เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 4181 เตียะอุง: หวัดมรณะ ยมทูตของคนจีน
ครูไผ่
มัจฉานุ
**
ตอบ: 55

ศึกษานิเทศก์


เว็บไซต์
 เมื่อ 07 เม.ย. 03, 09:03

 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใกล้เมืองซัวเถา เมื่อหลายสิบปีก่อน
..........
ลูกตัวร้อนจี๋... ลูกไม่ยอมกินนม ... ลูกหอบตัวโยน ... ลูกหายใจไม่ทัน ... กระตุก ...
สาวน้อยวัยสิบแปด กอดลูกน้อยคนแรกวัยไม่กี่เดือนไว้แนบอกอย่างตกใจ วุ่นวาย สับสน
..........
ข้างนอกห้อง ได้ยินเสียงคุณปู่ (คุณอาผู้เสมือนพ่อของสามี) ซึ่งกลับมาจากไปธุระข้างนอก บอกกับคุณย่า (อาสะใภ้ของสามี)
"ข้างนอก มีคนเตียะอุง ตายกันหลายบ้านแล้ว เพิ่งคุยกันอยู่ดี ๆ เมื่อสองสามวันนี้เอง"
..........
เมืองจีนในอดีต หลาย ๆ ปีจะมีครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิ ความชื้นและสภาพความกดของอากาศอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของเชื้อโรคชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผู้คนป่วยอย่างเฉียบพลันและล้มตายเหมือนใบไม้ร่วงจากการระบาดของเชื้อซึ่งฟุ้งกระจายอยู่เต็มในอากาศ

สาวน้อย คุณแม่ลูกอ่อน ก็เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าถึงเรื่องโรคระบาดชนิดนี้มาตั้งแต่จำความได้ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือลูกน้อยในอ้อมอกจะ "เตียะอุง" !!

คนจีนโบราณเรียกการระบาดของโรคชนิดนี้ว่า "เตียะอุง" (สำเนียงจีนแต้จิ๋ว)
เตียะ แปลว่า โดน ติด หรือระบาด
อุง แปลว่า ร้อน
เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้จะมีไข้สูงมาก และมักจะรักษาไม่ทัน
..........
เธอทบทวนเหตุการณ์ก่อนที่ลูกจะมีอาการ เมื่อเช้านี้ มีเทศกาลแห่พระ เธออุ้มลูกน้อยออกไปเบียดเสียดดูแห่กับเขาด้วย แต่เมื่อเช้านี้ ยังไม่ได้ยินข่าวคนตายกัน คนที่ตายในขณะนี้อาจจะติดเชื้ออยู่ก่อนแล้วและออกมาแพร่เชื้อโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้...

ดึกแล้ว อาการของลูกยิ่งรุนแรงขึ้น ในสภวะที่มีข่าว "เตียะอุง" เกิดขึ้นในชุมชนอย่างนี้ ไม่มีใครกล้าออกไปนอกบ้าน และไม่มีบ้านไหนกล้าเปิดประตูรับแขก เพราะในวัฒนธรรมจีนโบราณผู้คนจะได้รับการบอกเล่าให้ทราบถึงภัยของสภาพ "เตียะอุง"มาตั้งแต่จำความได้ และคนจีนโบราณเรียกปีที่มีการ "เตียะอุง" ว่า "ฮิองนี้" (ปีดุ)
ฮิอง (อ่านให้เป็นพยางค์เดียว) แปลว่า ดุ ร้าย
นี้ แปลว่า ปี
(สำเนียงจีนแต้จิ๋ว)
..........
เธอกอดลูกไว้ทั้งคืน แม่จะทำอย่างไรดี พ่อก็อยู่ไกล ไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกและสภาพจิตใจของแม่ในขณะนี้ (สามีของเธอมีแม่เป็นคนไทยและพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก คุณอาผู้เสมือนพ่อได้พาเขามาแต่งงานกับเธอที่เมืองจีน และสามีเธอได้เดินทางกลับเมืองไทยไปแล้วตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในครรภ์)
คุณปู่ (คุณอาผู้เสมือนพ่อของสามี) เพิ่งส่งข่าวเธอให้กำเนิดลูกน้อยไปให้สามีทราบเมื่อไม่นานมานี้เอง
............
ลูกหายใจถี่จนแน่นิ่งไปก่อนฟ้าสาง ลูกยังเล็กเกินว่าที่จะบอกเล่าถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ เธอเห็นสายตาของลูกที่มองมายังเธอเหมือนจะบอกลา พร้อมน้ำตาที่ทะลักออกมาก่อนสิ้นลม!! ลูก..ตาย...แล้ว

ที่ห้องติดกัน คุณอาของลูก (เด็กน้อยลูกคนสุดท้องของคุณปู่) ก็สิ้นลมไปภายในอ้อมกอดของคุณย่าวัยกลางคน ในเวลาไล่เลี่ยกัน

ส่วนเธอ คุณปู่ และคุณย่า รอดชีวิตมาได้ ทั้ง ๆ ที่กอดผู้ป่วยไว้แนบอกโดยไม่ได้มีการป้องกันตัวแต่อย่างใด !!

สิบหกปีหลังจากเหตุการณ์วิปโยค และหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว เธอเดินทางมาอยู่กับสามีที่เมืองไทย ด้วยสุขภาพที่ดีเยี่ยมตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เธอถึงแก่กรรมด้วยสภาวะโลหิตเป็นพิษในวัยแปดสิบเศษ เนื่องจากหัวใจขอพักการทำงานอย่างถาวร ไม่ยอมสูบฉีดเปลี่ยนโลหิตดำให้เป็นโลหิตแดงอีกต่อไป
.........................................................................

ที่ยกเรื่องนี้มาเล่า เพราะทราบว่า ขณะนี้มีบางคนวิตกกังวลกับโรคไข้หวัดมรณะ (ปอดบวมมรณะ)  จนไม่เป็นอันทำอะไร ไม่กล้าไปไหน ไม่กล้าเดินใกล้ใคร ฯลฯ ระแวงไปหมดจนใกล้เป็นโรคประสาทไปแล้ว

ขอให้รักษาสุขภาพ ระมัดระวังและป้องกันตัวให้ดีเท่าที่ทำได้ แล้วทำใจให้สบาย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป
เห็นไหมว่า แม้เธอผู้นั้นจะไม่ได้เสียชีวิตเมื่อตอนอายุสิบแปด
แต่พอล่วงเข้าวัยแปดสิบ เธอก็ต้องจากไปอยู่ดี
จะเร็วหรือจะช้าก็ต้องไปค่ะ
ทำให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
แล้วทำใจให้สบาย จะไปก็ไปอย่างมีความสุขค่ะ
(ฮิ ๆ ปลอบใจตัวเองค่ะ เป็นคนกลัวเชื้อโรคมาก ๆ เลย)
บันทึกการเข้า
จดิษฐ์ มหันปรเมตรพงษ์
อสุรผัด
*
ตอบ: 44


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 07 เม.ย. 03, 15:19

 ใช่ครับเห็นด้วยกับคุณครูไผ่  อันที่จริงแล้วโรคนี้หากเป็นขึ้นมาก็มิได้หมายความว่าผู้ป่วยจต้องเสียชีวิตด้วยกันหมดทุกคน หากเราระวังรักษาสุขภาพของเมให้ดีพอ และในเรื่องการป้องกันไว้ก่อนก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร  ทั้งนี้ที่สำคัญคืออย่าวิตกกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร (เมื่อวานนี้ คุณทักษิณก็ออกมาพูดว่ามีคนไทยเป้นโรคปอดกันหลายคนแล้ว แต่ไม่ใช่ปอดบวมมรณะ หากเป็นโรค "ปอดแหก" แทน ทำให้วิตกกังวลจนเสียสุขภาพไป--ฟังแล้วก็ไม่ทราบว่าจะขำดี หรืออะไรดีกับคารมแนวนี้ของคุณทักษิณที่ช่วงนี้มีมาเยอะเหลือเกิน)

อย่างไรก็ตาม ได้ทราบมาว่าเชื้อโรค SARS นี้  เป็นเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในห้องทดลองของกองทัพสหรัฐฯและเป็นเชื่อโรคที่มีระดับความรุนแรงในขั้นอันตรายที่สุด(จำศัพท์ technical Terms ไม่ได้) ปัจจุบันยังไม่มียารักษา มีแต่บรรเทา แต่ที่สำคัญคือกองทัพสหรัฐฯกล่าวว่าตัวยาที่มีอยู่ในเวลานี้ไม่สามารถบรรเทาอาการได้อีก เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ "กลายพันธุ์" เท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ แต่ก็น่าคิดเพราะมันเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองโลกในปัจจุบันนี้อยู่เหมือนกัน  อย่างไรก็ขอให้ทุกท่านเอาใจใส่สุขภาพให้ดีๆนะครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.045 วินาที กับ 19 คำสั่ง