เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
อ่าน: 11538 พระคเณศ(ต่อเนื่องมาจากกระทู้ ๘๓
นิลกังขา
บุคคลทั่วไป
 เมื่อ 13 พ.ย. 00, 06:00

กะทู้ชักจะแตกประเด็นไปเป็นเรื่องพระพิฆเนศวร หรือพระคเณศ ผมจำได้เหมือนกันว่าเทพเศียรช้างองค์นี้มีเรื่องสนุกๆ อยู่เยอะ
ที่ผมจำได้ พระคเณศเป็นเจ้าแห่งสรรพศิลปวิทยาการ และเจ้าแห่งความสำเร็จ (ก็น่าที่จะมีชายาชื่อพุทธิและสิทธิหรอก) แต่อีกสำนวนหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน ที่ฟังดูเหมือนจะตรงกันข้ามกัน แต่ในที่สุดแล้วตีความออกมาก็เหมือนกัน ก็คือ พระคเณศทรงเป็นเจ้าแห่งอุปสรรคทั้งหลาย ดังนั้นถ้ามนุษย์จะประกอบกิจการใดๆ ให้ปลอดอุปสรรค ให้สำเร็จลุล่วง ก็ต้องบูชาพระคเณศเพื่อปัดเป่าอุปสรรคขัดขวาง ก็คือเป็นเทพแห่งความสำเร็จนั่นเอง
ถ้าจำไม่ผิดอีก ดูเหมือนที่ให้พระคเณศเป็นเจ้าแห่งความสำเร็จนี้ จะเป็นพรของพระอุมา ที่ประสิทธิให้พระคเณศ มีเรื่องอยู่ในตอนพระคเณศเสียงา เพราะรบกับปรศุราม พราหมณ์มือขวานที่ว่ากันว่าเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ พรนี้พระอุมาทรงให้เมื่อรบกันเสร็จ พระนารายณ์มาช่วยให้ยุติความขัดแย้งได้ด้วยดีแล้ว กำลังจะ happy ending
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 11 ต.ค. 00, 00:00

ผมได้ยินว่า พระคเณศนี้ แต่เดิมก็มีศรีษะเป็น
มนุษย์ คือ ปกติเหมือนเทวดาทั่วไป
แต่ว่า ที่ต้องไปเอาหัวช้างมาใส่ก็เพราะว่า
โดนจักรของพระนารายณ์ เข้า ทำให้เศียรขาดไป แล้วก็ไปเอาหัวช้างมาใส่แทน
รู้สึกว่าจะไปโดนจักรของพระนารายณ์ เข้าเนื่องจากไปปลุก พระนารายณ์ ที่เกษียรสมุทรยังไงไม่ทราบ พระนารายณ์ ทรงมีโทสะ จึงปล่อยจักรมาตัดหัวซะ
ตามตำนานบอกว่าพระนารายณ์ท่านจะนอนที่เกษียรสมุทรตลอดเวลา นอกจากเวลามีเรื่อง ทุกข์ร้อนกับมนุษย์โลกเกิดขึ้นให้ท่านไปปราบ ท่านถึงจะตื่น
ไม่รู้เพราะความเชื่อนี่หรือเปล่า จึงไม่มีเทพที่เป็นลูกของพระนารายณ์เลย
สงสารพระลักษมี ชายาของพระนารายณ์จริง ๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับพระคเณศมาฝากค่ะ
พระคเณศเป็นโอรสหนึ่งในสองของพระอิศวรกับพระอุมา   อีกองค์ชื่อพระขันทกุมาร
เนื่องจากมีเศียรเป็นช้าง  จึงมีชื่ออื่นๆว่า คชานน คชวัทน์  คชมุข กรีมุข
มีงาช้างเดียว จึงมีชื่อว่า เอกทนต์
เรียกตามลักษณะอื่นๆประจำกายว่า  ลัมพกรรณ(หูยาน) ลัมโพทร(ท้องยาน) ทวิเทห (ตัวสองลอน)
มีหนูเป็นพาหนะ  จึงมีชื่อว่า อขุรถ(ขี่หนู)
ในเมื่อเป็นเจ้าแห่งศิลปวิทยาการ  ก็เป็นเครื่องหมายของกรมศิลปากร และมหาวิทยาลัยศิลปากร

ตำนานเรื่องพระคเณศมีเศียรเป็นช้าง  และพระคเณศเสียงา เล่ากันมาแล้วข้างบนนี้
แต่ในเชิงประวัติศาสตร์สังคม  สันนิษฐานว่าพระคเณศน่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งท้องถิ่น ตอนกลางหรือใต้ของอินเดีย   เพราะมีร่างเป็นมนุษย์ แต่เศียรไม่ใช่
เป็นคนละแบบกับเทพเจ้าของอารยัน ซึ่งมัรูปกายเป็นมนุษย์  ทำนองเดียวกับเทพเจ้ากรีก  อย่างพระศิวะ หรือพระอินทร์
แต่ตำนานของเทพในตอนหลัง มาผสมกลมกลืนให้พระคเณศกลายเป็นส่วนหนึ่งของเทพเหล่านั้นไป
บันทึกการเข้า
ทิด
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

เรื่องพระคเณศนี่มีหลายตำนานนะครับ คงจะเพราะ"ตำ"มานานเกินไป
ตำนานแรกบอกว่าพระคเณศวรนี่เกิดจากการสร้างของพระนางอุมาเทวี
โดยจะสร้างขึ้นมาอย่างไรผมก็จำไม่ได้ครับ รูปกายเป็นเด็กชาย มีฤทธิ์มาก
เหตุที่สร้างขึ้นมาเพราะพระนางอุมาเกิดทิษฐิอยากจะเอาชนะพระอิศวร

ต้นเรื่องก็คือมีอยู่วันหนึ่งที่พระอิศวรออกไปธุระนอกบ้าน ตามประสาเทพผู้ใหญ่
พระนางอุมาก็อยากที่จะลงสรงสนานเพียงลำพังไม่อยากให้ใครรบกวน
ก็เลยสั่งเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีหน้าที่อารักขาให้เฝ้าประตูไว้ อย่าให้ใครเข้ามาได้
ระหว่างที่พระนางกำลังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ พระอิศวรก็กลับมาถึงบ้านพอดี
ถามหาภรรยาสุดที่รักพอรู้ว่าอยู่ในห้องน้ำก็เลยรู้สึกเหนียวตัวจะไปขอแจมด้วย
เทวดาที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าเป็นพระอิศวรเจ้านายก็เลยปล่อยให้เข้าไปได้
พระนางอุมาเมื่อเห็นเข้าอย่างนั้นก็ไม่ได้นึกโรแมนติกด้วยกลับเกิดอาการขัดใจแทน
แต่ก็คิดว่าถึงจะสั่งยังไง พระอิศวรก็คงเป็นข้อยกเว้นอยู่ดี เลยต้องหาวิธีใหม่
ในที่สุดก็เลยสร้างพระคเณศขึ้นมาครับ แล้วให้ไปเฝ้าที่หน้าปากประตูบ้านเสียเลย

คราวนี้พอพระอิศวรกลับมาเจอเด็กน้อยหน้าใหม่มายืนขวางไม่ให้เข้าบ้าน
ก็นึกโมโหเพราะคิดว่า "อุวะ..นี่บ้านฉาน อีนี่ทามมายไม่ให้ฉานเข้าละเหวย"
แต่ไม่ว่าทำยังไงๆ เจ้าเด็แปลกหน้าก็ไม่ให้เข้าเสียที เลยต้องไปตามเทวดารับใช้
มาลากตัวเจ้าเด็กแปลกหน้านี่อออกไป แต่เทวดารับใช้ก็สู้ฤทธิ์ของพระคเณศไม่ได้
ไปตามเทวดาองค์อื่นมาช่วยก็ยังสู้ไม่ได้ เหตุการณ์ลามไปจนกระทั่งกลายเป็นสงครามย่อยๆ
เมื่อเห็นท่าว่าจะไปกันใหญ่ เดือดร้อนพระอิศวรต้องไปขอให้พระพรหมมาช่วยพูดก็ไม่สำเร็จ
จนในที่สุดพระอิศวรก็เลยเรียกระดมกองทัพเทพติดอาวุธครบมือมาช่วยกันรุมพระคเณศวร

ถึงตอนนี้พระนางอุมาก็อาบน้ำเสร็จออกมาพอดี เห็นเข้าพอรู้เรื่องก็โกรธพระอิศวร
ด้วยหาว่าทำเกินกว่าเหตุ ที่ผมจำได้ตรงนี้ก็คือพระนางถามว่าเป็นถึงมหาเทพแล้ว
กับอีแค่การรักษามารยาท เคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นก็ทำไม่ได้เลยหรือ
เพียงแต่พูดดีๆ ให้พระคเณศเข้าไปถามขออนุญาตพระอุมาเรื่องก็จบลงง่ายๆ แล้ว
เพราะอะไรถึงทำไม่ได้ พระอิศวรโดนว่าเข้าต่อหน้าบริวารก็อายยังไม่ยอมรับผิด
แล้วก็ไม่ยอมสั่งให้ยุติการต่อสู้ พระนางอุมาเห็นก็เลยขัดใจส่งบริวารของนางเข้ามารบด้วย
สุดท้ายทัพเทพก็แพ้ หมดหนทางแล้วก็เลยต้องไปขอให้พระนารายณ์มาช่วยที

พระนารายณ์ท่านคงจะหงุดหงิดที่นอนอยู่ดีๆ ก็ต้องมาถูกปลุกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
พอมาถึงที่ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมโดดเข้าใส่พระคเณศทันที คงจะรีบให้จบจะได้กลับไปนอนต่อ
ระหว่างการต่อสู้พระอิศวรเห็นได้จังหวะก็เลยฉวยเทพอาวุธตัดหัวของพระคเณศขว้างทิ้งไป
พระนางอุมาก็โวยวายเสียใจใหญ่ หาว่าเสียทีเป็นถึงเทพผู้ใหญ่ ทำไม่ถึงโหดร้ายอย่างนี้
หลังการต่อสู้ยุติ สติของพระอิศวรก็กลับมา รู้สึกละอายใจจะหันไปหาพรรคพวก
พระนารายณ์ท่านก็หนีกลับไปนอนต่อแล้ว เลยไม่รู้จะทำยังไงก็เลยยอมรับผิดเสียงอ่อยๆ
ประสาเทพที่เกรงใจเมีย สุดท้ายก็เลยต้องทำพิธีชุบชีวิตพระคเณศขึ้นมาใหม่
แต่ไม่สามารถใช้หัวเดิมได้เพราะด้วยอารมณ์โกรธขว้างหัวเดิมหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ก็เลยต้องไปหาหัวของสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นมาแทน ในที่สุดก็มาได้หัวช้างนี่แหละครับ
หลังจากชุบชีวิตขึ้นมาแล้ว เพื่อเป็นการปลอบใจพระอิศวรเลยแถมพรให้อีกหลายประการ
และยกย่องให้เป็นเทพเสมอด้วยเทพองค์อื่นๆในสวรรค์ และรับเป็นลูกของพระองค์
งานนี้ถือว่าสุดม้ายแล้วพระนางอุมาเทวีก็เอาชนะพระสวามีได้อีกครั้งครับ
............................
โอ๊ะโอ..ทำเป็นเล่นไป โม้เพลินลืมดูว่าพิมพ์เสียยาวเหยีดเลยแฮะ แต่ไหนๆแล้วขอแถมอีกนิด
............................
ตำนานที่สองคล้ายๆกับของคุณพระนายครับ แต่ตำนานนี้บอกว่าพระคเณศเป็นลูกแท้ๆ
ของทั้งพระอิศวรและพระอุมา พออายุเจริญวัยถึงคราวโกนจุก ทั้งมหาเทพมหาเทวี
ก็ดำริจะจัดงานใหญ่เชิญเทพทั้งหมดในสวรรค์มาร่วมงาน หมดเท่าไรไม่ว่าขอให้ได้หน้าไว้ก่อน
พอถึงวันงานเหล่าเทพทั้งหลายก็มากันหมดครบทั้งหมดแล้ว ขาดอยู่ก็แต่พระนารายณ์
ที่กำลังหลับอยู่เพราะยังเพลียจากการอวตารลงไปอภิบาลโลกมนุษย์มาหมาดๆ ไม่หาย
พระอิศวรก็เลยใช้เทพผู้น้อยมาตามที่เกษียรสมุทร บอกให้รีบมางานได้แล้วเพื่อนคอยอยู่

พอพระนารายณ์ที่กำลังหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ต้องถูกปลุกขึ้นมาอย่างนั้นก็หงุดหงิด
ด้วยความเกรงใจพระอิศวร และพระอุมาก็เลยต้องลุกขึ้นเตรียมตัวไปงานโกนจุกที่ว่า
แต่ก็ยังไม่วายบ่นออกมาทำนองว่า "มันจะยุ่งยากอะไรกันนักหนา กับไอ้เด็กไม่มีหัวคนเดียว"
แม้จะเป็นแค่คำสบถแต่ด้วยความที่พระนารายณ์เป็นหนึ่งในสามเทพสูงสุดของสวรรค์
คำพูดใดๆที่เปล่งออกมามีผลเป็นทั้งพร และคำสาปแช่ง ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งคราวนี้
พระนารายณ์ท่านพูดอยู่ที่เกษียรสมุทร แต่ที่เขาไกรลาศนั่นวงแตกไปเรียบร้อยแล้วครับ
เพราะพระคเณศกำลังนั่งๆ อยู่ดีๆ หัวก็ร่วงลงจากลำตัวหายไปเสียเฉยอย่างนั้นเอง

พอพระนารายณ์มาถึงงานก็รู้ตัวว่าที่พูดแบบไม่ทันคิดนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
เลยแก้ตัวด้วยการช่วยชุบชีวิตพระคเณศขึ้นมาใหม่ โดยให้เทพผู้น้อยไปหาหัวของมนุษย์
ที่เพิ่งตายใหม่ๆ นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกมาให้ทันก่อนพระอาทิตย์ชักรถลับขอบฟ้า
ซึ่งหาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ได้เสียทีจวนจะหมดวันอยู่แล้วก็ไปเจอเอาช้างตายพลายนอนตายอยู่
ตามลักษณะที่ว่าไว้จึงตัดเอาหัวช้างนั้นมาให้พระนารยณ์ทำพิธีต่อหัวใหม่ให้พระคเณศแทน
หลังจากชุบชีวิต ต่อหัวใหม่ให้แล้ว พระนารายณ์ก็แถมพรให้อีกหลายข้อเหมือนเดิมครับ
เป็นอันจบตำนานเรื่องพระคเณศเสียหัวแบบที่สองนะครับ ^_^
บันทึกการเข้า
ทิด
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

กลับมาแถมเรื่องพระนารายณ์กับพระลักษมีอีกนิด ก่อนจะไปทำงานต่อครับ
ที่คุณพระนายบอกว่าน่าสงสารพระลักษมี หึหึ ก็น่าเห็นใจอยู่บ้างนะครับ
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วพระนารายณ์ท่านก็คงไม่ได้นอนหลับแต่อย่างเดียว
ถึงแม้เวลาตื่นที่ท่านอาวตาลลงไปอภิบาลโลก พระลักษมีก็ตามไปเกือบทุกครั้ง
เป็นคู่กันเกือบทุกชาติ ผมว่าดูจะเป็นคู่เทพที่น่าอิจฉาเสียอีกนะครับ
มีการเปลี่ยนบรรยากาศอยู่เรื่อยๆ หึหึ เรียกว่าคนรุ่นใหม่ต้องอายทีเดียว
ส่วนลูกของเทพทั้งสองถึงแม้จะไม่กำเนิดในสวรรค์แต่ก็มีกำเนิดในโลกนะครับ
ยกตัวอย่างเช่นพระมงกุฎ โอรสของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์นั่นประไรครับ
แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในร่างอวตารของพระนารายณ์ด้วยหรือเปล่า
....................................
กลับมาเรื่องพระคเณศ(วร) อีกสักหน่อย เรื่องเกี่ยวกับเทพพาหนะที่เป็นหนู
จำได้ว่าเพราะมีความเชื่อกันว่าหนูเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาดกว่าสัตว์อื่น (?)
การที่ให้พระคเณศทรงหนูเป็นพาหนะก็มีความหมายว่าทรงเป็นเทพแห่ง
ความปราดเปรื่อง ปฏิภาณ อันเป็นบ่อเกิดแห่งศิลปวิทยาการทั้งมวลครับ
.................................
ส่วนเรื่องเทพที่มีรูปร่างมนุษย์และตรีมูรติแห่งศาสนาฮินดู
มีกำเนิดในดินแดนนี้พร้อมกับการเข้ายึดครองจากเหล่าชนเผ่าอารยัน
ซึ่งเป็นชนเผ่าผู้สร้างคัมภีร์พระเวทย์ขึ้นมาครับ เป็นการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
คนเข้าปกครองคน แล้วใช้ความเชื่อใหม่เข้าผสมผสานครอบงำความเชื่อเดิม
แต่รากของความเชื่อเหล่านี้มาจากเทพอีกแหล่งหนึ่งครับไม่ใช่กรีกโรมัน
แต่เป็นเทพในกลุ่มของเมโสโปเตเมียเดิม ซึ่งก็มีรูปกายเป็นมนุษย์เหมือนกัน

ส่วนรูปแบบวัฒนธรรมกรีกที่มีผลเข้ามามีอิทธิพลเหนือสกุลช่างในอินเดีย
นั่นเป็นช่วงที่ อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย (กรีก) เข้ามายึดครองภายหลัง
และด้วยความที่ไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะไปพิชิตดินแดนถึงที่ไหน
ก็จะให้ก่อสร้างเมืองใหม่เป็นที่ระลึกไว้ตั้งชื่อเหมือนกันหมดว่า "อเล็กซานเดรีย"
ซึ่งในอินเดียก็มีการสร้างเมืองที่ว่านี้ไว้ด้วยครับ แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันเรียกชื่อว่าอะไร
ทั้งสถาปัตยกรรม และประติมากรรมที่ทิ้งไว้ก็กลายเป็นต้นแบบให้เกิดการพัฒนา
เป็นสกุลช่างในราชวงศ์คุปตะซึ่งถือว่าเป็นยุคทองในเรื่องวัฒนธรรมของอินเดียต่อมาครับ
........................................
หลุดกระทู้ไปไกลอีกจนได้ -_-!
ผมมีบทโขนตอนพระคเณศวรเสียงาบทประพันธ์ของรัชกาลที่ ๖ อยู่
เผอิญว่าติดมากับโน๊ตเพลงที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยด้วย
เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างกว่านี้จะพิมพ์มาให้อ่านกันครับ
บันทึกการเข้า
ย่อหน้าใหม่
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

สนใจเรื่อง ตำนานท้องถิ่น ของคุณเทาชมพู
แต่ขออ่านห่างๆ ก่อน
บันทึกการเข้า
หนุ่มบ้านนาดอทคอม
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

สงสัยครับ แต่อาจจะนอกเรื่องไปนิด ( แต่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ )
นอกจะพระคเณศ ไทยเรายังมีเทพทางด้านศิลปอีกหรือไม่ครับ
ผมเคยเห็นเป็นเวลาเขาทำพิธีใหว้ครู ( หรือเรียกว่าครอบครูก็ไม่ทราบ ไม่แน่ใจครับ)
ยังมีรูปพระฤษี กับ กับหัวโขนคล้ายๆ ยักษ์อีกอัน
ไม่ทราบว่าโบราณถือเป็นสัญลักษณ์แทนอะไรหรือครับ
บันทึกการเข้า
วีณาแกว่งไกว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 12 ต.ค. 00, 00:00

อยากเล่าด้วยคน แต่เมื่อกี้ไปตอบกระทู้ที่ 96 มาจนมึน(ภาษา) ขอมาร่วมสนุกด้วยวันหลังก็แล้วกัน
บันทึกการเข้า
ทิด
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 13 ต.ค. 00, 00:00

หึหึ เข้าไปอ่านกระทู้ที่คุณวีณาฯ ว่ามาแล้ว ก็สมควรมึนอยู่หรอกครับ

ยังไงก็รีบกลับมาเล่าก็แล้วกันนะครับ เพื่อนๆ หลายคนรออยู่ ^_^

......................................................

คัดมาฝากคุณหนุ่มบ้านนาฯ จากเว็บเดิมครับ ต้นฉบับเต็มก็ลองไปเยี่ยมที่ URL

http://anurakthai.cscoms.com/anurakthai/thai/rite/rite5.htm' target='_blank'>http://anurakthai.cscoms.com/anurakthai/thai/rite/rite5.htm นะครับ

......................................................

ในการจัดพิธีไหว้ครูโขน - ละคร จะเห็นได้ว่าในพิธีจะมีหัวโขนหรือศีรษะครู

ที่เป็นเสมือนตัวแทนของครูแต่ละองค์ นำมาตั้งประกอบในพิธีมากมายตามโอกาส

และความพร้อมของผู้จัด ในเรื่องของประวัติเทพเจ้าที่เกี่ยวข้อง ลักษณะที่สำคัญ

ตลอดทั้งความสำคัญของหัวโขนเทพเจ้าที่พอจะนำมาเป็นตัวอย่าง ได้แก่  



๑.หัวโขนพระอิศวร แทนองค์พระอิศวร เป็นเทพเจ้าผู้ทำลายล้าง

๒.หัวโขนพระนารายณ์ แทนองค์พระนารายณ์ เป็นเทพเจ้าผู้บริหาร และรักษาโลก

๓.หัวโขนพระพรหม แทนองค์พระพรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลก

๔.หัวโขนพระอินทร์ แทนองค์พระอินทร์ เทพเจ้าผู้คอยช่วยเหลือคนดี

๕.หัวโขนพระพิฆคเณศ แทนองค์พระพิฆคเณศ เทพเจ้าแห่งความรู้ สติปัญญา

....และศิลปศาสตร์

๖.หัวโขนพระวิสสุกรรม แทนองค์พระวิสสุกรรม เทพเจ้าแห่งการช่าง และการก่อสร้าง

๗.หัวโขนพระปรคนธรรพ  แทนองค์พระปรคนธรรพ เป็นครูทางปี่พาทย์

๘.หัวโขนพระปัญจสีขร แทนองค์พระปัญจสีขร เป็นครูทางด้านดนตรี (เครื่องสาย)

๙.หัวโขนพระพิราพ แทนองค์พระพิราพ เป็นเทพแห่งการประสบโชค

....และความตาย ศิลปินโขน - ละครไทย ให้ความเคารพในฐานะเป็นครู

....ในวิชาดุริยางคศาสตร์ และนาฏศิลป์

๑๐.หัวโขนพระฤาษีกไลโกฎ พระภรตฤาษี พระฤาษีตาวัว พระฤาษีตาไฟ

....แทนองค์พระฤาษีกไลโกฎ พระภรตฤาษี พระฤาษีตาวัว พระฤาษีตาไฟ

....เป็นครูทางด้านการฟ้อนรำ ที่ศิลปินมักกล่าวถึงเสมอโดยเฉพาะพระภรตฤาษี

...................................................................

ขอเพิ่มเติมสักนิดครับ ในหัวข้อที่ ๖ พระวิสสุกรรม หรือพระเวสุกรรม หรือพระวิศนุกรรม

ในที่นี้นับถือว่าเป็นเทพผู้ให้กำเนิดเครื่องดนตรีทั้งปวงที่นำมาเล่นกันครับ

ส่วนในหัวข้อที่ ๙ พระพิราพ พระพิราพเป็นยักษ์กายสีม่วง ลักษณะหัวโขนที่นำมาใช้

จะเป็นยักษ์หัวโล้น ไม่ใส่มงกุฏครับ ในความเชื่อของนักดนตรีปี่พาทย์ และคนรำ

ถือว่าเพลงตระองค์พระพิราพเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่สุด ผู้ที่จะต่อเพลงนี้ได้

ต้องมีอายุเกินสามสิบปี เคยบวชเรียนมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งพรรษา และที่สำคัญ

ต้องผ่านการไหว้ครู และครอบครูปี่พาทย์ตามลำดับมาแล้ว ๔ ขั้นตอน (๔ ครั้ง) ครับ

ส่วนท่ารำเพลงตระองค์พระพิราพถือเป็นท่ารำชั้นสูงสุดของฝ่ายโขน เหมือนกันครับ

คนที่จะต่อท่ารำนี้ได้ก็มีข้อกำหนดมากมายเหมือนกัน ทำให้ในแต่ละยุคมีคนที่

ได้ครอบครูองค์พระพิราพ สามารถรำท่ารำนี้ได้น้อยยิ่งกว่าน้อยคือไม่เกินหนึ่งหรือสองคน

มีรายละเอียดเรื่องพระราชพิธีพระราชทานครอบประธานประกอบพิธีไหว้ครูโขนละคอน

และพิธีต่อท่ารำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพมาฝากจากเว็บเดิมครับที่ URL

http://anurakthai.cscoms.com/anurakthai/thai/rite/rite.htm

' target='_blank'>http://anurakthai.cscoms.com/anurakthai/thai/rite/rite.htm

......................................................................

ส่วนกรณีของมหาเทพทั้งสามที่มาอยู่ในพิธีไหว้ครูนี้ด้วยเข้ามาในฐานะเทพผู้เป็นประธาน

เกี่ยวกับเรื่องดนตรี และนาฏศิลป์ ผมนึกไม่ออกเหมือนกันนะครับว่าพระนารยณ์ กับ

พระพรหมท่านมาเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างไร เท่าที่นึกออกก็มีแต่พระอิศวรนี่แหละครับ

อย่างน้อยๆ ก็มีสองตำนานที่กล่าวถึงบทบาทของพระอิศวรกับดนตรี และนาฏศิลป์

เรื่องแรกก็คือกำเนิดแม่แบบของท่ารำนาฏศิลป์ จากที่เราเห็นได้ในรูปปั้น "ศิวนาฏราช"ครับ

ผมไม่แน่ใจว่าพระอิศวรร่ายรำขึ้นมาเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ หรือสร้างความพอใจ

ให้แก่พระอุมาในภาคของเจ้าแม่กาลี หรือนางทุรคากันแน่ หรืออาจจะคนละกรณีเลยก็ได้



อีกตำนานที่พระอิศวรเกี่ยวข้องกับดนตรีคือตำนานกำเนิดเพลงหน้าพาทย์ "สาธุการ" ครับ

เล่ากันว่าพระอิศวรเกิดอยากจะลองฤทธิ์ขององค์พระพุทธเจ้า เลยมาขอท้าทาย

แต่รายละเอียดเป็นยังไงผมก็จำไม่ได้แล้วครับ เพราะอ่านเรื่องนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว

เท่าที่จำได้ก็คือสุดท้ายพระพุทธเจ้าได้สำแดงปาฏิหารย์ขึ้นไปอยู่บนมวยผมของพระอิศวร

พระอิศวรจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้พระพุทธเจ้ายอมลงมาได้ จนสุดท้ายก็ต้องสร้าง

เพลงขึ้นมาก็คือเพลงหน้าพาทย์"สาธุการ"เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อองค์พระพุทธเจ้า  

เห็นได้ว่าจากเนื้อเรื่องตำนานนี้ไทยแต่งแน่นอนครับ แต่ดูจะออกแนวปาฏิหารย์มากไปหน่อย

ส่วนเพลง"สาธุการ"เป็นอย่างไร เพื่อนๆก็ลองนึกถึงเวลามีงานพิธีไหว้ครูของแต่ละโรงเรียน

เวลาที่ประธานจุดธูปเทียน และ/หรือระหว่างที่กำลังถือพานเข้าไปไหว้ครู เพลงที่บรรเลง

ในขณะช่วงเวลานั้นก็คือเพลงสาธุการนี่แหละครับ

...........................................................

วันนี้คุณย่อหน้าใหม่เข้ามาแวะเยี่ยม ไม่เล่าเรื่องผีดราวิเดียนกับผีอารยันเสียหน่อยรึครับ

หรือไม่ก็รบกวนคุณเทาชมพูเจ้าของเรือนเข้ามาเล่าให้ฟังเรื่องเทพท้องถิ่นนี้ด้วยนะครับ

ระหว่างที่รอผมมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังสักนิด แต่ไม่ค่อยละเอียด

อารยธรรมที่เคยเจริญในแถบนี้มาก่อนเรียกว่าอารยธรรม Indus Valley เมืองที่เป็นศูนย์กลาง

ก็มี Mohenjo Daro แล้วก็ Harappa ครับ จะรุ่งเรืองอยู่ช่วงปี 2500 - 1700 ปีก่อน ค.ศ.

ซึ่งหลังจากนั้นก็ถูกชนเผ่าอารยันจากที่ราบสูงอิหร่าน ที่นับถือลัทธิฮินดูเข้ามาปกครอง

เรื่องความเชื่อของชาวพื้นเมืองอินเดียโบราณหรือชนเผ่าดราวิเดียนก่อนที่จะชาวถูกอารยัน

เข้ามาปกครองและครอบงำความเชื่อนี่ เขาก็นับถือเทพเหมือนกันนะครับแต่คติที่มีต่อเทพ

ของชนเผ่าดราวิเดียนจะแตกต่างกันอย่างมากจากชนเผ่าอารยัน ที่บอกว่าต่างกันมากก็คือ

เทพเจ้าของดราวิเดียนจะมีเกิดมีตายเหมือนมนุษย์ครับ แต่จะมีอิทธิฤทธิ์และอายุยืนยาวกว่า

เทพเจ้าจะสามารถเกิดใหม่ได้ แต่สำหรับมนุษย์เกิดใหม่ไม่ได้ครับ เพราะเขาไม่เชื่อเรื่อง

การกลับชาติมาเกิด มนุษย์จะมีโอกาสเกิดมาได้ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากตายไปแล้ว

จะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้าหรือตกนรกก็ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัวในยามที่ยังมีชีวิตอยู่

(ข้อมูลจาก Encyclopedia of World Religions, Octopus Books Limited, 1971 p.118)

...........................................................
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 13 ต.ค. 00, 00:00

คุณทิดและท่านอื่นๆที่สนใจเรื่องพระคเณศ (lord Ganesh)

เปิดเข้าไปดูได้ที่นี่ค่ะ

http://www.hindunet.org/god/Gods/ganesh/index.htm' target='_blank'>http://www.hindunet.org/god/Gods/ganesh/index.htm
บันทึกการเข้า
อินทาเนีย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 14 ต.ค. 00, 00:00

ครั้งนี้ขอเขียนสั้น ๆ ก่อนนะครับ...

ในหนังสือที่ผมมีอยู่ตอนนี้บอกว่าพระคเณศมีชายาชื่อพระนางพุทธิกับพระนางสิทธิ

อีกตำราว่าพระนางพุทธิกับพระนางสิทธิเป็นลูกสาวของฤษีทักษะ และเป็นชายาพระธรรมเทพ และพระนางพุทธิเป็นพระมารดาของพระโพธะ (แปลว่า ความรู้ ความเข้าใจ ความตื่น)

อีกตำราหนึ่งบอกว่าชายาองค์หนึ่งของพระคเณศชื่อพระนางวัลลภา

เรื่องเหล่านี้คงแล้วแต่ยุคสมัย แล้วแต่นิกายด้วยครับ... คนละยุคสมัย คนละนิกาย ก็ถือกันคนละตำนาน... อย่างพระอินทร์นี่ตำนานพุทธบางตำนานบอกว่ามีชายา ๔ องค์ ชื่อนางสุชาดา นางสุนันทา นางสุธรรมา และนางสุจิตรา แต่ตำนานฮินดูบอกว่าชื่อพระนางศจี หรือพระนางอินทราณี หรือพระนางไอนทฺรี ... หรืออย่างอาวุธและพาหนะของเทพเจ้าองค์หนึ่ง ๆ บางครั้งแต่ละตำนานก็กล่าวไว้ไม่เหมือนกัน ดังนี้เป็นต้น
บันทึกการเข้า
อินทาเนีย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 14 ต.ค. 00, 00:00

อ้อ... ตอนนั้นเคยคุยกันถึงเรื่อง "มกร" อยู่...

ผมกลับไปดูแล้ว พบว่า "มกร" เป็นพาหนะของพระวรุณ(หรือพระพิรุณ)เทพเจ้าแห่งน้ำ และของพระนางคงคาด้วยครับ

มีโอกาสแล้วจะมาเล่าต่อครับ
บันทึกการเข้า
อินทาเนีย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 14 ต.ค. 00, 00:00

ในกระทู้หมายเลข 83 ข้างล่าง... คุณฟ้า-เวอร์ริเดียนบอกไว้ว่าพระคเณศมีบุตรชื่อ เกษม กับ ลาภ ...

ตำราของผมบอกว่าพระเกษม (แปลว่า ความสำราญ ความสงบ ความปลอดภัย) เป็นบุตรของพระธรรมเทพกับนางศานติ (แปลว่า ความสุข ความสงบ)

นางศานติที่เป็นชายาอีกองค์หนึ่งของพระธรรมเทพนี้ก็เป็นหนึ่งในลูกสาวฤษีทักษะอีกเช่นกัน...

ฤษีทักษะมีลูกสาวเป็นร้อย ในจำนวนนี้มี ๒๗ องค์ที่เป็นชายาของพระโสมะ(พระจันทร์) และชายาทั้ง ๒๗ องค์ของพระจันทร์นี้ก็คือกลุ่มดาวนักษัตรทั้ง ๒๗ กลุ่มนั่นเอง ได้แก่ อัศวินี ภรณี กฤตติกา โรหิณี มฤคศิรา อารทรา ปุนารวสุ บุษยา อาศเลษา มฆา บุรพผลคุนี อุตรผลคุนี หัสตา จิตรา สวาตี วิศาขา(หรือราธา) อนุราธา เชฺยษฺฐา มูลา ปุรพาษาฒา อุตราษาฒา ศรวณา ศรวิษฐา(หรือธนิษฐา) ศตภิษชา ปุรภัทรปทา อุตรภัทรปทา และเรวดี ... ในจำนวนนี้ตอนหลังพระโสมะหรือพระจันทร์หลงใหลนางโรหิณีอยู่เพียงองค์เดียว ทำให้นางอื่น ๆ ไม่พอใจ จึงไปฟ้องฤษีทักษะผู้เป็นบิดา ฤษีทักษะจึงสาปให้พระจันทร์ค่อย ๆ ซีดตาย แต่บรรดาลูกสาวไปขัดจังหวะ เลยทำให้พระจันทร์ค่อย ๆ ซีดตายแค่เพียงช่วงเวลาเดียวคือช่วงครึ่งเดือน ส่วนอีกช่วงครึ่งเดือนที่เหลือก็จะค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา แล้วก็ค่อย ๆ ซีดตายลงไปอีก เป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ทำให้เราเห็นพระจันทร์เป็นเสี้ยวข้างขึ้นข้างแรม..หมดดวง..เต็มดวง..สลับกันไปอย่างทุกวันนี้แล
บันทึกการเข้า
อินทาเนีย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 14 ต.ค. 00, 00:00

บางตำนานก็ว่าการที่ดวงจันทร์เป็นเสี้ยวข้างขึ้นข้างแรม-เต็มดวง-หมดดวงสลับกันไปนี้ เป็นเพราะพระจันทร์เป็นแก้ว และพระโสมะเป็นน้ำโสมทิพย์ในแก้วที่เทวดาดื่ม พอเทวดาดื่มน้ำโสม น้ำโสมในแก้วค่อย ๆ พร่องลง เลยทำให้เห็นดวงจันทร์เป็นเสี้ยวเล็กลงเรื่อย ๆ พอดื่มจนหมดแก้วแล้วเทวดาก็ค่อย ๆ เติมน้ำโสมลงไปใหม่ ทำให้เห็นดวงจันทร์เป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้น ๆ จนเต็มดวง (คือน้ำโสมเต็มแก้ว) เป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป...
บันทึกการเข้า
อินทาเนีย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 14 ต.ค. 00, 00:00

มีตำนานเล่าเรื่องเทพเจ้าฮินดู (เรียกว่า "เทพปกรณัม") เล่าว่า...

ครั้งหนึ่งพระโสมะหรือพระจันทร์แอบไปลักนางดารา(แปลว่าดวงดาว)ซึ่งเป็นชายาของพระพฤหัสบดีมา แล้วพระพฤหัสบดีก็ตามจะไปเอาคืน จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างพระจันทร์กับพระพฤหัสบดีขึ้น จนพระพรหมต้องเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย พระพฤหัสบดีจึงได้ตัวนางดาราคืนตามความชอบธรรม แต่ในขณะนั้นนางดาราเกิดมีพระครรภ์ขึ้นมา...

ทราบไหมครับว่า... บุตรของนางดาร
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.084 วินาที กับ 19 คำสั่ง