เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 13346 เรื่องของสมเด็จโตวัดระฆัง
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1012

ทำงานราชการ


 เมื่อ 27 มิ.ย. 02, 10:27

 มีการคุยกันถึงท่านไว้ในกระทู้วัดปทุมวนาราม ผมขอเชิญคุยกันต่อในกระทู้นี้ครับ เรื่องของท่านสนุกครับ หลายเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน ฟังราวกับปริศนาธรรมหรือนิทานเซนของทางฝ่ายมหายาน แต่เป็นเรื่องของพระเถระทางเถรวาทเมืองไทยเรานี่เอง พูดภาษาฝรั่งสมัยนี้ต้องบอกว่าท่านเป็น unconventional wisdom (ไม่ใช่ conventional wisdom)

สมเด็จโตท่านมีชื่อว่าชอบถวายธรรมะกระทุ้งในหลวง ร.4 อย่างแยบยลลึกซึ้ง (และบางทีก็กระทุ้งแรง) สองท่าน 1 พระองค์กับ 1 รูปนี่ท่านทันกันครับ

นอกจากกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินแล้ว กับคนอื่นท่านก็มีวิธีสอนที่กระตุกให้ธรรมะซึ้งกับไปถึงใจหรือกระแทกใจทีเดียว ที่ผมจำได้ก็ตอนที่เทศน์ให้ยายแฟงฟัง คุณนายแฟงเป็นแม่เล้าครับ รวยขึ้นมาจากการเปิดซ่องหาเงินจากหยาดเหงื่อแรงกายสาวๆ ลูกเล้า จนรวยแล้วแกก็สร้างวัด ปากชาวบ้านเรียกว่า วัดใหม่ยายแฟง ชื่อจริงๆ ว่า วัดคณิกาผล แปลว่าผลจาก "หญิงอาชีพพิเศษ"  แกถามสมเด็จโตว่า ทำบุญสร้างวัดใหม่ทั้งวัดนี้จะได้อานิสงส์เท่าไหร่ สมเด็จท่านตอบว่าราวสักสลึงเฟื้องหนึ่ง เพราะท่านรู้นี่ครับว่าเงินที่แกเอามาทำบุญเอาหน้านั้นยายแฟงแกไปขูดมาจากลูกเล้าแก

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สมเด็จโตท่านจุดไต้กลางวันแสกๆ กลางแดดส่องจ้า 2 หนในชีวิตท่าน (ซึ่งไปละม้ายกับเมธีกรีก ไดโอนีซุส โดยไม่ได้นัดหมาย) หนแรก เมื่อในหลวง ร.4 ยังทรงพระชนม์อยู่ วันหนึ่งสมเด็จโตก็จุดไต้เดินดุ่มๆ เข้าไปในวังหลวง ในหลวงทอดพระเนตรเห็นเข้าก็รับสั่งว่า ขรัว- รู้แล้ว รู้แล้ว ท่านก็ทิ่มไต้กับกำแพงวังดับไต้เสีย เพราะท่านตั้งใจจะมาเตือนพระสติในหลวง โดยท่านเกรงว่าจะทรงลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณจนเกินพอดี จึงทำอุบายจุดไต้เข้าไปในวังเหมือนหนึ่งว่า ในพระราชวังนั้นมืดมิดเป็นกลางคืนไปหมด ไม่มีกลางวันเลย
 
อีกหนหนึ่ง จะเป็นเมื่อในหลวง ร.4 สิ้นพระชนม์แล้ว  ร. 5 เสด็จขึ้นครองราชย์แต่ยังทรงพระเยาว์ยังว่าราชการด้วยพระองค์เองไม่ได้ หรือในช่วงปลายรัชสมัย ร.4 อย่างไรนี่แหละจำได้ไม่แน่ สมัยนั้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยยวงศ์ท่านมีอำนาจมาก ถ้าเป็นตอนที่ ร.4 สวรรคตแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาท่านก็เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่เองเลยละครับ ตอนนั้น ใหญ่มาก จนมีการเกรงว่า สมเด็จเจ้าพระยาท่านจะฮุบเอาอำนาจไว้เสียเองหรือเปล่า เพราะในหลวงพระองค์ใหม่ก็ยังพระเยาว์มากและประชวรอยู่ด้วย วันหนึ่งสมเด็จโตก็จุดไต้กลางวันแสกๆ อีก เดินไปที่ทำเนียบท่านสมเด็จเจ้าพระยาเลยทีเดียว พอไปถึงท่านก็ขอบิณฑบาตว่า ทุกวันนี้แผ่นดินมืดมัวนัก ขอบิณฑบาตท่านสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมืองให้ช่วยดูแลด้วย ท่านสมเด็จเจ้าพระยาฟังพระมาขอบิณฑบาตอย่างนั้นก็รู้ความนัยเลยเหมือนกัน ก็กราบเรียนสมเด็จโตว่าขอให้พระคุณท่านไว้ใจ ตราบใดที่กระผมยังอยู่จะไม่ยอมให้แผ่นดินมืดมนลงได้เป็นอันขาด สมเด็จโตท่านก็ขอบใจ อนุโมทนา ให้ศีลให้พรแล้วก็ดับไต้กลับวัด

ความที่ท่านมีความคิดลึกซึ้งไม่เหมือนชาวบ้านอย่างนี้แหละครับ บางทีคนธรรมดาเรานึกไปไม่ทันท่าน หรือคิดไม่เหมือนท่าน เลยมีเสียงบางเสียงว่าท่านสติไม่ค่อยดี พอรู้ไปถึงท่านท่านก็ไม่ว่าอะไร เป็นแต่พูดลอยๆ ออกมาประโยคหนึ่งว่า "เมื่อขรัวโตดีก็ว่าขรัวโตบ้า เมื่อขรัวโตบ้าก็ว่าขรัวโตดี" .... ท่านหมายความว่า บางทีท่านพูดหรือทำอะไรที่ค้านสามัญสำนึกคนทั่วไป แต่ถูกต้องตามธรรมะขั้นสูง คนที่ไม่เข้าใจก็หาว่าท่านบ้า แต่เวลาที่ท่านยอมๆ ตามๆ สามัญสำนึกคนปุถุชนธรรมดาทั่วไป ซึ่งถ้ามองในแง่โลกุตระนั้นต้องบอกว่าเหลวไหลไม่มีแก่นสารนั้น คนทั่วไปก็เห็นว่าเป็นปกติ ไม่บ้า...

ใครจะร่วมแจมเรื่องสมเด็จโต ขอเชิญครับ
บันทึกการเข้า
Little Sun
พาลี
****
ตอบ: 212

กำลังตามหาความฝัน


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 22 พ.ค. 02, 17:00

 ไม่มีความรู้ด้านนี้เลยค่ะแต่ชอบฟังคนอื่นเล่า  ขอมานั่งฟังก็แล้วกันะคะเรื่องนี้ก็น่าสนใจนะคะ
บันทึกการเข้า
bookaholic
ชมพูพาน
***
ตอบ: 145


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 23 พ.ค. 02, 08:04

หลงพี่นิลขึ้นกระทู้ธรรมาสน์เองแล้ว   กระผมอารามบอย ขอประเคนหมากพลูน้ำชาขอรับ

ถ้านึกถึงสมเด็จโตหรือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี   ก็พระคาถาชินบัญชรงัยครับ   ผมอ่านคำแปลแล้วขนลุกซู่    แต่ละคำมีอานุภาพเจงๆ

แล้วยังพระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง ที่ถือว่าเป็นยอดในเบญจภาคีอีก

ประวัติที่เจอขณะ surf ใน http://www.khonnaruk.com
เล่าว่าท่านเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก
แม้ท่านจะไม่เคยเข้าสอบแปลหนังสือเป็นเปรียญ แต่ชาวบ้านก็เรียกท่านว่าพระมหาโตมาตั้งแต่บวช
ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังได้รับคำชมจากสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แห่งวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นสำนักที่หลวงพ่อโตเคยไปเข้าเรียนครั้งยังเป็นพระหนุ่มว่า
 "ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก"

          อย่างไรก็ตามท่านมิใช่พระที่แม่นยำเฉพาะตัวหนังสือหรือเคร่งคัมภีร์ หากท่านน้อมนำธรรมะจนกลายเป็นเนื้อเป็นตัวของท่าน ทำให้ชีวิตของท่านเป็นไปอย่างโปร่งเบาและอิสระไม่ติดกับกฎเกณฑ์ประเพณี ทั้งไม่ถือความนิยมของผู้อื่นเป็นใหญ่

          คราวหนึ่งพระในวัดของท่าน (วัดระฆัง) โต้เถียงกันถึงขั้นด่าท้าทายกัน พอท่านเห็นเหตุการณ์ ท่านก็เข้าไปในกุฏิ จัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน แล้วเดินเข้าไปในระหว่างคู่วิวาท แล้วลงนั่งคุกเข่าถวายดอกไม้ธูปเทียนให้พระทั้งคู่ แล้วกล่าวว่า

          "พ่อเจ้าพระคุณ พ่อจงคุ้มฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่าพ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอได้ เก่งแท้ ๆ พ่อเจ้าประคุณ ลูกฝากตัวด้วย"

          ผลคือพระทั้งคู่เลิกทะเลาะกัน หันมาคุกเข่ากราบท่าน ท่านก็กราบตอบพระ ทั้งหมดกราบและหมอบกันอยู่นาน

          นอกจากท่านจะไม่ถือตัวหรือติดในยศศักดิ์แล้ว ท่านยังไม่ยึดในทรัพย์ด้วย ความมักน้อยสันโดษของท่านเป็นที่เลื่องลือ ลาภสักการะใด ๆ ที่ท่านได้มาจากการเทศน์หรือกิจนิมนต์ ท่านมิได้เก็บสะสมไว้ มักเอาไปสร้างวัตถุสถาน(เช่นพระพุทธรูป)อยู่เนือง ๆ แม้ใครขอก็ยินดีบริจาคให้ กระทั่งมีโจรมาลัก ท่านก็ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่โจร

          เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งท่านกำลังนอนอยู่ในกุฏิ มีโจรขึ้นมาขโมยของ หมายจะหยิบตะเกียงลานในกุฏิ แต่บังเอิญหยิบไม่ถึง ท่านก็ช่วยเอาเท้าเขี่ยส่งให้โจร แล้วบอกให้โจรรีบหนีไป

          อีกเรื่องหนึ่งมีว่า ท่านไปเทศน์ต่างจังหวัดโดยทางเรือ ได้กัณฑ์เทศน์มาหลายอย่าง รวมทั้งเสื่อและหมอน ขากลับท่านต้องพักแรมกลางทาง คืนนั้นเองมีโจรพายเรือเข้ามาเทียบกับเรือของท่าน ขณะที่โจรล้วงหยิบเสื่อนั้นเอง ท่านก็ตื่นขึ้นมาเห็น จึงร้องบอกว่า "เอาหมอนไปด้วยซิจ๊ะ" โจรได้ยินก็ตกใจกลัวรีบพายเรือหนี

          ท่านจึงเอาหมอนโยนไปทางโจร โจรเห็นว่าท่านยินดีให้ จึงพายเรือกลับมาเก็บเอาหมอนไปด้วย

          บางครั้งลูกศิษย์ของท่านก็มาเป็นเหตุเสียเอง กล่าวคือเมื่อท่านกลับจากการเทศน์พร้อมกับกัณฑ์เทศน์มากมาย ศิษย์ ๒ คนที่พายเรือหัวท้ายก็ตั้งหน้าตั้งตาแบ่งสมบัติกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ คนหนึ่งว่ากองนี้ของข้า อีกคนก็ว่ากองนั้นของข้า ท่านจึงถามว่า "ของฉันกองไหนล่ะจ๊ะ" เมื่อกลับถึงวัด ศิษย์ทั้งสองเอากัณฑ์เทศน์ไปหมด ท่านก็มิได้ว่ากล่าวอย่างใด


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นผู้มีกิริยาวาจาอ่อนละไมเป็นปกติ ท่านจะพูดจาปราศรัยกับใครทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก ก็ใช้คำรับคำขานว่า จ๋า จ๊ะ ที่สุดสัตว์เดรัจฉานท่านก็ประพฤติเช่นนั้น ดังเล่ากันว่า ท่านไปพบสุนัขนอนขวางทางอยู่ ท่านพูดกับสุนัขนั้นว่า "โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถิดจ้ะ" แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป มีผู้ถามท่านว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า "ฉันรู้ไม่ได้ว่าสุนัขนี้จะเคยเป็นพระโพธิสัตว์หรือมิใช่"

(พระโพธิสัตว์เคยเสวยชาติเป็นสุนัข ความพิสดารอยู่ในกุกุรชาดกในตติยวรรคแห่งเอกนิบาต )

 คุณธรรมของท่านประการหนึ่ง ได้แก่ความเมตตา ไม่เฉพาะต่อผู้คน หากยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อย

          มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งเขานิมนต์ท่านไปในงานบ้านแห่งหนึ่งที่ จ.สุพรรณบุรี ท่านได้ไปโดยทางเรือ ครั้นเรือจะเข้าทางอ้อม ท่านได้ขึ้นบกลัดทุ่งนาไป ด้วยหมายจะให้ถึงเร็ว ปล่อยให้ศิษย์แจวเรือไปตามลำพัง ระหว่างทางท่านได้พบนกกระสาตัวหนึ่งติดแร้วอยู่ จึงแก้บ่วงปล่อยนกนั้นไป แล้วท่านเอาเท้าของท่านสอดเข้าไปในบ่วงแทน เมื่อศิษย์แจวเรือถึงบ้านงาน ไต่ถามได้ความว่า ท่านขึ้นบกเดินมาก่อนนานแล้ว เจ้าภาพจึงได้ให้คนออกติดตามสืบหา ไปพบท่านติดแร้วอยู่ พอจะเข้าไปแก้บ่วง ท่านร้องห้ามว่า "อย่า อย่าเพิ่งแก้ เพราะขรัวโตยังมีโทษอยู่ ต้องให้เจ้าของแร้วเขาอนุญาตให้ก่อนจ้ะ" ครั้นท่านได้รับอนุญาตแล้วจึงบอกให้เจ้าของแร้วกรวดน้ำ แล้วท่านได้กล่าวคำอนุโมทนา ยถา สพพี เสร็จแล้วท่านจึงได้เดินทางต่อไปยังบ้านงาน
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 23 พ.ค. 02, 11:08

 ในเมื่อคุณ bookฯ เปิดฉากเรื่องขรัวโตกับคนสามัญบ้างแล้ว ผมขอเล่าบ้างนะครับ

เคยอ่านเรื่องหนังสือของคุณ ไต้ ตามทาง เมื่อสิบกว่าปีก่อน จำได้ว่ามีเล่าเรื่องขรัวโตอยู่ไม่น้อย ที่ผมยังจำได้แม่นนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่ง

ครั้งหนึ่งขรัวโตเดินผ่านลานวัด มีพระหนุ่มๆเล่นตะกร้อกันอยู่หลายรูป พระหนุ่มรูปหนึ่งยืนฉี่อยู่(ผิดวินัยสงฆ์) เมื่อท่านเดินผ่านพระรูปนั้นท่านจึงว่า
"ยกขาข้างหนึ่งสิจ๊ะจะได้ไม่อาบัติ"
อารามตกใจ พระหนุ่มรีบทำตามท่านว่า
เมื่อท่านไปแล้วจึงเข้าใจ
.
.
.
ก็ยกขาฉี่นี่แสดงว่าไม่ใช่พระแล้ว จะอาบัติได้ยังไงล่ะครับ    
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Little Sun
พาลี
****
ตอบ: 212

กำลังตามหาความฝัน


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 23 พ.ค. 02, 14:26

 เรื่องที่คุณbookaholic   กับคุณม้า  เล่า(ต้องขอโทษด้วยนะคะที่แปลชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต) อ่านแล้วได้ทั้งข้อคิดและความเพลิดเพลินนะคะ
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85

Graduate Student New Mexico Institute of Mining and Technology, Socorro, NM USA


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 00:54

 ว่าง ๆ คุณ CrazyHorse ต้องมาเล่าเรื่องที่มาชองชื่อแล้วล่ะครับ
ว่ามาจากประเทศไหน
มีคนมาแปลแต่ละที ก็ไกลจากต้นกำเนิดไปทีละนิด
คุณ หลวงนิล แกเคยแปลว่า จอมยุทธอาชาคลั่ง ไปดูเหมือนมาจากเมืองจีน
คุณ Little Sun เรียกว่า คุณม้า หรือว่ามาจากเมืองไทย
ผมใบ้นิดก่อนว่า ชื่อ CrazyHorse นี่ไม่ได้มาจากเมืองจีนแน่ครับ ชื่อนี้มาจากอเมริกาครับ
ขอโทษคุณ นิลด้วยที่ผมออกนอกเรื่องกระทู้ไปไกล
แวะมาอ่านเรียบร้อยแล้ว ก็ชอบมากครับ
ส่วนเรื่องคาถาชินบัญชรนั้น ผมรู้สึกว่าเป็นบทคาถาที่ท่องแล้วทำให้ผู้ท่องมีความเชื่อมั่นมากครับ
มีอยู่ครั้งนึงผมต้องไปออกค่ายอาสาที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่อำเภอแถวชายแดน แต่ผมลืมไปแล้วว่าอำเภออะไรแน่
 แต่ไปเป็นพวกแรก คือไปดูสถานที่ก่อน แล้วก็เตรียมงานรอรับสมาชิกที่จะตามมา
การไปนอกสถานที่แบบนี้ แล้วไปกันแค่ สี่ห้าคน ตามต่างจังหวัดสมัยก่อน ทำให้ผม รู้สึกเสียว ๆ วูบ ๆ เรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นพอควร ตกกลางคืนยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะที่ ๆ ไปไม่มีไฟใช้ ไปนอนที่โรงเรียน ที่ท่างค่ายตกลงจะไปสร้างห้องสมุดให้ใช้ โรงเรียนนี่ก็อยู่ไกลจากบ้านชาวบ้าน พอควรเลยครับ กลางคืนเนี่ยเงียบมาก ผมมอง ๆ ไปทางไหน ก็ไม่ไหวครับ คิดแต่เรื่องผี ไอ้เพื่อนที่มาด้วยกัน มันก็หลับบ้างไม่หลับบ้าง หลายคนก็กระสับกระส่ายเหมือนกัน หนักเข้าผมก็คิดว่าสงสัยต้องพึ่งพระซะแล้ว  ผมเลยเอาหนังสือสวดมนต์ที่แม่ให้เอาติดตัวไปไหนทุกครั้งเวลาเดินทาง ผมก็ท่องนะโมสามจบ แล้วก็ยังนอนไม่หลับ เลยพลิกไปถึงคาถาชินบัญชร มีคำบรรยายว่าเป็นคาถา คุ้มภัย นำสิริมงคลให้ผู้ท่อง ผมก็เอาล่ะบทนี้ล่ะ แต่พอเปิดดูโห ยาวจริง ๆ แต่ก็ลองพยายามท่องดูน่ะครับ ท่องตามหนังสือจนจบ หลังจากนั้น ก็ไม่น่าเชื่อครับ ใจมันปลอดโปร่ง มีความเชื่อมั่นมากเดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียว แล้วก็กลับมานอนหลับสบายเลยไม่ฝันแปลก ๆ หรือหวั่น ๆ ใจอะไรอีกเลยครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 08:50

 ชื่อCrazy HOrse ถ้ามาจากอเมริกา เป็นภาษาอินเดียนแดงหรือเปล่าคะ
บันทึกการเข้า
อ้อยขวั้น
มัจฉานุ
**
ตอบ: 60

ทำงานบริษัทเอกชน


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 09:02

 แนวทางสมเด็จโตเหมือนคนรู้นิสัยแมวนะคะ  เค้าว่ากันว่าถ้าอยากให้แมวโก่งตัวก็ให้กดหัวมันลง  ชอบใจวิธีการตักเตือนในหลวงมากค่ะ  ปราชญ์ด้วยกันนี่ทันกันจริงๆ นะคะ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 12:13

 ชื่อ CrazyHOrse เป็นชื่อ "ยืม" อินเดียนแดงมาจริงครับ แต่เป็นภาษาอังกฤษนี่แหละครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Little Sun
พาลี
****
ตอบ: 212

กำลังตามหาความฝัน


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 12:18

 ชื่อCrazy HOrse เนี่ยลิตเติ้ลเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งค่ะแต่จำไม่ได้ว่ามีที่มายังไง
บันทึกการเข้า
bookaholic
ชมพูพาน
***
ตอบ: 145


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 24 พ.ค. 02, 12:31

 ความเลื่อมใสในสมเด็จพระพุฒาจารย์ มีอีกด้านหนึ่งในวงการพระเครื่องครับ
สำหรับเซียนพระ เขานับกันว่าสุดยอดพระเครื่อง มี ๕ ชนิด เรียกว่าเบญจภาคี  ประกอบด้วย
พระผงสุพรรณ กรุพระปรางค์วัดศรีมหาธาตุ สุพรรณบุรี
พระซุ้มกอ  หรือพระกำแพง หรือพระลีลาทุ่งเศรษฐี กรุกำแพงเพชร
พระสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จโต
พระรอดลำพูน กรุวัดมหาวัน
พระนางพญา  พิษณุโลก
ทั้ง ๕  นี่ องค์หายากที่สุด ประเมินราคาไม่ได้ว่ากี่ล้าน  คือพระสมเด็จวัดระฆัง รุ่นสมเด็จพุฒาจารย์โตท่านสร้าง
เป็นพระเนื้อผงสีขาว พิมพ์สี่เหลี่ยม
ขนาดพวกนักสะสมเขารู้กันเลยว่าในประเทศไทยมีกี่องค์  อยู่กับใครบ้างในเวลานี้    เพราะฉะนั้นเขาจะไม่รับซื้อจากพวกโนเนมที่อ้างว่าเป็นของเก่าตกทอดมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย  เพราะว่าเก๊แน่ๆ
พระของแท้หายากมาก ใครได้ไปก็ไม่ยอมปล่อย นักสะสมต้องเลี่ยงไปหาสมเด็จบางขุนพรหมแทนก็มี
 เป็นพระที่ได้รับความนิยมสุดยอดว่าเด่นด้านเมตตา มหานิยม   แคล้วคลาดจากภยันตรายครับ
บันทึกการเข้า
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1012

ทำงานราชการ


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 26 มิ.ย. 02, 20:35

 มาแก้ตัวผมเองครับ ในหัวข้อกระทู้ผมบอกไว้ว่าสมเด็จโตจุดไต้กลางวันแสกๆ เหมือนกับปรัชญาเมธีกรีกโบราณ "ไดโอนีซุส"  ขอแก้ว่า อีตานักปรัชญากรีกคนนั้นที่จริงแกชื่อ ไดโอจีเนส ครับ ผมจำผิด ส่วนไดโอนีซุสเป็นใครก็ไม่รู้ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเทวดากรีกระดับเล็กๆ ซักองค์หนึ่ง

ไดโอจีเนสเป็นนักปรัชญาสำนักที่เรียกว่า Cynic เป็นต้นกำเนิดของคำว่า cynical ในภาษาฝรั่งซึ่งไม่รู้จะแปลว่ายังไงได้ตรงในภาษาไทย จะแปล cynical ว่าชอบเยาะหยันโลกมนุษย์จะพอฟังได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ คนที่ชอบประพฤติตัวแบบชาวสำนัก Cynic ของกรีกโบราณนี่ คือเป็นกบฏหน่อยๆ และขวางโลกไม่ยอมทำอะไรตามกรอบ และพอใจกินอยู่ง่ายๆ สมัยปัจจุบันก็มี คือเทียบกับฮิปปี้สมัยศตวรรษ 60 ได้ มีฝรั่งบอกว่าไดโอจีเนสเป็นฮิปปี้รุ่นแรกๆ ของโลก  

มีเรื่องของอีตาไดโอจีเนสที่น่าสนใจมาก เพราะมาเผอิญคล้ายสมเด็จโตท่านสองสามเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องจุดไฟกลางวันแสกๆ ไดโอจีเนสก็ทำเหมือนกัน แกถือตะเกียงเดินส่องไฟไปตามถนนตอนกลางวันแดดจ้า เดินไปเดินมาง่วนอยู่นั่นแหละตลอดทั้งเมือง จนคนทนไม่ไหวถามว่าอีตานี่ทำอะไร แกก็ตอบแดกดันเข้าให้ว่า จุดตะเกียงส่องหาคนจริงว่ะ หาเท่าไหร่ก้ไม่เจอคนจริงสักคนเลยในสังคม...
ไดโอจีเนสชอบลองดีกับพระราชามหากษัตริย์ด้วย คล้ายกับสมเด็จโตกับ ร. 4 ความที่แกเป็น Cynic แกจึงถือลัทธิว่า ไม่ต้องการยึดติดในลาภยศทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น มีกินไปวันๆ พอแล้ว สบายใจแล้ว แม้แต่บ้านแกก็ไม่อยู่ มีถังใบเดียวเป็นที่นอน (กลางแจ้ง) และแกเลยมองเศรษฐี คนมั่งมี คนชั้นสูง ไปจนถึงพระราชาอย่างติดจะดูถูกเอาด้วย
วันหนึ่ง (ตามนิทาน) พระราชา คืออเล็กซานเดอร์มหาราช เสด็จกรีธาทัพมายังเมืองที่แกอยู่ และทรงได้ยินกิติศัพท์ของเมธีฮิปปี้รายนี้ก็เสด็จไปหา แกกำลังหลับอุตุผึ่งแดดอุ่นอยู่ในถังของแก พอพระเจ้าอเล็กซานเดอร์เสด็จไปถึงแกก็พอดีลืมตาตื่น ถามว่าใครนั่น พระราชาก็ประกาศศักดาว่า ข้าคืออเลกซานเดอร์ มหาราช แกก็ตอบว่า ส่วนข้าคือ ไดโอจีเนส  Cynic พระราชาถามว่า ไดโอจีเนสผู้เป็น Cynic จะอยากให้อเล็กซานเดอร์ผู้เป็นมหาราชช่วยอะไรบ้างไหม? แกก็ตอบว่า มี ขออย่างหนึ่ง ขอพระองค์เสด็จออกไปให้พ้นทางแดดด้วย ตอนนี้ทรงยืนบังแสงตะวันอยู่ ข้าจะนอนผึ่งแดด แล้วแกก็หลับของแกต่อ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงอัศจรรย์พระทัยมากว่าแกไม่ได้มีเยื่อใยยึดติดอะไรจริงๆ ถึงกับตรัสว่า ถ้าข้าไม่ได้เป็นอเล็กซานเดอร์ ข้าก็อยากเป็นไดโอจีเนสนี่แหละ

แต่นิทานนี่นักประวัติศาสตร์บอกว่าไม่น่าจะจริง เพราะไม่ตรงกับรายละเอียดในชีวิตจริงของแกนัก เพราะแกไม่ได้อยู่ในถังตลอดชีวิตแก อยู่ในถังเฉพาะช่วงสั้นๆ ช่วงเดียว ซึ่งเป็นช่วงที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยังเด็ก ยังไม่เรียกพระองค์เองว่ามหาราชแน่ๆ เมื่อพระองค์เป็นมหาราชขึ้นมาได้แล้วจากการเดินทัพไปตีเปอร์เซียและอินเดียก็ไม่ได้เสด็จกลับไปกรีกอีก เพราะประชวรสิ้นพระชนม์ระหว่างทางนั่นเอง เผลอๆ อเล็กซานเดอร์กับไดโอเจเนสจะไม่เคยเจอกันเลยเอาด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 27 มิ.ย. 02, 10:06

 มาแจมเรื่อง Dionysus ที่ไม่ใช่ตานักปราชญ์นั่น
Dionysus มีอีกชื่อว่า Bacchus เป็นเทพแห่งเหล้าองุ่นไงคะคุณนกข.
เหล้าองุ่นเป็นส่วนประกอบพิธีกรรมสำคัญของกรีกและโรมัน
ยังสืบทอดมาจนถึงคริสตศาสนาด้วย
มีขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นเครื่องหมายของเนื้อและเลือดของพระคริสต์

รูปหินอ่อนของ Dionysus  คู่กับภรรยาชาวมนุษย์ชื่อ Ariadne ค่ะ
เห็นมาลาพวงองุ่นบนศีรษะของเขาไหมคะ  
บันทึกการเข้า
ถาวภักดิ์
พาลี
****
ตอบ: 240


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 28 มิ.ย. 02, 10:27

 ในฐานะหลานหลวงปู่  (อุบอิบเอาเอง)  ขอดึงกลับมาหาเรื่องของสมเด็จต่อ

พระเครื่องที่สมเด็จท่านสร้างไว้นั้น  มีผู้รู้ท่านหนึ่งเล่าว่ามีเกินพันแบบ  แต่เป็นที่รู้จัก นิยมอยู่ก็เพียงพิมพ์วัดระฆัง  บางขุนพรหม  และวัดเกศไชโย

มีบุญได้เห็นอีกสองแบบ  ที่ผู้รู้ัท่านเดิมเล่าว่าเป็นพระที่สมเด็จท่านสร้างไว้เช่นกัน  คือ

แบบแรกเรียกว่า แบบลงรักปิดทองล่องชาด  เนื้อในสีขาว แกร่งมากจนเวลากระทบกันเสียงจะออกกังวานใส  แต่เนื้อในจะถูกปิดทับด้วยชาดและรัก  แล้วปิดทองทับอีกชั้นหนึ่ง  มีพิมพ์ต่างๆกัน  มากมาย  เช่น  เป็นรูปสมเด็จก็มี  เป็นรูปท่านแล้วมีคนถ่อเรืออยู่ใต้ก็มี  เป็นพิมพ์แบบวัดระฆังก็มี   เป็นพระพุทธรูปปางลีลาก็มี    และมีทั้งที่ขนาดใกล้เคียงกันกับพิมพ์วัดระฆัง  และขนาดเล็กลงมาประมาณหนึ่งในสี่
แบบลงรักปิดทองล่องชาดนี้  เป็นที่สบสนมาก  เพราะบ้างก็ไม่รู้จัก  บ้างก็ว่าลูกศิษย์ท่านสร้าง   บ้างก็บอกปลอมส่งไปเลย  ในขณะที่ผู้รู้ท่านเดิม  บอกว่าท่านสร้างแล้วก็เก็บรักษาไว้บนเพดานวิหารวัดระฆัง  ซึ่งตรงกับที่อุบาสิกาท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง  อุบาสิกาท่านนี้ยังชี้นัยยะด้วยว่า  ท่านเก็บไว้ในที่สูง  ไม่ได้อยู่กับดินเหมือนพระบรรจุกรุ  ต้องเป็นของสูงพิเศษ

อีกแบบเรียกว่าสมเด็จเบญจรงค์  เห็นอยู่สองแบบ  แบบแรกสีพื้นจะขาวปนด้วยสีเบญจรงค์  พิมพ์วัดระฆัง  มีตราครุฑประทับข้างหลังเป็นรอยยุบลงไป  ผู้รู้ท่านเล่าว่าสมเด็จท่านสร้างถวายวังหลวง เก็บรักษาไว้บนเพดานพระอุโบสถ วัดพระแก้ว  ในขณะที่ท่านอุบาสิกาเล่าว่าสร้างในลักษณะเป็นพระกำลังแผ่นดิน  เพื่อคุ้มครองรักษาแผ่นดิน  ที่ขณะนั้นเหตุการณ์วิกฤตคับขันมาก   และยังมีอีกลักษณะดูเหมือนจะเป็นพิมพ์บางขุนพรหม สีพื้นออกคล้ำมากแต่ก็บนด้วยสีเบญจรงค์เช่นกัน  แต่ด้านหลังเรียบเสมอกัน  ไม่มีรอยอะไร  แบบหลังนี้เห็นว่าสร้างถวายวังหน้า
่ว่ากันว่าสมเด็จเบญจรงค์ออกสู่มือคนทั่วไปได้ก็ครั้งบุรณะวัดพระแก้วปี 2525  เป็นฝีมือคนงาน หรือผู้รับเหมาที่เข้าไปบุรณะ

ยังมีพิมพ์ไกเซอร์ ที่ถือว่าเป็นจักรพรรดิแห่งพระสมเด็จ  ท่านผู้รู้ท่านนี้เล่าว่า  ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จยุโรปได้นำพกติดไปด้วย  ครั้นระหว่างที่ประทับอยู่กับพระเจ้าไกเซอร์แห่งเยอรมันนี  ก็แสดงปาฏิหาริย์  ปรากฎแสงเรืองจนพระเจ้าไกเซอร์เห็นประจักษ์ในพุทธานุภาพและเกิดศรัทธา  พระพุทธเจ้าหลวงจึงพระราชทานให้พระเจ้าไกเซอร์รักษาไว้
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 19 คำสั่ง