พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 11:14
|
|
 ขอบพระคุณมากค่ะคุณเทาชมพู ดอกไม้สวยมากค่ะ จะคอยตามอ่านเรื่องของพระองค์พีระนะคะ ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าท่านทรงหย่าขาดหม่อมซีบิลน่ะค่ะ สนใจมากเลยค่ะว่าบั้นปลายชีพทรงเป็นไปอย่างไรบ้าง จะมาตามอ่านอยู่ค่ะ
ทางนี้อากาศประหลาดมากค่ะ ร้อนจัดมาตลอด ขนาดเข้าเดือนตุลาที่แต่ก่อนมาถ้ามีฮีตเวฟอย่างมากก็อยู่อาทิตย์เดียว แต่นี่อยู่นานสามสี่อาทิตย์ จนเกิดไฟไหม้ดังที่คงได้ทราบข่าวแล้ว ไฟที่ Rancho Cucamanga หรือที่เค้าเรียก Grand Prix/Old Fire นี่ไหม้มากที่สุด รูปถ่ายจากอวกาศก็แสดงให้เห็นควันมากที่สุด อันที่สองจากขวาน่ะค่ะ ดีว่าสามวันที่ผ่านมาอากาศอยู่ๆก็เย็นลงมากๆ แถมยังมีฝนตกอีก เลยช่วยการดับไฟได้มาก |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 11:18
|
|
 พอดีวันเสาร์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนที่ไฟเริ่มมาได้สองวันแล้ว(ไหม้หนักหน่วงที่สุดราวๆวันจันทร์-อังคารน่ะค่ะ ตอนนี้ก็ดับเกือบหมดแล้ว คาดว่าจะดับได้หมดพรุ่งนี้ค่ะ) แต่ควันหนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เคยผ่านไฟมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเห็นควันมากมายอย่างนี้เลยค่ะ รูปข้างบนถ่ายวันเสาร์ที่แล้วบนฟรีเวย์ตอนกำลังออกจากควันทะมึนเหนือหัวค่ะ
วันพุธก็เริ่มเจ็บคอแล้วค่ะ ตอนนี้ยังไม่หายดี แต่ก็ยังดีกว่าคนอีกจำนวนมากที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ แถมบางบ้านถูกไฟไหม้ราบเรียบไปหมด ขออภัยที่นอกเรื่องนะคะ ยังไม่หายตื่นเต้นเท่าไหร่เลยค่ะ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 12:04
|
|
มาต้อนรับคุณพวงร้อยครับ ยินดีที่ได้พบกันอีก และหวังว่าคงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปจากไฟป่า
ระยะหลังเรือนไทยค่อนข้างเงียบ สมาชิกบางคน (เช่นคุณจ้อและผมเป็นต้น) ช่วงไม่กีเดือนมานี้อยู่ระหว่างการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่และงานใหม่ในเมืองไทย อย่างผมก็เพิ่งกลับมาจับงานใหม่ที่กรุงเทพฯ ได้เพียงสามเดือนเศษ แล้วช่วงที่ผ่านมางานใหม่ก็ถาโถมเข้ามาเต็ๆ เลย เลยไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเรือนไทย แต่เห็นสมาชิกท่านอื่นหลายคนก็หายหน้าไปเหมือนกัน
ขออภัยที่ออกนอกเรื่องหัวข้อกระทู้ แต่ไหนไหนก็ได้ออกนอกเรื่องแล้ว ขอ "ป่าวหมู่เทวฤทธิ์" เชิญสมาชิกเก่า สมาชิกใหม่ในเรือนไทยมาร่วมวงถกเถียงเสวนากันให้สนุกอีกสักหนเถอะครับ ผมคิดถึงทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - อะแฮ่ม - "ขุนศึก" ก็จะเป็นหนังอีกรอบแล้ว ตัวผมก็กลับมาเมืองไทยแล้ว แม่หญิงเรไรช่วยเยี่ยมหน้าต่าง เอ๊ย โผล่วินโด้ว์มาทางเว็บนี้ให้ผมหายคิดถึงสักทีด้วยเถอะครับ...
(เผื่อจะล่อคุณแจ้ง ใบตอง ให้ออกมาได้อีกคนด้วย...)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 12:33
|
|
ดิฉันปล่อยให้เจ้าดาราทองคอยค้างเติ่งอยู่ใน notepad มาปลอบขวัญคุณพวงร้อยก่อน ขนาดดิฉันเห็นรูปที่เอามาลงยังใจไม่ค่อยสบาย มันเป็นภาพน่ากลัวมาก คนที่เจอ แม้จะอยู่รอบนอกห่างออกมาไม่ได้โดนเข้าโดยตรง คงใจคอไม่อยู่กับตัวเท่าไร คิดว่าคงสงบกันได้ในวันพรุ่งนี้ ฟังข่าวพบว่าตายไปหลายราย น่าสงสารมาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ทำงานอย่างหนัก
เทพบุตรนางฟ้าฤทธิ์มากที่คุณนิลกังขาถามถึง ดิฉันจะพยายามดำเนินการใต้ดินบนดิน เอาตัวมาคุยกันเหมือนเดิมให้ได้ค่ะ คุณแจ้งส่งข่าวมาว่าตอนนี้งานท่วมหัวท่วมหูอยู่ ตั้งแต่เรียนจบก็ดูเหมือนจะแบกภาระหนักกว่าเมื่อก่อนเสียอีก แต่น่าจะปลีกตัวมาเยี่ยมเรือนไทยได้บ้าง ส่วนแม่หญิงเรไร ไม่รู้ว่าตามพ่อเสมาไปไหน ถ้ายังไม่ไกลเกินกู่ จะไปจูงกลับมาอีกคน คุณจ้อก็คงอยู่แถวๆนี้ละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 13:51
|
|
วงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนพาพระองค์พีระขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่พระชนม์ยี่สิบเศษๆ มาแล้ว แล้วหยุดอยู่ตรงจุดนั้นจนถึงพระชนม์สี่สิบเศษ หลังจากนั้นวงล้อก็เริ่มหมุนลง
เริ่มต้นด้วยธุรกิจรถยนต์สั่งจากเยอรมัน ต้องล้มเลิกไป พระองค์พีระเป็นนักกีฬาระดับอัจฉริยะก็จริง แต่ไม่ทรงมีหัวทางธุรกิจ เพียงสามปีก็ทรงจำต้องเลิกกิจการ แล้วตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Bira Commmerce Co. แทน ต่อมาทรงดำริจะตั้งบริษัทเกี่ยวกับการบินชื่อ Bira Air Transport เพื่อขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างไทยกับลอนดอน แต่ธุรกิจนี้ก็ไปไม่รอดอีก
หลังสงครามโลกจบลง ประเทศไทยได้มหามิตรรายใหม่คือสหรัฐอเมริกา วัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบอเมริกันหลั่งไหลเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมยุโรปที่เคยรับมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 รถยนต์อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมันที่คนไทยเคยชอบก็ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ยี่ห้อต่างๆของอเมริกาแทน รถอเมริกันอย่างไครสเลอร์ คาดิลแลค โอลสโมบิล พลีมัธ วิ่งกันหนาตาในช่วง 2500-2510 กิจการบริษัทของพระองค์พีระก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง
เรื่องที่สองคือผู้เป็นที่รักยิ่งของท่าน จากไปทั้งสองคนในปีเดียวกัน พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อพ.ศ. 2506 ส่วนหม่อมสาลิกาผู้ครองรักกันอย่างเป็นสุขมา 6 ปีก็จำใจทูลลาหย่าขาดจากท่าน จากกันด้วยน้ำตาเช่นเดียวกับหม่อมซีริล
การสูญเสียของพระองค์พีระไม่ได้จบลงแค่นี้ แปดปีต่อมา ม.ร.ว. พีรเดช ผู้กำลังเป็นหนุ่มวัยรุ่น น่าจะมีอนาคตอีกไกล เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเด็กหนุ่มวัยนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 03 พ.ย. 03, 22:43
|
|
ขอบพระคุณในความห่วงใยค่ะ เพิ่งตื่นมาอากาศก็อีมครึม แสดงว่าฝนและหิมะยังตกอยู่ ไฟถ้ายังไม่ดับก็คงจะดับอีกไม่นานแล้วค่ะ
ดีใจที่ได้พบคุณนิลกังขาอีกค่ะ ไม่ทราบเลยว่ากลับไปเมืองไทยแล้ว หวังว่าไม่หักโหมกับงานมากเกินไปด้วยนะคะ ทานของอร่อยๆเผื่อมั่งละกันนะคะ
อืมม น่าสนใจมากเลยนะคะ น่าสงสารท่านมากนะคะ ดูเหมือนจะทรงโหยหาไขว่คว้าอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้อยากฟังต่อว่าตอนต่อไปเป็นอย่างไรบ้าง คุณเทาชมพูเล่าได้สนุกมากค่ะ
ไม่ทราบมาอีกเหมือนกันว่า บุคคลที่ดิฉันชื่นชมมากที่สุดคนหนึ่ง คือพระองค์จุลฯได้สิ้นด้วยโรคมะเร็ง สองพระองค์ทรงเติบโตมีชีวิตมาคล้ายๆกัน แต่ปรัชญาการดำรงชีพต่างกัน เส้นทางชีวิตก็ทรงแตกต่างกันมากนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 04 พ.ย. 03, 08:48
|
|
เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันอพยพย้ายบ้านหนีไปแล้ว ได้ข่าวว่าอยู่ใกล้เส้นทางไฟมาก ต่อให้ไม่ถึงบ้านเธอก็คงเห็นควัน ได้กลิ่น มลพิษกระจายไปถึงจนทนอยู่ไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็โล่งใจว่ามีฝนและหิมะ สถานการณ์คงปกติในอีกไม่กี่วัน
ถ้าหากว่าคุณพวงร้อยสนใจจะอ่านเรื่องพระองค์จุล ดิฉันจะเล่าให้อ่านกันในกระทู้ใหม่ค่ะ
ตอนนี้เชิญนั่งล้อมวงฟังเรื่องพระองค์พีระ ตอนจบนะคะ
หลังพ.ศ. 2506 เมื่อหม่อมสาลิกาแยกทางไปแล้ว ชีวิตหลังจากนั้นค่อนข้างคลุมเครือสำหรับผู้สนใจศึกษาชีวประวัติ ทราบแต่ว่า พระองค์เจ้าพีระทรงมีหม่อมอีก 2 คน ที่ไม่ปรากฏในสังคม และหนึ่งในจำนวนนี้มีโอรส(หรือธิดา) ด้วยกัน แต่ไม่มีรายละเอียดให้ทราบมากกว่านั้น
ที่รู้คือในพ.ศ. 2514 เสด็จไปยุโรปอีกครั้ง เพื่อเตรียมแข่งขันเรือใบสำหรับกีฬาโอลิมปิคที่เยอรมนี แล้วแวะเยี่ยมหม่อมซีริลที่อิตาลี
ต่อจากนั้น ข่าวคราวของพระองค์พีระหายเงียบไปจากสังคม อาจจะมีแต่พระญาติสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าทรงอยู่ที่ไหนอย่างไร
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังสงครามโลก เป็นหนุ่มสาวในยุค 1960s เกือบทั้งหมดไม่รู้จักพระนามเจ้าดาราทองอีกแล้ว สังคมไทยเปลี่ยนโฉมหน้าไปมากมาย ความสนใจของหนุ่มสาวมุ่งไปที่เสียงเพลงมากกว่ากีฬา หรือถ้ามีการแข่งขันกีฬาใหญ่โตอย่างเอเชียนเกมส์ ความสนใจก็พุ่งไปที่กัฬาฟุตบอล วิ่ง ว่ายน้ำ เสียมากกว่า
เวลาผ่านไปจนถึงทศวรรษ 1970s ความโอ่อ่ารุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นเรื่องที่ถูกเก็บลงหีบ หมดสิ้นไปกับกาลเวลา พระองค์พีระมีพระชนม์หกสิบเศษ อาจจะเสด็จปะปนไปกับฝูงชนริมถนนในกรุงเทพโดยไม่มีใครรู้จักว่าชายชราผู้นี้คือใคร ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ เท่าที่ทราบคือทรงดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ฐานะความเป็นอยู่ก็ไม่อำนวยให้ทรงอยู่ได้อย่างชั้นหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนอีก
เมื่อพ.ศ. 2526 เสด็จกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เก็บพระองค์่อย่างชายชราที่ไม่มีใครรู้จัก ทรงแวะเยี่ยมหม่อมซีริลเป็นครั้งสุดท้าย
สองวันก่อนคริสต์มาส 23 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ผู้คนในลอนดอนกำลังชุลมุนวุ่นวายจับจ่ายซื้อข้าวของต้อนรับเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวคริสต์ ชายชราคนหนึ่งล้มลงที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ต สิ้นลมหายใจก่อนแก้ไขทัน ไม่มีใครทราบว่าชายชาวเอเชียคนนี้เป็นใคร ไม่มีหลักฐานอะไรในตัวเขา นอกจากจดหมายเขียนเป็นภาษาที่ตำรวจอ่านไม่ออก สก๊อตแลนด์ยาร์ดส่งจดหมายไปสอบถามผู้เชีี่ยวชาญทางภาษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน
กินเวลาถึง 7 วันก่อนจะรู้และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตไทย ในลอนดอนว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เจ้าดาราทองผู้้โด่งดังที่สุดเมื่อ 50 ปีก่อนสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระชนม์ 71 พรรษา BBC ออกข่าวโทรทัศน์ทั่วประเทศทั้งเช้า กลางวัน เย็น ถือเป็นข่าวใหญ่ ITV ออกข่าวไปทั่่วโลก ข่าวสิ้นพระชนม์ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ รวมทั้งนสพ.อังกฤษและประเทศอื่นๆที่เคยทรงทำชื่อเสียงไว้
สถานทูตจัดพิธีสวดพระอภิธรรมถวายอย่างสมพระเกียรติ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในอังกฤษได้รับแจ้งข่าวนี้ทั้งหมด
เมื่อพระศพถูกเคลื่อนย้ายไปที่สุสานเพื่อถวายพระเพลิง นักแข่งรถดังๆสมัยเดียวกันรวมตัวกันทั่วยุโรป บินมาร่วมแสดงความคารวะ ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ ธิดาในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นผู้อัญเชิญธูปเทียนพระราชทานมาร่วมงาน ข้าราชการไทยในสถานทูตไปร่วมงานกันทั้งหมด
ม.ร.ว. มาลินี จักรพันธุ์ ผู้รวบรวมประวัติของท่าน ส่งท้ายไว้อย่างงดงามว่า
" ดวงพระวิญญาณลอยละล่องขึ้นสู่สรวงสวรรค์ พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างโดดเดี่ยว เพียงแค่จดหมายภาษาไทยหนึ่งฉบับที่ทรงทิ้งไว้เพื่อส่งท้ายให้ได้ทราบว่าพระองค์คือใคร เทพส่งพระองค์ท่านลงมาจุติอย่างงามสง่า พระนามขจรขจายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปทั่วโลก และเทพได้นำพระองค์ท่าน "เจ้าดาราทอง" เสด็จกลับขึ้นไปอย่างเดียวดาย เหมือนสวรรค์แกล้งให้โลกลืม"
หนังสืออ้างอิง 1 ต้นกำเนิดที่เกิดเหตุ "เจ้าชายดาราทอง" โดย หญิงหมัด( ม.ร.ว. มาลินี จักรพันธุ์ ) 2 ชีวิตเหมือนฝัน เล่ม 1 โดย คุณหญิงมณี สิริวรสาร
บวกกับการเที่ยวไปถามผู้เกี่ยวข้องและรู้เรื่องนี้เท่าที่จะเจอกันได้...ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 04 พ.ย. 03, 10:58
|
|
อ่านจบแล้ว ก้อนแข็งๆที่จุกคอค่อยๆคลายตัวกลั่นออกมาเป็นน้ำตา ในช่วงยี่สิบปีที่ท่านหายหน้าหายตาจากสังคม คงมีบทเรียนชีวิตที่มีคุณค่ายากที่จะหาคนที่ได้เข้าถึงขั้นนั้นได้ อยากทราบเหลือเกินว่า ในจดหมายฉบับนั้นทรงเขียนไว้ว่าอย่างไรนะคะ ขอบคุณคุณเทาชมพูเป็นอย่างยิ่งเชียวค่ะ จะรออ่านเรื่องของพระองค์จุลฯนะคะ
ดิฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง "เกิดวังปารุสก์" จนจบทั้งสามเล่มเมื่ออายุได้ ๑๓ ปี ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เก็บคำถามอยู่ในใจที่หาใครตอบไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นต่อมาจากเรื่องในหนังสือ ได้อ่านชีวิตของพระองค์พีระไปท่านหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะทิ้งความอาดูรไว้มากมาย แต่ก็เหมือนใจได้คลายขมวดไปปมหนึ่ง ยังอยากทราบมากๆว่า ชีวิตต่อจากหนังสือของพระองค์จุลฯ จะเป็นเช่นใด ท่านเป็นบุคคลคนหนึ่งที่ดิฉันเทิดทูนนับถือมาตั้งแต่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นมาตลอดเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 04 พ.ย. 03, 18:19
|
|
ขอบคุณคุณเทาชมพูครับ
ฉากสุดท้ายในพระชนมชีพของ Prince Bira ที่อังกฤษ ทำให้ผมนึกเปรียบเทียบกับฉากสุดท้ายในพระชนม์ชีพพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง ที่เสด็จสวรรคตในอังกฤษเหมือนกัน คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7 ซึ่งสวรรคตก่อนพระองค์พีระสิ้นพระชนม์สามสิบกว่าปี แต่เป็นการสวรรคตและสิ้นพระชนม์ในต่างแดนเช่นเดียวกัน (ประเทศเดียวกัน) หลังความผันผวนในพระชนมชีพคล้ายกัน ในหลวง ร.7 สวรรคตในฐานะอดีตราชันผู้นิราศจากแผ่นดินของพระองค์ เพิ่งทรงสละราชบัลลังก์ไปก่อนหน้านั้น ประทับอย่างเงียบๆ ที่สุด ถ้าผมจำไม่ผิด ในงานพระบรมศพดูเหมือนจะไม่มีเครื่องสังข์แตรประโคม ไม่มีแม้แต่พระสงฆ์ไทยเจริญพระพุทธมนต์ถวายในโอกาสสุดท้ายก่อนถวายพระเพลิงด้วยซ้ำ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวัดไทยที่โน่น กว่าพระบรมอัฐิจะได้รับถวายพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณีก็อีกหลายปีต่อมา เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จนิวัติเมืองไทยแล้ว
งานพระศพของพระองค์พีระอาจจะไม่เดียวดายขนาดนั้น เพราะสถานทูตไทยจัดถวายอย่างสมพระเกียรติ มีเพื่อนนักแข่งรถร่วมสมัยไปถวายความคารวะเป็นครั้งสุดท้าย ชุมชนไทยในอังกฤษสมัยปี 1970's ก็อุ่นหนาฝาคั่งมากแล้ว
แต่ในทางกลับกัน ช่วงชีวิตช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ของพระองค์พีระเทียบกับพระราชประวัติช่วงสุดท้ายก่อนสวรรคตของในหลวง ร.7 ผมก็อยากจะคิดว่า พระองค์พีระอาจจะทรงโดดเดี่ยวกว่า ในหลวง ร.7 ท่านยังทรงมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ รำไพพรรณีเคียงข้างพระองค์จนถึงวาระสุดท้าย มีเจ้านายบางพระองค์ที่ยังเสด็จมาเฝ้าแหน รวมทั้งคนไทยบางคนที่ยังคงภักดีกับท่าน แต่พระองค์พีระต้องสิ้นพระชนม์เงียบๆ พระองค์เดียว ที่สถานีรถไฟอังกฤษ โดยไม่มีใครรู้จักเลย กินเวลาตั้ง 7 วันกว่าจะรู้ว่าเป็นใคร น่าเศร้ากว่ากันนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 04 พ.ย. 03, 18:50
|
|
มารายงานตัวครับ
ขอบคุณๆเทาชมพูมากครับ แต่อ่านแล้วรู้สึกเศร้าๆจัง
สวัสดีคุณนกข และพี่พวงร้อยครับ หวังว่าพี่พวงร้อยไม่ถูกผลกระทบจากไฟป่ามากนักนะครับ ตอนนี้มหาวิทยาลัยเปิดเทอมแล้วเลยต้องปวดหัวกับเรื่องของเด็กๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 06 พ.ย. 03, 11:36
|
|
สวัสดีค่ะคุณจ้อ ไม่ทันไรสอนมาได้หนึ่งปีแล้วนะคะ สักอีกปีคงอยู่ตัวได้มังคะ ฝากกินโจ๊กสามย่านเผื่อด้วยละกันนะคะ อิๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|