|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 30 ต.ค. 03, 11:22
|
|
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงถือกำเนิดเป็นหม่อมเจ้า พระโอรสในเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ สมเด็จกรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้เป็นพระราชอนุชาพระองค์เล็ก ร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมมารดาของพระองค์พีระ คือหม่อมเล็ก สกุลเดิมยงใจยุทธ เป็นป้าของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนหม่อมเจ้าพีระขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "พระองค์เจ้าตั้ง" คือพระองค์เจ้าที่เลื่อนขึ้นจากหม่อมเจ้า โอรสธิดาของท่านดำรงฐานันดรเป็นหม่อมราชวงศ์ ตามลำดับฐานันดรเดิมของท่านพ่อ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระองค์เจ้าพีระฯ ในเบื้องต้น ดำเนินไปเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย นอกจากชาติกำเนิดสูงแล้ว เจ้าชายสยามก็ยังมีการศึกษาดีเยี่ยมสำหรับเจ้าชายไทยในสมัยนั้น พระชนม์ 13 ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่โรงเรียน อีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมขึ้นชื่อที่สุดของอังกฤษ มีแต่เจ้านายและลูกผู้ดีมีตระกูลเรียนกันทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เคยทรงศึกษาที่นี่เช่นกัน
พระองค์เจ้าพีระเป็นเด็กชายลักษณะดี เป็นที่เมตตาของผู้ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาประหนึ่งเป็นพระราชบุตร ทรงรับไว้ในปกครอง
เมื่อเสด็จไปอังกฤษ พระองค์พีระทรงพบกับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์( พระโอรสในเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ถ้าลำดับญาติกันแล้วพระองค์พีระอยู่ในฐานะอา และพระองค์จุลเป็นหลาน แต่ว่าพระองค์จุลทรงมีพระชันษาแก่กว่า 7 ปี เกิดถูกชะตาเหมือนเป็นพี่ชายน้องชายแท้ๆ พระองค์จุลจึงทรงทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขอเป็นผู้ปกครองพระองค์พีระแทน ทรงสนับสนุนให้เข้าแข่งกีฬา จนได้ชัยชนะ โดยที่ทรงดูแลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ และทรงอุปการะพระองค์พีระอย่างดีจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์จุล
(ภาพถ่ายนี้พระองค์พีระทรงฉายกับหลวงสุรณรงค์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 31 ต.ค. 03, 13:57
|
|
หลังจากอยู่สยามได้ระยะหนึ่ง พระองค์พีระก็พาหม่อมกลับอังกฤษเพื่อเตรียมตัวแข่งขันรถ Grand PriX ต่อไป หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้นจากเยอรมันบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ พระองค์พีระยังทรงอยู่ที่อังกฤษ ไม่กลับสยาม เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศตอนนั้นวุ่นวายมาก ในตอนแรกสยามก็ดูจะเข้าข้างพันธมิตร แต่ต่อมา ญี่ปุ่นบุกไทยเป็นทางผ่านไปสู่พม่า รัฐบาลตัดสินใจยอมประนีประนอมเพื่อไม่ให้เสียเลือดเนื้อคนไทย แล้วก็ตกบันไดพลอยโจน คบญี่ปุ่นเป็นมหามิตร จนถึงขั้นประกาศเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น แล้วเลยกลายเป็นศัตรูกับฝ่ายพันธมิตร
ทูตไทยถูกเรียกตัวกลับ สถานทูตปิด พระองค์พีระไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไทย ก็ตัดสินพระทัยสมัครเข้าร่วมรบเป็นฝ่ายเดียวกับพันธมิตร เสด็จไปเข้าศูนย์ฝึกอบรมการบิน เข้าประจำศูนย์ในฐานะครูฝึกเครื่องร่อนซึ่งทรงชำนาญอยู่แล้ว ได้ตำแหน่งเป็นเรืออากาศโท มีลูกศิษย์ลูกหาชาวอังกฤษมากมาย
เจ้านายสยามหลายพระองค์ที่อยู่อังกฤษ เข้าร่วมรบกับพันธมิตรต่อต้านเยอรมัน พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาพพระอนุชาพระองค์พีระ ที่เป็นพระโอรสบุญธรรมในสมเด็จพระปกเกล้าฯ สมัครเข้าเป็นนักบินอาสาสมัคร นำเครื่องบินไปส่งลงเรือรบ นักเรียนไทยรวมกันจัดตั้งขบวนการเสรีไทย มีหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์เป็นหัวหน้า
น่าเสียดายว่าพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯประสบอุบัติเหตุเครื่องบินชนภูเขาสิ้นพระชนม์ แต่ก็นับว่าโชคดี พระองค์พีระทรงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ตลอดสงคราม จนกระทั่งเยอรมันและญี่ปุ่นแพ้ฝ่ายพันธมิตร สงครามโลกก็สงบลงในพ.ศ. 2488 สันติภาพคืนมาสู่ยุโรป
พระองค์พีระก็ทรงเริ่มชีวิตนักแข่งรถอีกครั้ง ทรงเดินทางไปแข่งตามประเทศต่างๆในยุโรป มาจนถึงอเมริกาใต้ - อาร์เจนตินา ทุกหนทุกแห่งที่เสด็จไป ทรงได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม ผู้คนเข้ามารุมล้อมขอลายเซ็นไม่ผิดกับดาราดังๆของฮอลลีวู้ด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
     
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 31 ต.ค. 03, 15:16
|
|
มาอ่านครับ
พระองค์พีระและสีฟ้าพีระมีชื่อเสียงมากในหมู่คนไทยสักสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ในกระทู้หนึ่งเก่ามากบนเรือนไทย ตกกระดานไปนานแล้ว เคยมีใครสักคนตั้งกระทู้ถามว่าพระองค์พีระฯ เคยทรงแข่งรถกรังด์ปรีซ์ฟอร์มูล่าร์วันหรือไม่ เห็นจะไม่ทรงเคยนะครับ เพราะไอ้เจ้าฟอร์มูลาร์วันนั่นมันมาแข่งกันทีหลังยุคของท่านหลายปี
เรื่องท่านพีระผมไม่ค่อยมีอะไรจะแจม ขอฟังคุณเทาชมพูไปเรื่อยๆ แจมได้แต่เพียงว่า คุณหลวงสุรณรงค์ที่อยู่ในพระรูปคู่กับท่านพีระนั้น เข้าใจว่าในรัชกาลปัจจุบันท่านได้เป็นราชองครักษ์ (มาถึงตอนนี้ 2546 ท่านคงจะถึงแก่กรรมไปแล้วแหละ) แต่ท่านเคยตามเสด็จในหลวงรัชกาลปัจจุบันไปสหัฐอเมริกา ปี 2503 พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีฯ ทรงเล่าไว้ในจดหมายเหตุตามเสด็จอเมริกาของท่านว่า ฝรั่งสมัยโน้น หรือแม้แต่สมัยนี้ก็เถอะ อ่านชื่อไทยหรือชื่อบรรดาศักดิ์ไทยที่ถอดเป็นตัวหนังสือภาษาฝรั่งได้อย่างขลุกขลักมาก เรียกว่าอ่านแล้วเจ้าของชื่อฟังไม่ออกว่าฝรั่งเขากำลังเรียกชื่อตัวเองอยู่ ในงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำครั้งหนึ่งก็มีการขานชื่อยังงี้แหละ ขานแล้วผู้ถูกขานก็ต้องลุกขึ้นยืนถวายคำนับและแสดงความเคารพเจ้าภาพ มาถึงคุณหลวง ฝรั่งคนขานชื่อเรียกท่านว่า "ลู- อัง ซู- รวง - นาหรวง" คุณหลวงฟังไม่เข้าใจ นั่งเฉยสบายดี ร้อนถึงผู้ตามเสด็จท่านอื่นต้องเตือนกันว่าเป็นชื่อคุณหลวงเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 01 พ.ย. 03, 08:21
|
|
ชื่อคนไทยเป็นชื่อที่ฝรั่งกล้ำกลืนออกเสียงยากที่สุดชาติหนึ่งในโลก โดยเฉพาะครูฝรั่งที่เรียกชื่อลูกศิษย์ด้วยนามสกุล ของเขามีมิสเตอร์สมิธ มิสเตอร์โจนส์ มาเจอนามสกุลคนไทย 20 พยางค์ขึ้นไป อาจารย์ฝรั่งแทบจุกไปหลายรายแล้ว ดิฉันเคยเรียนกับอาจารย์ฝรั่งอเมริกัน สอนภาษา พูดจาสำเนียงบอสตันด้วยความภูมิใจว่าออกเสียงอะไรต่อมิอะไรได้ถูกต้องชัดเจน ไม่เหน่ออย่างพวกอเมริกันฝั่งตะวันตก ตลอดเทอม อาจารย์ไม่เคยเรียกดิฉันผู้มีนามสกุลยาว 12 พยางค์เลยค่ะ กลัวออกเสียงผิดแล้วเสียประวัติอาจารย์
ขอตัวไปพิมพ์ประวัติเจ้าดาราทองต่อค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 01 พ.ย. 03, 13:17
|
|
เมื่อสันติภาพคืนมาสู่สังคมยุโรปอีกครั้ง กิจกรรมสังคมอย่างการกีฬาก็เฟื่องฟูขึ้นมาอีก ชีวิตของเจ้าชายหนุ่มสยาม และชายาสาวชาวอังกฤษดำเนินไปเหมือนความฝันเท่าที่มนุษย์จะพึงมีได้ พรั่งพร้อมทั้งสุข ความรัก ชื่อเสียง ความสำเร็จ มีโอกาสท่องเที่ยวอย่างเศรษฐีไปในสถานที่สวยงามหลายแห่งของโลกด้วยกันทั้งยุโรปและอเมริกา ไม่ว่าไปไหนก็เป็นแขกเกียรติยศของสมาคมและบุคคลสำคัญ ในฐานะบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ครั้งหนึ่งได้รับเชิญให้เข้าเฝ้าพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งอังกฤษ (พระราชบิดาของพระราชินีนาถเอลิซาเบธในปัจจุบัน)เพราะโปรดเรื่องรถแข่งมาก ทรงต้อนรับเจ้าชายสยามด้วยพระอัธยาศัยดีเหมือนเป็นพระญาติสนิทด้วยกัน
หม่อมมณี ภาณุพันธุ์ ณอยุธยา(คุณหญิงมณี สิริวรสาร)อดีตชายาของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับท่านในหนังสือ "ชีวิตเหมือนฝัน" ว่า
"นิสัยใจคอของสองพระองค์นั้นต่างกันมาก พระองค์จิรศักดิ์ฯ นั้นโปรดการสนทนาปราศรัยกับคนอื่น และมีจิตใจนึกถึงแต่ส่วนรวมเสมอ ส่วนพระองค์พีระฯทรงสนุกสนานร่าเริงกับสิ่งที่พอพระทัย ไม่สนพระทัยกับเรื่องราวของคนอื่นๆเลย
วันหนึ่งดิฉันล้อเลียนท่านว่า พระองค์เป็นเศรษฐีขี้คร้าน The Idle rich ไม่เห็นทรงทำสิ่งใดให่้เป็นประโยชน์ คิดแต่ความสนุกสนานของท่านฝ่ายเดียว พระองค์พีระก็ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดีและตรัสว่า
"ที่จริงพวกเธอน่ะสิที่ชอบวุ่นวาย อยากให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆทั้งๆที่พวกเขาไม่เห็นต้องการ เช่นพวกมิชชั่นนารีเป็นต้น พวกนั้นพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างไปอยู่ต่างแดน ทำงานไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แต่พวกเขาก็ไม่เห็นได้ทำอะไรให้เป็นผลสำเร็จมากนัก ปรัชญาชีวิตของฉันก็คือว่า ไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น และฉันทำสิ่งที่ฉันพอใจถ้าหากสามารถทำได้ ถึงแม้ว่าฉันจะมิได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน การที่อยู่เฉยๆโดยไม่เบียดเบียนใครก็เป็นผลดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ"
ก็มาดูกันต่อว่าปรัชญาชีวิตของพระองค์พีระ มีผลอย่างไรกับชีวิตของท่านค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 01 พ.ย. 03, 13:30
|
|
ความสุขเหมือนฝันของพระองค์พีระและหม่อมซีริลยืนยาวได้แค่ 11 ปี ขึ้นปีที่ 12 ปรัชญาชีวิตของพระองค์พีระก็ก่อผลกระทบต่อหม่อม ในข้อที่ว่า ขอทำสิ่งที่พอใจ ถ้าหากสามารถทำ
ความที่ทรงเป็นคนดัง บุคลิกดี ตรัสได้คล่องทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส และยังใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงดึงดูดผู้หญิงอื่นๆให้เข้ามาหลงใหลท่าน
พระองค์พีระมิได้เลิกรักหม่อมซีริล เพียงแต่ว่า เมื่อถึงเรื่องที่ทรงพอพระทัยถ้าหากทำได้ ก็ทรงทำ ถ้าหากว่าหม่อมซีริลโอนอ่อนผ่อนตามได้ไม่เดือดร้อน ก็คงจะครองชีวิตคู่กันต่อไปได้ ถือว่าพวกหล่อนจะไม่มีความหมายกับท่านเท่าภรรยาตามกฎหมาย แต่ว่าหม่อมซีริลทำใจไม่ได้ที่พระองค์พีระมีหญิงอื่น แม้จะไม่ทรงจริงจังด้วยนัก เธอถือว่าเป็นความเดือดร้อนสาหัสของภรรยา เธอก็ตัดสินใจแยกกันอยู่พักหนึ่งเพื่อระงับจิตใจ
ระหว่างที่แยกกันอยู่โดยยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สถานการณ์ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองห่างเหินกันมากขึ้นอีก พระองค์พีระเสด็จไปแข่งรถที่อาร์เจนตินา ก็ได้พบชลิต้า หญิงสาวเลือดละติน ผู้สวยสดงดงามราวกับดาราหนัง เมื่อทรงรับบาดเจ็บจากการแข่งรถ ก็มีหล่อนคอยปรนนิบัติดูแล ในที่สุดก็ทรงพาหล่อนกลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับหล่อนไม่ได้กลับบ้านไปหาหม่อมซีริล หม่อมซีริลจึงตัดสินใจหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมาย เมื่อค.ศ. 1950 ทั้งที่ยังรัก พระองค์พีระเองก็ทั้งรักและอาลัยหม่อม ทรงอ้อนวอนให้หม่อมเปลี่ยนใจไม่หย่าแต่ก็ไม่ทรงคิดที่จะสละชลิต้าไปได้อยู่ดี ทั้งคู่จากกันด้วยน้ำตา เพราะรู้ตัวว่าสามารถครองคู่กันได้เพียงแค่นี้ เหลือแต่ความเป็นเพื่อน
หม่อมซีริลไม่ได้แต่งงานใหม่ เธอมีเพื่อนใจเป็นหนุ่มโสดอายุ 40 กว่า คบหากันมาจนเขาตายจากไปโดยไม่ได้สมรสกัน ส่วนทางฝ่ายพระองค์พีระ ทรงลังเลอยู่ถึง 3 ปีถึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับหม่อมชลิต้า แต่ก็ยังระลึกถึงหม่อมซีริลเสมอ ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชายของหม่อมซีริล แล้วพาชลิต้าไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับหม่อม ไปไหนมาไหนกัน 4 คน แต่หม่อมซีริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก คงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 01 พ.ย. 03, 14:06
|
|
ชีวิตในช่วงที่สอง เป็นช่วงโชคดีของพระองค์พีระอีกครั้ง เพราะนอกจากจะมีีหม่อมสาวสวยคนใหม่ที่รักกันดูดดื่มแล้ว ก็ยังได้รับมรดกก้อนโตจากการขายมรดกวังบูรพาแบ่งกันในระหว่างเจ้าพี่เจ้าน้อง ทรงโอนไปไว้ที่ปารีสทั้งหมด เงินจำนวนนี้มากพอจะทำให้พระองค์พีระทรงซื้อรถยนต์บูอิคเปิดประทุนสีฟ้าพีระ เรือยอชต์ใหม่ และปรับปรุงวิลลาที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสที่ทรงซื้อไว้แล้ว ดำเนินชีวิตอย่างเศรษฐี
การใช้ชีวิตในช่วงนี้หรูหรามาก เวลาขับบูอิคคันงามไปไหนมาไหนชาวปารีสมองกันจนเหลียวหลัง แต่การใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี มีแต่รายจ่าย อยู่วิลล่าที่เมืองคานส์ ก็หมดเงินทั้งค่าภาษีและค่าซ่อมแซมดูแล แพงลิบ เมื่อโปรดขับรถเร็ว ก็ทรงขับบูอิคไปชนกับรถอีกคัน รถใหม่เอี่ยมพังยับเยิน ไม่มีประกันเสียด้วย ต้องทรงจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่ซ่อมรถกับจ่ายให้คู่กรณี
ในที่สุด ถึงปลายปี 2497 ก็ทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถอีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ๆสมรรถภาพดีเกิดขึ้น แซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่ายๆ ถ้าจะลงทุนซื้อรถใหม่พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็เป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล
ประกอบกับหม่อมชลิต้ามีโอรส คือม.ร.ว. พีรเดช จึงตัดสินพระทัยแขวนนวมอำลาชีวิตนักแข่ง พาครอบครัวกลับมาตั้งรกรากในเมืองไทยใน พ.ศ. 2499 ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกา เมื่อพระชนม์ได้ 42 พรรษา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 01 พ.ย. 03, 14:29
|
|
ถ้าหากว่าชีวิตของพระองค์พีระเป็นนิยาย ฉากสุดท้ายก็คงเป็นตอนที่ทรงอำลาชีวิตนักแข่งรถ แล้วเสด็จกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมครอบครัวที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนพ่อ แม่และลูกชายวัยน่ารัก จบลงอย่างมีความสุขทั้งคนดูและคนประพันธ์เรื่อง
แต่ชีวิตจริงยังไม่จบแค่นั้น ยังมีความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย เริ่มต้นด้วย หม่อมชลิต้าไม่มีความสุขที่อยู่ในประเทศไทย เธอทนอยู่ได้แค่ 11 วันก็บินกลับไปฝรั่งเศส อีก 7 เดือนต่อมาพระองค์พีระก็ทรงบินไปหย่าขาดจากหม่อมคนที่สอง โดยตกลงกันว่าคุณชายพีรเดชจะอยู่ในความปกครองของมารดาจนอายุ 21 ปี
ก่อนหน้านี้พระองค์พีระเคยพบปะแอร์โฮสเตสสาวสวยคนไทยคนหนึ่งแล้ว ทรงพอพระทัยมากถึงกับเคยเชิญเธอไปเป็นแขก ณ วิลล่าที่เมืองคานส์ ทำให้หม่อมชลิต้าหึงหวงอยู่พักใหญ่ แต่ก็จบลงด้วยการที่ทรงคืนดีกับหม่อมแล้วใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันต่อมา หญิงสาวสวยชาวไทยคนนี้ ก็คือคุณสาลิกา กะลันตานนท์ เธอคือหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระ ทรงสมรสด้วยเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนเรื่องงาน ก็ทรงเริ่มชีวิตนักธุรกิจ ตั้งบริษัท Bira Sport เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ nectar จากเยอรมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
พวงร้อย
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 02 พ.ย. 03, 08:41
|
|
ไม่ได้เข้ามาเรือนไทยเสียนาน ดีใจที่ได้เห็นคุณเทาชมพูกลับมาเล่าเรื่องหายากให้ฟังอีกค่ะ เคยอ่านเรื่องของท่านท่านจาก "เกิดวังปารุสก์" แล้วก็มีติดค้างในใจมานานว่า ชีวิตของท่านดำเนินไปอย่างไร เพราะไม่เคยทราบเรื่องราวต่อมาอีกเลย ขอขอบคุณคุณเทาชมพูเป็นอย่างยิ่ง ที่กรุณานำเรื่องน่าสนใจมาเล่าด้วยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|