Hmm... is this turning in to a Chinese conversation???
Hope that I am not being an ass by trying to correct others, however there are several places which should be changed.
"wu hui" means a "dance" perhaps "ju hui" (a gathering) would be more appropriate. "qing gong hui" (a congratuary gathering) would also sound nice.
If you are hoping that khun Crazyhorse could attend, I think that "xiang" (think) should perhaps be "xi wang" (hope). Furthermore related to this sentence, "i" should be spelt "yi".
Wo xi wang ni ye ke yi qu."
As for khun CrazyHorse, "xiao jia" should be "xiao jie" krup.
Think that the Chinese lesson is enough for today.
Let us move on to something that is more pleasing instead.
วันนี้ขอกล่าวถึง บทเพลงอมตะของจีนเพลงต่อไป ซึ่งบทเพลงวันนี้เป็นบทเพลงกู่ฉิน มีชื่อว่า "หยูเจียวเวิ่นต๋า" (บทตอบโต้ระหว่างคนตกปลากับคนตัดไม้)
"หยูเจียงเวิ่นต๋า" นับว่าเป็นบทเพลงบรรเลงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอีกเพลงหนึ่ง (ได้รับการจดบันทึกครั้งแรกในปี 1560) ซึ่งนอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน บทเพลงนี้ก็ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ในปี 1560 เซียวหลวนได้เขียนถึงบทเพลง หยูเจียวเวิ่นต๋า ไว้ในหนังสือของเขา "ซิ่งจวงไท่อินซู่ว์ผู่" (ภาคต่อของโน๊ตเพลงที่ถูกต้องของหมู่บ้านแอพพริค็อต(ไม่ทราบว่าภาษาไทยเรียกว่าผลไม้อะไร))ว่า
"กู่จินซิงเฟ่ยโหย่วรั่วฝานจ่าง ชิงซานลู่ว์สุ่ยเจ๋อกู้อู๋ย่าง
((จาก)โบราณกาล(ถึง)ปัจจุบัน(ความ)รุ่งเรืองและ(ความ)ล่มจม(นั้นเกิดขึ้นง่ายดั่งการ)พลิกฝ่ามือ (แต่)ภูเขาเขียว(กับ)สายน้ำขจีนั้นเล่าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย)
เชียนจ่ายจ่งซื่อเฟย จิ้นฟู่หยูเจียวอีฮว่าเอ๋ออี่
((ในเวลาที่ผ่านพาไปนับ)พันปี(ล้วนเต็มไปด้วยความ)ผิดถูกชั่วดี ทั้งหมด(นั้น)ก็เป็นเพียงดั่งบทสนทนาของคนตกปลากับคนตัดฟืน)"
หากท่านเป็นผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องจีนแล้วท่านก็คงคุ้นเคยกับละคร สามก๊ก ที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้จัดทำขิ้นเมือไม่นานมานี้ ซึ่งในนั้นบทเพลงเริ่มละคร ซึ่งเป็นบทกวีราชวงศ์ หมิง ชื่อว่า หยางเซิ่น ก็ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
"อีหูจัวจิ่วซีเซียงเผิง กู่จินตั๊วส่าวซื่อ โต๊วฟู่เซี่ยวถันจง"
(พร้อมกับเหล้าหนึ่งกา ยิ้มสู้การพบพาน(เรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าร้ายหรือดี) เรื่องต่าง ๆ ไม่ทราบว่ามากมายเท่าไหร่ ในอดีตและปัจจุบัน (ในที่สุดแล้วก็ผ่านไปใน)การพูดคุยและเสียงหัวเราะ...)
น่าคิดยิ่งนักที่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามในที่สุดแล้วที่เหลือก็เป็นแค่เรื่องเล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง
ในหนังสือ "เสวฉินชูจิน" (ท่า(น้ำ)แรก(ใน)การเรียน(การดีดกู)่ฉิน) ได้กล่าวเกี่ยวกับบทเพลงนี้ว่า
"ความหมายของบทเพลงนี้ลึกซึ้งกินใจอย่างยิ่งยวด...ดั่งเสียงน้ำไหลริน ดั่งเสียงขวานฟาดฟัน...เมื่อถึงตอนบทตอบโต้ของคนหาปลากับคนตัดไม้ทำให้ผู้ฟังคิดถึง ป่าเขาและพงไพร"
  
ไม่ว่าจะ "ทำให้ผู้ฟังคิดถึง ป่าเขาและพงไพร" หรือ  "เรื่องต่าง ๆ ไม่ทราบว่ามากมายเท่าไหร่ ในอดีตและปัจจุบัน (ในที่สุดแล้วก็ผ่านไปใน)การพูดคุยและเสียงหัวเราะ...)" หรือ "(ในเวลาที่ผ่านพาไปนับ)พันปี(ล้วนเต็มไปด้วยความ)ผิดถูกชั่วดี ทั้งหมด(นั้น)ก็เป็นเพียงดั่งบทสนทนาของคนตกปลากับคนตัดฟืน" ล้วนแล้วแต่กำลังจะบอกถึงความเรียบง่ายของธรรมชาติ และความที่ไม่ว่ามนุษย์ผู้คนจะทำอะไรไป ธรรมชาติก็ยังเป็นเช่นเดิม ภูเขาก็ยังเป็นภูเขา สายน้ำก็ยังเป็นสายน้ำที่ไหลริน นี่คือเนิ้อหาสำคํญของบทสนทนาตอบโต้ของคนหาปลากับคนตัดฟืน
ซึ่งเราอาจจะถามต่อไปว่าแล้วคนหาปลากับคนตัดฟืนเล่า ทำไมต้องเป็นสองคนนี้ หรือว่าความสำคัญของสองคนนี้คืออะไร
ในการตอบปัญหานี้เราก็จะต้องไปมองหาคำตอบจากหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยปราชญ์สมัยราชวงศ์ ซ่ง ที่มีชื่อว่า ซ่าวยง โดยหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "หยูเจียวเวิ่นตุ้ย" (บทถามตอบระหว่างคนตกปลากับคนตัดไม้)
ในหนังสือเล่มนี้ ซ่าวยง ใช้การถามตอบระหว่างคนตัดไมกับคนหาปลา มาอธิบายความเป็นไปของธรรมชาติของทุกสิ่ง รวมถึงความเป็นไปของมนุษย์และสังคมของมนุษย์ ซึ่งจุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ก็คือการอธิบายให้ คนตัดไม้เข้าใจว่า
"มรรคของฟ้าดินนั้นมีอยู่พร้อมแล้วในทุกคน มรรคของสรรพสิ่งนั้นมีอยู่พร้อมแล้วในตัวคน ความลับในการใช้มันให้เกิดประโยชน์นั้นอยู่ในปัญญา ซึ่งถ้าทำได้ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถที่จะกระทำให้สำเร็จได้"
จากเนื้อหาของหนังสือเราก็จะพบว่า คนหาปลานั้นเป็นดั่งครูผู้ที่รอบรู้ที่กำลังสั่งสอนศิษย์ แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า ทำไมคนหาปลาถึงเป็นผู้ที่เข้าถึงมรรคาของ "เต้า"
ในการตอบคำถามนี้เราก็ต้องย้อนกลับไปถึงปราชญ์อีกท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า จวงจื้อ ในหนังสือที่ท่านทิ้งไว้ชื่อว่า จวงจื้อ มีอยู่ตอนหนึ่งชึ่งชื่อว่า "หยูฟู" หรือคนหาปลา ซึ่งกล่าวถึงการที่ขงจื้อไปถามวิถีของเต้ากับคนหาปลา ซึ่งคาดว่านี่คงเป็นต้นแบบของการที่คนหาปลาจึงกลายเป็นภาพลักษณ์ของผู้ที่เข้าใจมรรคาของ "เต้า" หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ขงจื้อ นั้นใช่คนตัดฟืน หรือไม่ เรื่องนี้ก็คงจะต้องตอบว่าไม่ใช่ คนตัดฟืนน่าจะเป็น จูหม่ายเฉิน ชายตัดฟืนที่ยากจน จนจนกระทั่งภรรยาทิ้งเขาไป แต่ถึงว่าเขาจะจนเท่าใดเขาก็ทำการศึกษาในศาสตร์ต่าง ๆ อย่างไม่ลดละจนได้เป็นขุนนางใหญ่ในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้
ขอเชิญฟังบทเพลงนี้เลยนะครับ
http://www.chinakongzi.com/2550/music/download/guqin/yuqiaowd.mp3