงลอกต้อกระจก พอหายดีแล้วก็เสด็จประพาสยุโรป พระองค์จิรศักดิ์ก็ทรงออกจากโรงเรียนที่นั่นตามเสด็จไปด้วยทุกหนทุกแห่งในฐานะพระโอรสบุญธรรม ได้มีโอกาสพบปะผู้นำและประมุขของประเทศต่างๆด้วย จนสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงสละราชสมบัติ เสด็จไปประทับอยู่ในอังกฤษ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ก็โยกย้ายจากอเมริกาเป็นการถาวรมาอยู่ด้วยที่อังกฤษ เตรียมตัวเรียนต่อในระดับสูงต่อไป
พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ไม่ค่อยจะทรงถนัดทางวิชาการนัก แต่ว่าทรงมีหัวทางด้านงานประดิษฐ์และเครื่องยนต์กลไก นอกจากนี้ยังเก่งเรื่องขับรถและขับเครื่องบินเป็นพิเศษ ทรงเรียนขับเครื่องบินพร้อมกับสมเด็จพระปกเกล้าแค่ 8 ช.ม. ก็ทรงบินเดี่ยวได้ ต่อมาก็สอบประกาศนียบัตรนักบินได้ สมเด็จพระปกเกล้าฯจึงทรงซื้อเครื่องบินเล็กให้ลำหนึ่งเป็นส่วนตัว ท่านก็ขับเครื่องบินเข้าแข่งแรลลี่ได้ที่ 1 แต่ว่ายังไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอย่งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯมีพระราชประสงค์
พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯเจริญพระชนม์ขึ้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มาดดี กิริยามารยาทเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่งกายโก้ และใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ดีอังกฤษ มีรถสปอร์ตคันงามยี่ห้อ Bentley ขับไปไหนมาไหน หูตากว้างมีโอกาสได้เข้าสมาคมในกลุ่มเจ้านายและผู้นำประดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังนิสัยดี มีความประพฤติเป็นสุภาพบุรุษแท้ สรุปง่ายๆว่าพระเอกนิยายอย่างคุณชายกลางหรือท่านชายพจน์เป็นยังไง ท่านก็เป็นยังงั้นละค่ะ เรียกว่าเป็นปรินซ์ชาร์มมิ่งตัวจริง
เมื่อพระชนม์ได้ 21 พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ เสด็จไปที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ เพื่อร่วมในงานดินเนอร์ที่นั่น ฉากที่แสนจะโรแมนติคราวกับเรื่องซินเดอเรลลาก็เกิดขึ้น เมื่อทรงพบหญิงสาวสวยที่สุดเท่าที่ทรงเคยเห็นมาก่อน เป็นการพบโดยบังเอิญ เธอกำลังหาถุงมือที่หายไปในห้องเก็บเสื้อคลุม ท่านก็ทรงหาให้จนพบ โดยต่างคนต่างก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้แค่ว่าเป็นคนไทยด้วยกัน
(ทิ้งไว้ยังงี้ก่อนละคะ ให้อยากอ่านมากๆ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 28 พ.ย. 03, 14:31
|
|
ว้าว มาลงชื่อครับ แหมรู้สึกเป็นเกียรติไงก็ไม่รู้ที่คุณเทาชมพูอุตสาห์เล่าให้ฟังตามคำขอ ปลื้มมากครับ อ้อย่างงี้ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ร.7 สิครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 28 พ.ย. 03, 16:03
|
|
ใช่ค่ะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถ้าลำดับญาติกันอย่างชาวบ้านๆ ก็ต้องพูดว่าพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯเป็น "ลูกผู้น้อง" ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เพราะเป็นลูกชายของอา แท้ๆของพระองค์ท่าน
พระองค์พีระฯก็เป็น "ลูกผู้น้อง" ของสมเด็จพระปกเกล้าฯเหมือนกัน
ส่วนพระองค์จุลฯซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์พระองค์พีระ นับญาติกันจริงๆแล้วอยู่ในลำดับ "หลานอา" ของพระองค์พีระ เพราะ" พ่อ"ของพระองค์จุล หรือเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก เป็นลูกผู้พี่ของพระองค์พีระ ค่ะ พระองค์จุลฯจะต้องเรียกพระองค์พีระว่า " อา" ถ้าเรียกอย่างชาวบ้าน
การลำดับความเกี่ยวพันในวงศ์ญาติของเจ้านาย ยังมีอะไรให้นับได้ซับซ้อนกว่านี้มาก อย่างเช่นการนับญาติระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3
ถ้านับจากลำดับรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ท่านก็เป็น" หลานลุง" ของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เพราะว่าพ่อของพระองค์ท่าน คือสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็น"น้องชาย" พ่อเดียวกัน(แต่คนละแม่)ของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ นั่นคือการนับญาติทางพ่อ
แต่ถ้ามานับกันทางแม่แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ อยู่ในฐานะ" "เหลนทวด" ของสมเด็จพระนั่งเกล้า" เพราะว่า " แม่" ของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ คือสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เดิมคือหม่อมเจ้าหญิงรำเพย เป็น "ลูกสาว" กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ท่านก็เป็น"หลานตา" ของกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์
กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ เป็น "ลูกชาย" ของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
เพราะงั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ นับทางแม่ ก็เป็น "เหลนทวด" หรืออีกนัยหนึ่ง สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็เป็น "คุณ(ตา)ทวด" ของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (ผู้ซึ่งนับทางพ่อ ใกล้กว่า เป็นแค่หลานลุง)
เอาตัวอย่างแค่นี้ก่อนนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 29 พ.ย. 03, 02:18
|
|
หายไปอบไก่งวง กินไก่งวงจนเพิ่งหายจุกค่ะ เรื่องนี้อ่านสนุกจริงๆค่ะ คุณเทาชมพูทิ้งท้ายให้ฉงนใจจริงๆ จะตามเกาะจออ่านต่อนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 02:09
|
|
หวังว่าคุณเทาชมพูมีเรื่องเล่าต่อว่าแต่งงานแล้วชีวิตบั้นปลายท่านเป็นอย่างไรด้วยนะคะ อ่านสนุกเหมือนนิยายเลยค่ะ
ขออนุญาตแตกประเด็นนิดหน่อยนะคะ เรื่องไก่งวงน่ะค่ะ
ไก่งวงมันมีเนื้อมากและเนื้อแน่น กว่าจะสุกทั่วกันได้ก็ต้องใช้เวลาอบนานมากค่ะ เพราะวิธีอบในเตาอบนั้นความร้อนค่อยๆซึมเข้าจากผิวหนังเข้าไปข้างใน ยิ่งถ้ายัดไส้ด้วย ต้องตื่นแต่ตีห้ามาอบทีเดียวแหละค่ะ เพราะเหตุนี้ ถ้าให้ความร้อนมากๆ ด้านนอกที่เป็นเนื้อก็สุกเกินไป น้ำในเนื้อหยดใส่ถาดหมด เนื้อเลยแห้งเหมือนมัมมี่ตายซากเลยค่ะ อิๆๆ ตามธรรมเนียมเก่าเค้ายัดไส้ stuffing แต่จะทำให้เนื้อไม่อร่อยค่ะ ดิฉันเลยต้องแหกประเพณีสักหน่อย เรื่องกินสำคัญกว่าค่ะ
จะอบให้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำต้องใจเย็นๆค่ะ แล้วที่สำคัญ อย่ายัดไส้ เอาไส้ใส่ชามอบต่างหาก จะทำให้มีความร้อนเข้าไปในโพรงข้างในได้แล้วสุกได้เร็วกว่าค่ะ และก็ยังมีเคล็ดอีกค่ะ เวลา.ซื้อไก่ดิบๆจากร้านมันจะแช่แข็งโป๊กเลย จะให้มันละลายเร็วๆไม่ได้ เพราะน้ำที่ซึมออกมาจากผนังเซลจะหยดออก ถ้าเราค่อยๆละลายในตู้เย็นเป็นสามสี่วันเลยค่ะ น้ำจะค่อยๆซึมกลับเข้าไปในเซลตามเดิม ถ้าเราเอาเนื้อแห้งๆ(คือไปอบทั้งๆที่มันยังละลายไม่หมด น้ำก็ไม่เข้าเนื้อค่ะ) ออกมาก็ยิ่งแห้งเข้าไปใหญ่ค่ะ ต้องซื้อไก่ล่วงหน้าอย่างน้อย ๕ วันแล้วทิ้งในตู้เย็นให้มันค่อยๆละลายค่ะ
เอาไปแช่น้ำผสมเกลือกับน้ำตาลและเครื่องเทศสักคืนนึง ไม่เค็มหรอกนะคะ แต่มันจะช่วยให้เนื้อไม่เสียน้ำค่ะ อบออกมาแล้วก็ชุ่มดี
ปีนี้ไม่อยากเรื่องมาก ก็ไปซื้อแบบที่เค้าทำสุกมาแช่แข็งมาทั้งตัวมาเลย แต่ก็ต้องให้มันค่อยๆละลายอยู่สองวัน ตอนเอาออกมาอบยังมีน้ำแข็งอยู่ด้วยค่ะ แต่อบไฟต่ำๆ พอให้หนังกรอบๆ แต่ก็ยังต้องอบเกือบสามชั่วโมง พอให้บ้านหอมๆค่ะ เอาอาหารมาเผื่อค่ะ ช่วยๆกันกินหน่อยนะคะ อิๆๆ
จากบนซ้ายนะคะ จานแรกเป็นมันจากอัฟริกาเรียกว่า yam รสคล้ายมันเทศบ้านเรามากแต่เนื้อไม่แน่น เอาไปเคี่ยวช้าๆกับเนยสดและน้ำตาลทรายแดง เรียกว่า candied yam จานถัดไป คือ wilted arugula ผักนี่ขึ้นอยู่ในสวนที่บ้าน เอามาทำสลัดแบบรสซ่าก็ดี แต่เอามาผัดน้ำมันมะกอกร้อนๆเร็วๆเรียกว่าพอสลดน่ะค่ะ ถัดไปก็มันบด
แถวล่างจากซ้าย stuffing อบในชามก้นลึกเป็น cassarole น่ะค่ะ อันกลางก็คือ carrot with orange-mustard sauce ค่ะ แล้วท้ายสุดก็ไก่งวงหั่นเรียบร้อยใส่จานพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 02:16
|
|
ส่วนแครนแบรี่ซอสก็เปิดกระป๋องเลยค่ะ ปกติจะซื้ออย่างสดมาทำใส่ผิวส้ม-อบเชย ฯลฯ แต่ก็คงมีแต่เราสองคนตายายกินกัน เด็กๆชอบแบบเปิดกระป๋องมากกว่า เลยใช้วิธีลัดค่ะ ตักมาเสิร์ฟคุณเทาชมพูเลยนะคะ
ที่สีแดงมืดๆตรงกลางด้านบนคือแครนแบรี่ซอสแลลที่มีทั้งลูกผสมมาด้วยค่ะ ทานอร่อยกว่าแบบที่มีแต่เจลค่ะ กับมีฟักทองอบอีกชิ้นนึง ไม่ใช่ฟักทองบ้านเราเป็นแบบที่เค้าเรียกว่า butternut squash ลูกคล้ายๆน้ำเต้าแต่ยอดหนา เนื้อแน่นมันๆไม่หวานจัดค่ะ กับเนื้อน่อง(อร่อยกว่าเนื้อหน้าอกค่ะ) แยม มันบดราดเกรวี่ ถั่วแขกอบโรยหน้าด้วยหอมทอด กับอารุกุล่าผัดไฟแดงค่ะ
 |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 09:57
|
|
อ่านวิธีทำแล้วน้ำลายไหลค่ะ แต่ดิฉันขอยกมือยอมแพ้ ไม่สามารถจะทำได้อย่างคุณพวงร้อย แค่นั่งเฝ้าให้ละลายในตู้เย็นดิฉันก็หมดแรงแล้ว เอาเป็นว่าขอชิมผ่านทางคำบรรยายก็แล้วกันนะคะ รับแยมเครนเบอรี่มากินกับขนมปังด้วยความเต็มใจค่ะ
กลับมาเล่าถึงพระเอกนางเอกของเรา
ชีวิตคู่ของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์และหม่อมมณี เริ่มต้นยังไงน่ะหรือคะ ดิฉันว่าเหมือนตอนจบของนิยายรักหวานชื่นที่ทิ้งบทท้ายไว้ในตอนแต่งงานของพระเอกนางเอก บทต่อไปที่นักเขียนไม่ได้เขียนแต่คนอ่านต้องวาดภาพเอาเอง จะหวานชื่นฉ่ำโรแมนติคแสนสุขยังไง ชีวิตของทั้งคู่นี้ก็เหมือนยังงั้นละค่ะ
อ้อ มีขวากหนามจากภายนอกหลุดเข้ามาเล็กน้อย แต่ไม่มีผลอะไรมากนัก
คือพอรัฐบาลไทยทราบว่านางสาวมณี บุนนาค นักเรียนทุน ก.พ. ลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแต่งงาน ก็สั่งสถานทูตไทยระงับการออกหนังสือเดินทางให้เธอทันที จะทำให้ต่อเมื่อเธอต้องจ่ายเงินทุนคืนย้อนหลัง 3 ปีที่เรียนมา
ทั้งที่ตอนได้ทุน เงื่อนไขสัญญาของก.พ. มิได้ผูกมัดอะไรเธอเลย เนื่องจาก ไม่ใช่ทุนของกระทรวงใดๆที่เธอจะต้องกลับมาทำงานให้ นอกจากนี้ ในสัญญายังระบุอีกว่า ถ้าผู้ได้ทุนหยุดเรียนหรือเลิกเรียนด้วยสาเหตุใดๆ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย เมื่อผู้เรียนกลับเมืองไทย รัฐก็ไม่ต้องหางานให้ เป็นทุนที่ฟรีที่สุดทุนหนึ่ง
มณีประท้วงไม่ยอมจ่ายค่าชดใช้ แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงไกล่เกลี่ยด้วยการจ่ายเงินชดเชยให้ตามที่รัฐบาลเรียกร้อง เพื่อให้เรื่องจบสิ้นกันไป ทรงกล่าวกับเธอว่า รัฐบาลทำเช่นนี้เพื่อบีบบังคับพระองค์ท่านให้จ่ายเงินแทนมณี เพราะรู้ว่าท่านเป็นประธานงานสมรส นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงทราบว่าท่านทูตไทยถูกรัฐบาลตำหนิอย่างรุนแรงที่ยอมให้ใช้สถานทูตเป็นที่ประกอบพิธีสมรส เมื่อสมเด็จพระปกเกล้าฯยอมจ่ายค่าชดเชยให้ ทุกอย่างก็เรียบร้อยในพริบตาเดียว มณีก็ได้หนังสือเดินทางเพื่อเดินทางไปฮันนีมูนในยุโรป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 15:46
|
|
โอยพี่พวงร้อยครับ หิวมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
paganini
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 15:52
|
|
แล้วตอนนั้นเปลี่ยนแปลงการปกครงรึยังครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 16:21
|
|
แฮ่ม พอดีได้อ่าน "ชีวิตเหมือนฝัน" ของคุณหญิงมณี "สิริวรสาร" เหมือนกันครับ แต่ไม่อยากแย่งคุณเทาชมพูเล่าครับ ขอบอกใบ้คุณ paganini แค่ว่าตอนนั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วครับ ร.7 ทรงสละราชสมบัติและเสด็จไปประทับที่อังกฤษแล้วครับ ทางนโยบายรัฐบาลในขณะนั้นดำเนินการในลักษณะ against สถาบันพระมหากษัตริย์มากครับ (ก่อนที่จะพบว่าประชาชนไทยยังยึดมั่นกับสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่มาก จึงหันกลับมา... เอ้อ...จะว่ายังไงดี...ให้ความสำคัญอีกครั้งก็แล้วกันครับ) ส่วนเมนูคุณพวงร้อย เห็นแล้วน้ำลายหกครับ เอื๊อก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 18:01
|
|
อ้าว คุณCrazyHOrse เพิ่งโผล่ให้เสียงตอนนี้เอง เงียบอยู่ตั้งนาน เลยไม่รู้ว่ากลับมาร่วมวงแล้ว
ได้อ่านชีวิตเหมือนฝันเหมือนกันรึคะ งั้นช่วยกันเล่าหน่อยซีคะ ถ้ามีตอนไหนที่ดิฉันเล่าข้ามหรือว่าเล่าผิดพลาดไปก็ช่วยเติมเสริมแต่งให้สมบูรณ์ด้วยค่ะ
พระองค์จิรศักดิ์ฯทรงพาเจ้าสาวไปฮันนีมูนที่ฝรั่งเศส ได้รับพระราชทานเงินสด 1000 ปอนด์สำหรับฮันนีมูน 3 สัปดาห์
ค่าของเงินสมัยก่อนสงครามโลกถ้าเทียบกับสมัยนี้เป็นเท่าใดดิฉันก็ไม่ทราบ แต่ก็พอที่คู่บ่าวสาวจะใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี ตลอด 3 สัปดาห์(เฮ้อ อิจฉา!)
เริ่มต้นที่ปารีส เมืองโรแมนติคที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป พักที่โรงแรมจอร์จแซง (George V) ได้กินอาหารกันที่ร้าน Tour d' Argent ที่จักรพรรดินโปเลียนและพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จมาเสวย
ทุกวันนี้ร้านก็ยังอยู่ เป็นร้านแพงระยับจับกระเป๋ายิ่งนัก
ความสุขของเจ้าสาวหมาดๆในนี้ บรรยายไว้สุขสมหวังเท่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะพึงพบได้ว่าฝันเป็นจริง เธอได้ชุดราตรีหรูๆของฝรั่งเศส ได้กินอาหารชั้นเลิศสารพัดร้าน ในเมืองเศรษฐีของโลก
โอย ไม่เล่าดีกว่า ข้ามไปเถอะค่ะ
เอาเป็นว่าจากปารีสก็ไปเที่ยวริเวียร่า ดาจอง ลิออง แถวโค้ทดาซูร์
ถ้าเป็นยุคนี้มีทัวร์ไปนอกได้ทุกอาทิตย์ก็ไม่แปลกอะไร แต่สมัยนั้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยังไม่เข้ามาถล่มยุโรปให้ลำบากตรากตรำ ชีวิตแบบนี้จึงเป็นชีวิตในฝันที่ประชากรไทย(ยี่สิบล้านหรือเท่าไรไม่แน่ใจ) ไม่มีโอกาสได้พบ
ครบกำหนด ทั้งสองก็กลับไปเริ่มต้นชีวิตคู่ที่แฟลตของพระองค์จิรศักดิ์ที่เวสต์เอนด์ ลอนดอน ด้วยความรักและความสุข
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นนทิรา
มัจฉานุ
 
ตอบ: 77
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 01 ธ.ค. 03, 20:07
|
|
กระทู้นี้ได้อ่านสองเรื่องไปพร้อมๆกันเลย โดนใจจริงๆ สนุกทั้งสองเรื่องค่ะ เรื่องของชายสูงศักดิ์กับหญิงงาม คุณเทาชมพูคะ หยุดค้างอยู่ตอนหวานชื่นอย่างนี้ ชีวิตหม่อมมณีเป็นชีวิตเหมือนฝันจริงๆเลยค่ะ รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ดิฉันได้เคยเห็นรูปคุณหญิงมณีตอนอายุมากแล้ว ก็ยังคงเค้าความงามไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนเรื่องไก่งวงของพี่พวงร้อยก็สนุกอีก ได้ความรู้และเคล็ดลับต่างๆด้วย เพิ่งทานไก่งวงหมดไปหมาดๆเหมือนกันค่ะ บ้านนี้ทานกันอยู่สามวัน ปีนี้หนูอบแบบ New England หมักกับ Apple Cider กับ Maple Syrup ค่ะ เนื้อชุ่มฉ่ำดี เสียดายมากที่ที่นี่ไม่มี yam เลยทำให้รู้สึกว่าเป็น Thansgiving ที่ขาดอะไรไปซักอย่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 02 ธ.ค. 03, 14:38
|
|
คนอยู่หลังเขางงแล้วค่ะ เห็นพูดถึงหนังสือของ คุณหญิงมณี "สิริวรสาร" ท่านคือ "หม่อมมณี" หรือคะ ยังไม่มีโอกาสได้ยินหรือได้เห็นหนังสือเลยค่ะ
ไม่นึกว่ามีคนชอบทานอาหารแบบนี้ด้วย ดิฉันยังไม่รู้จะเอาอาหารที่เหลือไปทำอะไรเลยค่ะ อาหารแบบนี้ทานปีละมื้อก็เหลือแหล่แล้วค่ะ ต้องมาทานของเหลือเพราะไก่งวงมันอึ๋มเหลือหลาย ทำให้อยากวิ่งขึ้นรถไปกินส้มตำที่ไทยทาวน์เลยค่ะ แต่สูตรของน้องนนทิราฟังดูน่าสนใจนะคะ ไว้คราวหน้าฟ้าใหม่ไก่ถึงฆาตตัวหน้าจะได้ลองแต่งตัวเป็นแย้งกี้กะเค้ามั่งนะคะ ฮี่ๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|