เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 10539 หญิงกับชายสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
 เมื่อ 16 ส.ค. 02, 16:37

 วันก่อนผมได้ดูสารดคีฝรั่งเกี่ยวกับความสัมพันธระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในสังคม
เริ่มตั้งแต่สมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์ ช่วงที่มนุษย์ยังเร่ร่อนออกล่าสัตว์หาอาหารเป็นกลุ่มเล็กๆ
มาจนเริ่มเป็นหมู่บ้าน เป็นเมือง เรื่อยมาจนถึงสมัยอียิปต์ กรีก และส่งผลถึงปัจจบัน ... น่าสนใจมากครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่า ประเพณีในสังคมสมัยใหม่ คือการแต่งงาน สร้างเป็นครอบครัว
และค่านิยมในสังคมเช่น ศีลธรรม ความสื่อสัตย์ต่อคู่สมรส รวมทั้งวัฒธรรมทางเรื่องเพศ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยไหน
และเหตุใดมนุษย์ถึงเห็นความจำเป็นว่า จะต้องมีคู่เดียว (ผัวเดียวมีเดียว)
เป็นเพราะความรัก หรือสังคมที่เปลี่ยนไป หรือปัจจัยอื่นๆ

ในสมัยยุคหินมนุษยืออกล่าสัตว์เป็นกลุ่มเล็ก ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน น่าสนใจว่าพวกเขามีสังคมอย่างไร
สารดคีบอกว่า การจีบกันของมนุษย์หินที่เราเคยอ่านในกระตูนขายหัวเราะทำนองว่า
ถ้าผู้ชายถูกใจสาวคนไหนเข้าก็เอากระบองทุบหัวเข้าให้คงจะไม่เป็นจริง
เพราะสมัยก่อนผู้หญิงกับผู้ชายแข็งแรงพอๆกัน เวลาออกล่าสัตว์ก็ออกล่าพร้อมกัน ช่วยกันทั้งชายและหญิง
หญิงกับชายดูจะไม่ต่างกันมากนัก (นักสิทธิสตรีคงชอบ .... หรือเปล่า?)
แล้วเขาจีบกันอย่างไร? ... มีหลักฐานทางโบราณคดีบอกว่าพวกมนุษย์หินแร่ร่อนในยุโรปนั้นทุกๆปี
กลุ่มต่างๆจะมาพบเปาะกัน คิดว่าเป็นหุบเขาแถวๆฮังการี ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงที่หนุ่มสาวจากกลุ่มต่างๆ
ได้ทำความรู้จักกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเป็นโอกาสในการเลือกคู่ ...  
แต่หลังจากนั้นจะอยู่เป็นคู่ซื่อสัตย์ต่อกันหรือเปล่า อันนี้ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าคงยาก

มนุษย์เริ่มให้ความสำคัญของการอยู่เป็นคู่ชีวิตเมื่อมีการติดต่อระหว่างกลุ่มต่างๆเพิ่มมากขึ้น
การแต่งงานจริงๆนั้นคงเริ่มต้นเมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้าน และรู้จักการเพาะปลูกแล้ว
ในสมัยนี้เมื่อมนุษย์ไม่ต้องออกล่าสัตว์ ผู้หญิงก็ทำหน้าที่ส่วนใหญ่ในการเลี้ยงดูบุตร และปรุงอาหาร
ในขณะที่ผู้ชายทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ... สารคดีบอกว่าบทบาทของหญิงและชายในสังคมสมัยใหม่เริ่มต้นตรงนี้
การที่มนุษย์ทำการเพาะปลูก มีที่นา มีฟาร์มมีทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้รู้สึกต้องการที่จะปกป้องผลประโยชน์
และต้องการถ่ายทอดให้กับลูกหลานที่สืบทอดยีนส์ของตัวเอง แน่นอนว่ามนุษย์สมัยนั้นไม่รู้จักยีนส์ หรือโครโมโซม
วิธีที่จะทำให้มันใจว่าเป็นลูกหลานของตัวเองแน่ๆ ก็คือเป็นเจ้าของผู้หญิงซะ ...
ดังนั้นการแต่งงานจึงเกิดขึ้นมาจากการรักษาทรัพย์สมบัติ มากกว่าปัจจัยอื่น

คนอื่นมีความเห็นว่าอย่างไรครับ?
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 08 ส.ค. 02, 17:37

 ในสมัยยุคหินมีหลักฐานว่าสังคมเริ่มมีแนวโน้มที่จะมีคู่ครองเดียวเช่นกัน
หลักฐานที่เก่าที่สุดขุดพบในทวีปยุโรป เป็นโครงกระดูกมนุษย์สามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง
จากการตรวจศึกษาทางการแพทย์พบว่าทั้งสามถูกสังหารและนำมาฝังพร้อมกัน คาดว่าทั้งหมดทำความผิดร้ายแรง
การจัดท่าทางของศพในลักษณะที่เหมือนกับจะบอกข้อมูลบางอย่างประมาณว่ามีกรณีรักสามเศร้าเกิดขึ้น
แสดงว่าคนทั้งสามต้องทำกิจกรรมบางอย่างที่สมาชิกในกลุ่มรับไม่ได้ เลยลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างเพื่อจัดระเบียบสังคม
ไปได้ว่ามนุษย์หินเริ่มเห็นความสำคัญที่จะต้องมีกฎที่ใช้บังคับที่ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง
บันทึกการเข้า
ฝอยฝน
ชมพูพาน
***
ตอบ: 104

architect


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 09 ส.ค. 02, 15:26

 คุณจ้อขา  ทำไมชวนคุยย้อนไปนานจังคะ จ้องอยู่หลายรอบ...ว่าจะเข้ามาแทรกสาระตรงไหนดี  ก็ไม่มีใครช่วยนำทางเลยค่ะ  

จำได้ว่าเคยไปคุยค้างๆไว้กระทู้ไหนจำไม่ได้ค่ะ ว่าจากการศึกษางานวรรณกรรมแถบอุษาคเนย์นี่ ตั้งแต่ลุ่มน้ำแถวเวียดนาม ลุ่มน้ำโขง ร่ายยาวมาถึง ทางเหนือ และอีสานของไทย นักวิชาการเขาพบว่า ใช้การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ เพื่อวัตถุประสงค์ ในการรักษา อำนาจ และขยายอำนาจค่ะ เหมือนกันค่ะ  

บทบาทของชายและหญิงในสังคม เมื่อผ่านมาจนถึงทุกวันนี้  เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้นะคะ  ว่าทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพทางความคิด และความถนัด แตกต่างกัน  ทั้งสองฝ่ายต้องพึ่งพาและให้เกียรติกัน  สังคมจึงอยู่รอด

ขอคุยนอกเรื่องไปนิดนะคะ เราต้องยอมรับว่าผู้ชายมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าผู้หญิง ดังนั้นในงานระดับชาติ ไม่ว่า เรื่องงานฝีมือ อย่างการแกะสลักน้ำแข็ง  งานการทำครัว การทำเบเกอร์รี่ สุดยอดฝีมือกลับไปอยู่ในกลุ่มผู้ชาย เพราะงานเหล่านี้ต้องใช้พลังกล้ามเนื้อ การฝึกฝน ความชำนาญ รวมทั้งมีคนตั้งข้อสังเกตว่า  ผู้ชายมีความกล้าคิด ชอบเสี่ยง ชอบทดลองของใหม่  ในเรื่องงานออกแบบ หรือความคิดในงานชั้นสุดยอดฝีมือจึงกลับไปอยู่ในมือผู้ชายอย่างแท้จริง  

แต่ในชีวิตประจำวัน ความละเอียดอ่อน ความรอบคอบ ในงานประจำบ้านจึงยังอยู่ในมือผู้หญิง ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียว

รู้แต่ว่าผู้หญิงและผู้ชายเป็นของคู่กันค่ะ ในหมู่คนจีนยังโยงไปเปรียบเทียบกับเรื่อง หยินกับหยาง เลยนี่คะ ว่าต้องมีความสมดุลย์กัน ทุกอย่างจึงจะดำรงอยู่อย่างเป็นสุข    
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 11 ส.ค. 02, 08:01

 ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าทำไมชวนคุยแต่เรื่องดึกดำบรรพ์
สงสัยผมยังเป็นมนุษย์หินอยู่ หุๆๆ
บันทึกการเข้า
หนูหมุด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 88


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 12 ส.ค. 02, 00:21

 โอ้โห ย้อนไปไกลจังเลยค่ะ แต่น่าแปลกเหมือนกันนะคะ ที่ในอดีตจะเป็นผู้ชายที่สามารถมีผู้หญิงได้หลายคน จนเป็นธรรมเนียม เหมือนที่เราเรียก ขุนนาง ไงคะ ทำไมไม่มีดินแดนไหนที่เค้าให้หญิงมีได้มากๆบ้างล่ะคะ หากจะมีก็กลายเป็นหญิงกลางเมืองไปเสียอีก ว้า...ไม่ดีเลยค่ะ
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 13 ส.ค. 02, 09:08

เป็นหญิงกลางเมืองใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไปนะครับ ยกตัวอย่างในสมัยกรีกเป็นต้น...
ผู้หญิงกรีกโบราณนั้นไม่ค่อยจะมีบทบาททางสังคมเท่าไหร่นัก หน้าทีพลเมืองหลักคือคลอดบุตร
ถึงแม้ว่ากรีกจะเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันก็แบ่งแยกเผ่าพันธ์ออกจะเป็นพวก Racist อยู่มาก
ชาวกรีกโบราณออกจะหวงเผ่าพันธ์ของตัวเองไม่มียอมรับการผสมข้ามเมืองเช่นชายเอเธน ผสมกับ หญิงสปาต้า
เมืองใครเมืองมัน พวกนี้เลยหวงผู้หญิงมาก ชีวิตผู้หญิงกรีกโบราณ พออายุ 14-15 ก็ต้องแต่งงานเลี้ยงลูก
ไม่มีสิทธิ์ออกไปไหน ไม่มีสิทธิมีเสียงในระบอบประชาธิปไตย ...
แถมที่แย่ไปกว่านั้น ผ่ายสามียังมีชายอื่นอีกต่างหาก ... (ชายอื่นจริงๆไม่ใช่หญิงอื่น)

แต่ในสมัยกรีกนั้นโสเภณีเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แถมพวกเธอบางคนยังมีฐานะมั่งคั่งอีกต่างหาก
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่ามีโสเภณีคนหนึ่ง เธอมั่งคั่งและมีอิทธิพลถึงขนาดออกเงินสร้างกำแพงเมืองเลยทีเดียว
นอกจากนั้นแล้วเธอยังเป็นแบบให้ช่างแกะสลักรูปของเธอซึ่งถือเป็นรูปแกะสลักผู้หญิงชิ้นแรกของกรีก
ก่อนหน้านี้รูปแกะสลักแบบคลาสสิคของกรีกมีแต่รูปแกะสลักของชาย
บันทึกการเข้า
ถาวภักดิ์
พาลี
****
ตอบ: 240


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 13 ส.ค. 02, 13:07

 หญิงดูจะอาภัพมาตลอดในประวัติศาสตร์  จนแม้บางคนก็เชื่อว่าการเิกิดเป็นหญิงส่วนใหญ่ด้วยด้อยบุญวาสนากว่าชาย

แต่ที่เคยผ่านตาอย่างชัดเจน  มีที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ถึงทุกข์ของหญิงที่ไม่มีในชาย 4 ประการ คือ
1.การมีครรภ์
2.การคลอดบุตร
3.การมีปรจำเดือน
4.ต้องบำเรอชาย

(ข้อหลังนี่  เข้าใจเอาเองว่ามีนัยยะทำนอง  ความเจ็บปวดทรมานจากกามคุณ  ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ)
บันทึกการเข้า
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1012

ทำงานราชการ


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 13 ส.ค. 02, 23:21

 นอกจากโสเภณีกรีก หญิงงามเมืองหรือ นครโสภิณีของแขกอินเดียโบราณก็มีหลายคนที่ร่ำรวยครับ สาวๆ พวกนี้อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นคณะ เรียกว่าคณิกา ถือเป็นสมบัติกลางของนครด้วยความงามเลิศของพวกเธอ ที่มีชื่อในพุทธประวัติ เช่น นางอัมพปาลี มีประวัติเกี่ยวกับต้นมะม่วงอะไรสักอย่าง ลืมแล้ว (อัมพ แปลว่ามะม่วง) เป็นนางคณิกาที่รวยมาก มีเงินขนาดซื้อที่สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้าได้

หมอชีวกโกมารภัจ ก็เป็นลูกนางคณิกา คลอดออกมาแม่ไม่เลี้ยงเอาไปทิ้งกองขยะ เพราะขัดต่ออาชีพของตน โชคดีเจ้าชายอภัยราชกุมารไปพบและทรงเก็บมาเลี้ยง (ชื่อท่านหมอชีวกนั้นก็เป็นหลักฐานความเป็นมาในประวัติอชีวิตท่านอยู่ เพราะเมื่อเจ้าชายทรงทอดพระเนตรเห็นเด็กแดงๆ ที่ห่อมาในผ้าอยู่ในกองขยะนั้น ตรัสถามมหาดเล็กว่า ไปดูทีซิ ตายแล้วยัง มหาดเล็กไปดูแล้วกลับมาทูลว่า ยังเป็นอยู่ พระเจ้าข้า คำว่ายังเป็นอยู่หรือยังมีชีวิตอยู่จึงกลายมาเป็นชื่อ ชีวก) จนโตขึ้นได้ศึกษาวิชาแพทย์จนแตกฉาน ในที่สุดได้เป็นหมอประจำราชสำนักและเป็นหมอประจำพระองค์พระพุทธเจ้าด้วย
ในทางธรรมะนั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้ว่าสตรีก็อาจบรรลุจุดหมายสูงสุดในทางธรรม คือพระนิพพานได้ไม่แตกต่างอะไรกับบุรุษเลย ถึงแม้จะมีข้อจำกัดทางสังคม โดยเฉพาะสังคมอินเดียสมัยนั้นเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ในระดับโลกุตระแล้วไม่มีความแตกต่างกัน เมื่อแรกจะมีภิกษุณี พระแม่น้านางมหาปชาบดีโคตมี แม่บุญธรรมพระพุทธเจ้าไปทูลขอบวช พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่ทรงอนุญาตทันที เพราะเป็นเรื่องใหม่มากในสังคมอินเดีย แต่เมื่อพระนางมหาปชาบดีทูลรุกว่า ถ้าสมมติว่าสตรีปฏิบัติธรรมแล้วจะบรรลุธรรมขั้นสูงได้เหมือนบุรุษไหม ก็ทรงรับว่าได้ พระนางปชาบดีก็เลยว่าถ้ายังงั้นก็ไม่ควรมีข้อกีดขวางในการที่สตรีจะบวช พระพุทธเจ้าก็ทรงยอม แต่ก็ยังทรงกำหนดเงื่อนไขบางประการแก่ภิกษุณีเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเพื่อป้องกันสตรีภิกษุณีด้วย

ในเรื่องสังคมหญิงเป็นใหญ่ ถ้ามองย้อนไปในอดีต ตามเทพปกรณัมกรีกเอง ก่อนเทพบิดรซุสจะถือกำเนิด ก่อนคณะเทพโอลิมเปียน หรือคณะเทพไตตันก็เถอะ จะกำเนิด ยังเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนไม่รู้เลยนั้น มีมหาเทวี Gaia ดำรงอยู่แล้วแต่ปฐมกาล Gaia นี้มีการแปลกันว่าเป็น Mother Earth หรือเจ้าแม่ธรณี ที่เกิดของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง แปลกดีไหมครับที่ทั้ง Gaia กรีกและนางธรณีของไทยเป็นหญิงทั้งคู่ พระธรณีของฮินดูคือเจ้าแม่ปฤถิวี ก็เป็นหญิง บางทีแสดงรูปเป็นวัวเพศเมีย เป็นที่กำเนิดของทุกสิ่ง ความเชื่อทำนองนี้ที่มีคล้ายกันในหลายวัฒนธรรมทำให้นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า สังคมมนุษย์ยุคโบราณหลายสังคมเป็นสังคมหญิงเป็นใหญ่มาก่อนครับ
บันทึกการเข้า
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1012

ทำงานราชการ


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 14 ส.ค. 02, 00:17

 เอ้อ... ดร. จ้อ คห. 1 ขอรับ  รักสาม "เส้า" ครับ
ที่จริงเรื่องรักสามเส้านั้นก็เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ไม่ได้สะกดว่าสามเศร้า ต้องสะกดว่าสามเส้า เส้าตัวนี้แปลว่าก้อนเส้า ก้อนเส้าเตาไฟน่ะครับ เวลาคนโบราณก่อไฟจะหุงข้าวต้มแกงอะไรก็ตามแต่ สมมติว่าไปในป่าไม่มีเตา ก็จะเอาก้อนหินขนาดพอๆ กันมาวางเป็นสามเหลี่ยมสามมุม ไม่ต้องคนโบราณหรอกครับ คนสมัยนี้เวลาไปป่าถ้าไม่มีเตาแค้มปิ้งไปก็ต้องทำอย่างนั้น ก้อนหินสามมุมนั่นแหละครับเขาเรียกก้อนเส้า ที่ต้องเป็นสามก้อนก็เพราะจำนวนสามก้อนสามมุมมันเป็นจำนวนน้อยที่สุดที่จะรองรับก้นหม้อได้น่ะสิครับ สองก้อนรองก้นหม้อไม่ได้ ก้อนเดียวก็ไม่ได้ ต้องสามก้อนขึ้นไป แต่ถ้าเรียงมากไปสมมติว่าสักสิบก้อน ตั้งหม้อได้ไม่ล้มสบายมาก แต่ก็ไม่มีช่องจะใส่ฟืนอีก

ความสัมพันธ์ทำนองนี้นที่มันยันกันอยู่สามด้าน เลยเรียกว่าสามเส้า อะไรก็ได้ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างก๊กต่างๆ ในเรื่องสามก๊ก เราจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์สามเส้าก็ได้ หรือสมัยก่อนนี้เราจะถือว่าการเมืองโลกมีสามเส้าหรือสามขั้วอำนาจก็ได้ คือสหรัฐ โซเวียตและจีน (เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วตั้งแต่โซเวียตล่มสลาย) และในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถ้ามีหนึ่งหญิงสองชาย หนึ่งชายสองหญิง ก็เรียกว่ารักสามเส้าได้ เดี๋ยวนี้ยุคใหม่จะถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามหญิงหรือสามชายไม้ป่าเดียวกัน เป็นรักสามเส้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้...

แต่ตอนหลังนี่ได้ยินหนาหูแต่ รักสามเส้าครับ สามเส้าอย่างอื่นไม่ค่อยได้ยินแล้ว
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 14 ส.ค. 02, 05:26

 อ้าวเหรอครับ ขอโทษที ขอบพระคุณครับกระผม    
บันทึกการเข้า
ถาวภักดิ์
พาลี
****
ตอบ: 240


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 14 ส.ค. 02, 09:56

 น่าสนใจในคติไทยเดิมครับ  ดูจะมีร่อยรอยการยกย่องสตรีอยู่ไม่น้อย  เช่น  เทวดาของไทยแท้ๆ  อย่างแม่พระโพสพ  นางกวัก  แม่ซื้อ และแม่ย่านาง

คำเรียกที่แสดงความเป็นใหญ่และอำนาจ  เช่น  แม่กอง  แม่ไม้  แม่น้ำ  แม่ทัพ  ก็เป็นร่องรอยอีกประการหนึ่ง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 14 ส.ค. 02, 10:21

 ปัดฝุ่นตำราขึ้นมาอีกครั้ง
วิชาในสมัยศตวรรษที่ ๑๙  สอนกันว่า ข้อเท็จจริงคือชายเป็นใหญ่   หญิงเป็นเพียงตัวเสริม
ความคิดนี้อาจจะอิงความเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าพระเจ้าทรงสร้างอาดัมก่อน แล้วสร้างอีฟขึ้นจากกระดูกซี่โครงของอาดัมก็ได้
แต่สรุปแล้วก็เชื่อกันว่าในโลกไม่ว่าส่วนไหน ผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งนั้น
จนกระทั่งนักมานุษยวิทยาชื่อ Margaret Meadได้ออกสำรวจดินแดนต่างๆห่างไกลจากยุโรปและอเมริกา ในต้นศตวรรษที่ ๒๐
เธอจึงพบว่าไม่จริง
อย่างชนเผ่าหนึ่ง(จำไม่ได้ว่าในหมู่เกาะปาซิฟิคหรืออเมริกาใต้) ผู้หญิงเป็นใหญ่ ครองความเป็นผู้นำ   ผู้ชายเป็นผู้ตาม
เหตุผลหนึ่งคือการให้กำเนิดบุตรถือเป็นความสำคัญหลัก  เพศหญิงเท่านั้นจะทำได้

ย้อนกลับมาถึงความเชื่อของไทย  ในท้องถิ่นดั้งเดิมที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
คนไทยให้ความสำคัญกับเพศแม่ มาก   สะท้อนได้ในชื่อที่หลงเหลืออยู่
เช่น แม่น้ำ   แม่โพสพ
อะไรที่เป็นความอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชีวิต เรายกให้เป็นเพศหญิง
ผู้นำและผู้ปกครองก็เป็นเพศหญิง  อย่างคำว่า แม่ทัพ   ไม่ยักใช้ พ่อทัพ

ส่วนนางกลางเมืองที่สังคมยกย่อง  ในอินเดียก็คือนางคณิกา หรือนางนครโสเภณี  ทำนองเดียวกับกรีกละค่ะ
บันทึกการเข้า
ถาวภักดิ์
พาลี
****
ตอบ: 240


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 17 ส.ค. 02, 16:37

 แม่เบ็ดเสร็จ 27 แม่

แม่ของลูก เรียกว่า แม่บังเกิดเกล้า แม่ของขี้เมา เรียกว่า แม่โขง
แม่ของชาวพระโขนง เรียกว่า แม่นาก แม่ของชายที่รัก เรียกว่า แม่ทูนหัว
แม่ของคุณตัว เรียกว่า แม่เล้า แม่ของทหารเรา เรียกว่า แม่ทัพ
แม่ชอบทำกับข้าว เรียกว่า แม่ครัว
แม่ชอบก่อสร้างทั่วไป เรียกว่า แม่แบบ
แม่ด่าเจ็บแสบ เรียกว่า แม่ค้า
แม่สอนให้ศึกษา เรียกว่า แม่พิมพ์
แม่เลี้ยงเราจนอิ่ม เรียกว่า แม่โพสพ
แม่น็อกศอกเข่าสลบ เรียกว่า แม่ไม้มวยไทย
แม่ทำเซอร์ไพรส์เรียกว่า แม่เจ้าโว้ย
แม่อุ้ย / มิใช่แม่โอ๊ย เรียกว่า แม่ของแม่
แม่ของนักเล่นแชร์ เรียกว่า แม่ชม้อย
แม่หาคู่ให้คนบ่อย เรียกว่าแม่สื่อแม่ชัก
แม่ช่วยลิเกเป็นหลัก เรียกว่า แม่ยก
แม่ของหญิงสามีตายตก เรียกว่า แม่ม่าย
แม่มีพลังดึงดูดมากมาย เรียกว่า แม่เหล็ก
แม่ของเรือเล็กใหญ่ เรียกว่า แม่ย่านาง
แม่ของหญิงตัวอย่าง เรียกว่า แม่ศรีเรือน
แม่หมอดีผีสะเทือน เรียกว่า แม่มด
แม่เจ้าหน้าเจ้าตาไปหมด เรียกว่าแม่แม่รีแม่แรด
แม่รับน้ำหนักได้ร้อยแปด เรียกว่า แม่พระธรณี
แม่จัดงานแล้วชอบชี้ เรียกว่า แม่งาน
แม่ไหลท่วมบ้าน เรียกว่า แม่น้ำ
แม่ทิ้งลูกให้ระกำ เรียกว่า แม่ของดาวพระศุกร์
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.049 วินาที กับ 19 คำสั่ง