เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 8031 ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระพรหมครับผม
คุณพระนาย
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85

Graduate Student New Mexico Institute of Mining and Technology, Socorro, NM USA


 เมื่อ 15 พ.ค. 02, 14:04

 หลังจากตั้งกระทู้อย่าง ค่อนข้างเครียดไปแล้ว ก็ต้องมาขออภัยท่านเจ้าของเรือน ด้วยการขอตั้งกระทู้ที่ไม่เครียดนักชดเชย
ผมได้อ่านนิทานที่คุณเทาชมพูเล่าไปแล้วทั้งสองเรื่อง รู้สึกสงสารท่านพระพรหมเสียเหลือเกิน ที่ท่านลดชั้นจากพระเป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม กลายเป็นเทวดาที่ค่อนข้างจะธรรมดาไปซะแล้ว ในมุมมองของผม นิยายอินเดียที่คุณเทาชมพูเล่ามานั้น เป็น นิทานที่แต่งขึ้นภายหลัง คือถ้าอ่านนิยายภารตะ ที่แปลเป็นไทย เป็นชุด ๆ (ผมลืมชื่อผู้แต่ง) เล่มแรก ๆ นั้น จะเป็นเรื่องของพระเป็นเจ้า เทวดา แสดงอิทฤทธิ รบกับอสูรกันตลอด มีเกี่ยวกับมนุษย์น้อยมาก แต่พอนาน ๆ ไป ก็จะมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวเยอะขึ้น แล้วยิ่งตอนหลังศาสนาฮินดู (พราห์ม) นั้นแตกเป็นสองนิกาย นิกายนึงนับถือพระอิศวร นิกายนึงนับถือพระนารายณ์ พระพรหม ท่านก็เลยยิ่ง ไม่ค่อยจะเด่นดังเท่าไหร่ มาตอนหลังนี่ถึงกับถูกพราห์มเฒ่าจับขังไว้ในท้องได้ แล้วมนุษย์ธรรมดายังถึงขั้น ต่อรองกับพระเป็นเจ้าได้อีก แต่ก็ดีครับ ทำให้รู้สึกว่ามนุษย์นั้น ใกล้ชิดพระเจ้าดี องค์นึงอยู่ในท้อง อีกองค์ลงมาเจรจาด้วย
แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมเองก็ยังไม่เคยอ่านนิทานหรือตำนานของอินเดียเรื่องไหนที่พระพรหมท่านเป็นตัวเอกโดยตรงเลยครับ คือจะให้ท่านลงมาปราบอสูรเองเนี่ย เหมือนจะไม่มี มีแต่ท่านเที่ยวไปให้พร เค้าไปทั่วซะมากกว่า
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
มัจฉานุ
**
ตอบ: 85

Graduate Student New Mexico Institute of Mining and Technology, Socorro, NM USA


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 01 พ.ค. 02, 10:47

 แต่ในตำนานอินเดียหลายเรื่อง ก็มีการพูดถึงพระพรหมในฐานะที่ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับพระเป็นเจ้าทั้งสาม
ที่ผมจำได้มีอยู่ตอนนึงก็คือ ตอนที่พระอิศวรท่านจะแสดงการร่ายรำ จนได้ฉายาเรียกว่า พระนัฎราช ซึ่งเป็นปางตอนที่พระองค์แสดงท่าร่ายรำ
โดยตำนานเรื่องนี้นั้น เป็นตอนที่ ในโลกมนุษย์นั้น มีพวกฤาษี พราห์มอยู่เผ่านึง เกิด วิปริต ไม่ปฏิบัติธรรมในทางที่ถูกที่ควร ไม่เคารพพระเป็นเจ้าทั้งสาม หรือไงนี่แหละ (ผมจำไม่ได้ละเอียด) เสร็จแล้ว พระพรหม ท่านเล็งเห็นอยู่  ท่านก็โกรธมาก แต่ท่านไม่ลงโทษพวกพราห์มพวกนี้เอง แต่กับเรียกหา พระอิศวรกับพระนารายณ์มาเฝ้าแล้วบอกเรื่องนี้ให้ทราบ แล้วท่านก็ขอให้พระอิศวรกับพระนารายณ์ เสด็จไปแสดงอิทฤทธิ์ ปราบพวกพราห์มนอกรีตพวกนี้
พระอิศวรกับพระนารายณ์นั้น ท่านรับคำ ก็ลงไปโลกมนุษย์ พระอิศวรก็แปลงกลายเป็นพราห์มหนุ่มรูปงาม พระนารายณ์ กับแปลงเป็นผู้หญิงสวย แล้วก็แสร้งเป็นสามีภรรยากัน (เอ้อ พระเป็นเจ้าทั้งสองทรงคิดอะไรเนี่ย พระอิศวรกับพระนารายณ์ท่านนี่นะ !) ฝ่ายพวกพราห์มนอกรีตเหล่านั้น เห็นผู้หญิง สวย ก็อยากจะแย่ง ก็รี่เข้ามาคิดจะทำร้าย พระอิศวรในร่างแปลง พระองค์ก็จัดการแสดงอิทฤทธิ์ สั่งสอนพวกพราห์ม พวกนั้น ซะเรียบร้อย (แหะ จำรายละเอียดไม่ได้)
แต่ในตอนท้ายนั้น พระองค์ทรงสั่งสอนพวกพราห์มพวกนั้นแล้ว ก็บอกว่าจะแสดงให้เห็นถึงอิทฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงการร่ายรำ ที่หมายถึง
การสร้างโลก การดูแลรักษา แล้วก็ไปจนถึงการทำลายโลก คิดว่าท่ารำนี้มี 108 ท่านะครับ ถ้าจำไม่ผิด
อ่ะ กระท่อนกระแท่นมาจนจบแล้ว
จะบอกว่า ตอนนั้นพระพรหม ท่านก็ยังเป็นใหญ่อยู่นะ เพราะใช้งานพระเป็นเจ้าทั้งสองลงมาได้ และผมว่างานนี้พระนารายณ์ท่านเป็นตัวประกอบยังไงชอบกล (แปลงมาเป็นสาวงามเนี่ยนะ)
แต่พระอิศวร เนี่ยก็เคยตกหลุมพระนารายณ์ มามากกว่าหนึ่งครั้งล่ะครับ อีกครั้งนึงเนี่ย ถึงกับเกิดเป็นหนุมานขึ้นมาเลย
ด้วยว่า ตอนที่เจ้ายักษ์ชื่อ นนทุก อาละวาด ไล่เอานิ้วเพชรจี้เทวดาจนตายไปทั่ว พระนารายณ์ ท่านหาวิธีปราบนนทุกด้วยการ แปลงร่างเป็นนางงาม มาล่อเจ้านนทุกข์ ให้ร่ายรำไปด้วยกัน พระอิศวร ท่านก็มาเห็นนางแปลงนี้ด้วย แล้วดูยังไงไม่ทราบ จนเกิดอาการกำหนัด จน พระกำลังเคลื่อน (เค้าเรียกว่างั้นน่ะครับ ติดเรท นิดหน่อยคงไม่ว่านะขอรับ)
แต่ท่านรีบรับไว้ได้ พระกำลังนี้ล่ะครับ เป็น พระกำลังที่ให้พระพาย เอาไปใส่ปากนางสวาหะ แล้วก็เกิดเป็น หนุมานชาญสมร ทหารเอกของพระรามนี่แหละ
ผมมั่วมาจนขนาดนี้ แล้ว ต้องขอจบก่อนล่ะครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 02 พ.ค. 02, 10:46

 ตำราอยู่ในตู้ยังหาไม่เจอ  ตอบเท่าที่นึกออกก่อนนะคะ  
เห็นด้วยกับคุณพระนายค่ะ   บทบาทพระพรหมในความเข้าใจของคนไทยดูจะมีสีสันน้อยกว่าพระศิวะและพระวิษณุ
ไม่เคยเจอว่าท่านไปเป็นพระเอกในเรื่องไหน  ถ้าพระนารายณ์ละก็สิบปางทีเดียว
พระอิศวรกับพระอุมาก็มีโรมานซ์กันมาเป็นเรื่องรักเศร้าเคล้าน้ำตาแต่จบด้วยดีในที่สุด

ในรามเกียรติ์  พระพรหมดูจะมีบทรองลงไปอย่างเห็นชัด    นอกจากให้พรยักษ์ในทางผิด แล้วยังมีบริการรับฝากของวิเศษจากยักษ์ด้วย  ถูกลิงหลอกเอาไปได้สำเร็จ  ดูเหมือนจะเป็นแว่นแก้วหรืออะไรนี่แหละ
ทศกัณฐ์และวงศ์วารถือตัวว่าบิ๊ก ก็เพราะเป็นยักษ์เชื้อสายพรหม  แต่ว่าท่านทศท่านแหกคอกออกมาเป็นเจ้าพ่อ  ไม่ค่อยจะดีงามอย่างรุ่นเก่าๆ

เรื่องของพระพรหมกับพระสุรัสวดี ชายาของท่านก็ไม่ค่อยจะมีปรากฏให้คนไทยรู้กันนัก     ขนาดพระสุรัสวดีประทับนั่งบนนกยูง เป็นตราประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ นิสิตยังไม่ค่อยจะรู้เลยค่ะ

เมื่อพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้น   มีการโยงเทวดาพราหมณ์มาเป็นพุทธ  พระพรหมของพุทธมีจำนวนมากมายไม่จำกัด
อยู่ในสวรรค์ชั้นพรหม ๑๖ ชั้น  
เห็นว่ากันว่าคนไปเกิดชั้นพรหม ต้องบำเพ็ญฌาน สำเร็จญาณมาก่อน
ถ้ามีแค่ศีล ๕ หรือมากกว่านั้น  จะติดแค่ฉกามาพจร

มีพระพรหมองค์หนึ่งชื่อพกาพรหม มีอายุยืนยาวนานมากจนนึกว่าตัวเองอยู่ชั่วนิรันดร  ต่อเมื่อลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงรู้ว่าอายุพรหมก็มีวันสิ้นสุดเหมือนกัน  เพราะยังไม่บรรลุถึงนิพพาน
บันทึกการเข้า
bookaholic
ชมพูพาน
***
ตอบ: 145


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 03 พ.ค. 02, 19:23

 พระพรหมจะเป็นใหญ่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับยุคสมัยและความนิยมครับ    เมื่อก่อน  ยุคพระเวท เห็นว่าใหญ่กว่าพระอิศวรและพระนารายณ์  แต่ไงไม่รู้ต่อมาสององค์หลังแซงหน้าขึ้นไป  นิกายที่นับถือสององค์มีมาก  พระพรหมก็มีบทบาทลดลงทุกที จนนิทานอย่างที่เล่ามาผมเชื่อว่าเป็นนิทานชั้นหลัง เทวดากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว
ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวครับ แวะเข้ามาชวนคุยกะคุณพระนายเท่านั้น
เรื่องหนุมานเกิดจากกำลังพระอิศวร เวอร์ชั่นนี้ไม่รู้ครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 16 พ.ค. 02, 14:04

 เก็บความจากหนังสือวิสุทธิ์นิพนธ์ ของรศ.วิสุทธิ์ บุษยกุล มาเล่าเรื่องพระพรหมให้ฟัง
กระทู้นี้มีคนคุยกันน้อยมากนะคะ  ดิฉันจะพยายามต่อเรื่องเท่าที่หามาได้

ย้อนไปถึงหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับพระพรหม  พบว่าประมาณ ๒๖๐๐ ถึง ๒๘๐๐ ปีมาแล้ว ในคัมภีร์ศตปถพราหมณ์ กล่าวถึงพระพรหม   แต่ไม่ใช่พระพรหมสี่หน้าแบบที่เห็นหน้าโรงแรมเอราวัณ

พระพรหมเป็น "อะไรสักอย่าง" ที่ไม่มีตัวตน  ไม่มีเพศ   แต่เป็นสิ่งที่สร้างสิ่งอื่นๆในโลก    จะจำกัดความว่าพระพรหมในคัมภีร์นี้เป็นอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น  เรียกว่าเหนือกว่าคำบรรยายและความคิดฝันของมนุษย์
อ่านแล้วก็ไปนึกถึง "เต๋า" ของจีน เข้าว่าคงคล้ายๆกัน  
คุณ CrazyHOrse คุณนกข. และ คุณ Pekingman ถ้าผ่านมาอ่าน คงนึกออก   ใคร่ขอความรู้เพิ่มเติมด้วยค่ะ
ดิฉันเคยเรียนเรื่องเต๋ามานิดหน่อย จำได้ว่างุนงงพอใช้สำหรับนิสิตปี ๑  เพราะ "เต๋าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เต๋าก็ไม่ใช่อะไรเลย" ทำนองนี้

พระพรหมในคัมภีร์นี้ดำรง definition เดิมอยู่ได้ไม่นาน  มาถึงคัมภีร์ยุคหลังอีกไม่เท่าไร คือ คัมภีร์ไอตเรยพราหมณ์   พระพรหมก็กลายรูปเป็นมนุษย์ มีเรื่องราวพฤติกรรมอย่างคน   คงจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

พอถึงสมัยพุทธกาล  พระพรหมก็กลายเป็นเทวะอย่างที่เห็นๆกันในปัจจุบัน   แต่ไม่ฮิทเท่าไร   เพราะชาวฮินดูส่วนใหญ่นับถือพระศิวะ(อิศวร)และพระวิษณุ(นารายณ์)

เรื่องราวของพระพรหมมีอยู่มากในวรรณคดีหลังมหาภารตะ  เรียกว่าคัมภีร์ปุราณะ  มีถึง ๑๘ เรื่องด้วยกัน  ว่าด้วยการสร้างโลก ทำลายโลก กำเนิดเทวดา ฯลฯ

กำเนิดของพระพรหม ว่าเกิดเองก็มี  เกิดจากไข่ก็มี   หน้าที่ก็คือเป็นผู้สร้างโลก   และที่สำคัญคือท่านมีเวลาหลับและตื่นเท่ากับอายุของโลก
พอพระพรหมตื่นบรรทม ก็สร้างโลกขึ้นมา   พอตกค่ำโลกก็สลายไป พระพรหมก็บรรทมหลับอยู่ในความว่างเปล่า(chaos) ยาวนาน  จนท่านตื่นขึ้นมาอีกก็สร้างโลกขึ้นมาอีก วนเวียนกันไป
โลกใน ๑ วันของพระพรหม มี ๔ ยุค
๑)กฤตยุค เป็นยุคดีที่สุด
๒)ไตรดายุค หรือเตรตายุค  ความดีลดลงเหลือสามในสี่
๓)ทวาปรยุค  ความดีเหลือครึ่งเดียว หนึ่งในสอง
๔)กลียุค  ความดีเหลือหนึ่งในสี่  มีการรบราฆ่าฟันเบียดเบียนกัน
เราอยู่ในกลียุคค่ะ
พอหมดยุคก็ถือว่าหมดกัลป์   เกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก
ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกมีไฟมาล้างโลก ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลและยิวด้วยค่ะ

ชาวฮินดูไม่ค่อยจะยึดมั่นในพระพรหมเท่ากับพระศิวะและพระวิษณุ    จนในอินเดียมีเทวสถานของพระพรหมเพียง๒ แห่งเท่านั้นเอง แต่ชื่อของพระองค์จะอยู่ในบทสวดเป็นประจำ

แม้แต่ในบทสวดของพุทธก็มี  พรหมา จ โลกา ธิปติ....

ส่วนถ้าใครจะถามว่าทำไมพระพรหมไม่เป็นที่นับถือของชาวฮินดูมากนัก   อันนี้สุดจะเดาได้เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
TJ
อสุรผัด
*
ตอบ: 1

ราชการ


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 01 มิ.ย. 06, 13:26

 ยุคเริ่มกัปใหม่ทุกครั้ง  มนุษย์ลงมาจากพรหม  และเคารพนับถือท้าว ผกาพรหมเป็นเจ้า....  ครั้นหมดบุญลงมาบนโลกมนุษย์  ความนับถือยังคงอยู่เรื่อยมา.....เพราะความหลงผิดว่า พรหม  (พวกตัวเอง) ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นอมตะ  

    พรหมอยู่ได้ด้วยอำนาจของกำลัง ฌาญ  ตามกำลังบารมีที่ได้สั่งสม มาตอน ที่เป็นมนุย์ เช่น ฤษี ดาบส นักพรต สิทธา  หรือพระในศาสนาพุทธ  อยู่ที่ว่าได้กำลังฌาน  ระดับไหน

     พรหม มี 20 ชั้น   แบ่งเป็นรูปพรหม  16 ชั้น  อรูปพรหม  4 ชั้น       ในจำนวนนี้  ชั้นที่ 16 เรียกว่า พรหมชั้นสุทธาวาส  ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก  เพราะเป็น พระอริยบุคคล ชั้น อนาคามี จะบำเพ็ญบารมี  เลื่อนระดับความบริสุทธิ์ แห่งจิต  จนหลุดพ้นได้ในชั้นนี้ไม่มีการเกิดอีกจนเข้าพระนิพพาน
     
    พรหม ที่มนุษย์ นับถือ    คือท้าว ผกาพรหม เป็นเจ้าอยู่ชั้นที่ 10 ยังยุ่งอยู่กับมนุษย์ แลเทวดา หรือพรหม ชั้นลองลงมา ที่นับถือกันมาก   ส่วนชั้นที่สูงขึ้นไป  ท่านมีกำลังฌานสูง มีใจละเอียด  ไม่อยากมาเสียเวลาอยู่กับมนุษย์จึงอยู่ในสมาธิตลอดเวลา  ไม่ยุ่งอยู่กับเรื่องของชั้นล่างๆ  จึงไม่มีผู้ใดรุ้ว่ามีพรหมชั้นสูงขึ้นไปอีก  (ถ้าพระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสไว้)
      อรูปพรหม อยู่ชั้น 17 ถึง 20  ไม่มีรูปร่าง มีแต่ดวงจิต ไม่รับรู้อะไร มีความสุขอยู่ในเฌานที่ได้  อายุยืน นับหมื่นกัป    สำหรับนักสร้างบารมีท่านว่าเสียเวลามาก ที่ไปติดอยู่ในนั้น หมดโอกาสสร้างความดีเป็นบารมีต่อไป
นานทีเดียว
      ส่วนเทวโลก มี 6 ชั้น  ชั้นที่ ยังยุ่งกับมนุษย์ คือ ชั้น1 จาตุมหาราชิกา
และชั้น  2 ดาวดึงส์  ที่คนนับถือเทพต่างๆ จะอยุ่ในชั้นเหล่านี้

      พรหม (ยกเว้นชั้นสุทธาวาส)   และเทวโลก ยังต้องตาย เมื่อหมด บุญ หรือกำลังฌาน เริ่มอ่อน เนื่องจากบุญอ่อน  ก้ต้องกลับมาเกิด อีก หรือต้องไปตกนรก ใช้กรรมที่ทำไม่ดีไว้ ก่อนหน้า   หนีไม่พ้น แม้แต่ท้าวผกาพรหมก็ต้องกลับมาเกิด  จนกว่าจะสำเร้จ เป็นพระอรหัน   หรือจะสร้างบารมีเพื่อตรัสรู้เองก็ตาม จึงจะเข้านิพพานได้ไม่ต้องมาเกิดอีก

         พรหมหรือ เทวดา ไม่ได้ช่วยมนุษย์ ไม่มีใครช่วยใครได้ เทวดา หรือพรหม ก็ช่วยมนุษย์ ไม่ได้อย่างที่ไปขอกัน เพียงแต่ เทวดาชั้นต้นๆที่สถิตอยุ่ ณ ที่ นั้นสามารถดึงบุญของผู้ขอมาใช้ก่อน ถ้ามีอยู่ ไม่ได้ใช้บุญของตัวอง ของเทพ ชั้นสูง หรือของพรหม (เพราะพวกนี้ยังเอาตัวไม่รอด แค่เจอมารยกทัพมาก็หนีกรูดแล้ว)แต่อย่างใด เมื่อใช้แล้วบุญก็หมดไป ถ้ไม่สร้างเพิ่มก็อันตราย บุญหมด ก็หมดบุญ

         สรุป  ต้องศีกษาความจริงของชีวิตให้มาก ความรู้ทางโลก ให้มีกินแค่ชาติเดียว รวยแค่ไหน ก็เอาไปไม่ได้  แต่ถ้ารู้ความจริงของชีวิต รวยได้ทุกชาติ ไม่ลำบาก จนเข้านิพพาน  ตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระราชวงค์ที่สละราชสมบัติออกบวช และพระอรหันหลายองค์ ไม่ค่อยดัง เพราะไม่ค่อยมีเรื่องสบายตลอด แค่ออกบวช ก้ต้องอาทรัพย็ สมบัติ เที่ยวแจก ชาวบ้านให้เอาไปใช้แทน  เพื่อจะออกบวช เพราะบุญมันเต็มรวยมาทุกชาติจนเบื่อ ปัญญาที่แท้จริงในชีวิตมันเกิด  ส่วนคนที่มัว  ไหว้เจ้าพ่อเจ้า เจ้าแม่ ไหว้เทพเจ้า หรือพรหม  ปัญญายังน้อย  ถ้าทำความดีมากๆ เทวดาพวกนี้ อาจจะต้องไหว้เราอนุโมทนาเเพราะต้องการบุญเพิ่ม คน รู้ทางโลกมาก  แต่ความจริงของชีวิตที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด  ไม่ยักรู้ไม่ขวนขวาย ชาตินี้ปัญญาดีชาติหน้าอาจปัญญาอ่อนก็ไดเพราะกินเหล้ามาก ,โกงไว้มากรวยล้นฟ้า กรรมส่งผลเมื่อใดก็วิบัติเมื่อนั้น,  อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า เถิดแล้วปฏิบัติตาม  แล้วจะรู้ว่าท่านเป็นสุดยอดของ ภพ 3  ไม่มีใครยิ่งกว่า  และจะปิดนรก  ช่วยคนอื่นได้  ไม่ต้องไปง้อใคร  ...................
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 01 มิ.ย. 06, 18:03

 ทางพุทธศาสนาปฏิเสธแนวคิดเรื่อง "พระผู้สร้าง" แต่ไม่ปฏิเสธ
เทวดา และ พระพรหมซึ่งเป็นเทพชั้นสูงมาจากผู้ได้ณานระดับต่างๆ และ ที่ชั้นสุทธาวาส เป็นที่อยู่ของพระอนาคามิผลบุคคล ซึ่งจะเจริญภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในสุทธาวาสภูมินั้น

     อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้แสดงความเห็นว่า

        ทางพราหมณ์ได้มีการสอนและพรรณนารูปลักษณะของ
พระพรหมไว้ว่ามี ๔ หน้า ทางพระพุทธศาสนาก็ไม่ขัดคอ แต่ได้แสดงใหม่ในลักษณะ Reinterpretation คือ แปลความหมายใหม่ว่า ได้แก่บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการที่เรียกว่า พรหมวิหาร
       ผู้ใดประกอบด้วยคุณธรรมชนิดนี้ ได้ชื่อว่าเป็นพรหมซึ่งเป็นเทวดาชั้นสูง และท่านได้ยกตัวอย่างว่า มารดาบิดามีความรู้สึกเช่นนี้ต่อบุตร จึงชื่อว่าเป็น พรหมของบุตร
บันทึกการเข้า
ภูมิ
แขกเรือน
ชมพูพาน
***
ตอบ: 196


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 02 มิ.ย. 06, 17:11

 เต๋าแปลว่าทาง แต่น่าจะใกล้เคียงกับ วิถี มากกว่า มรรค


มันเป็นเช่นนั้นเอง
บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 04 มิ.ย. 06, 01:43

 แต่ผมกลับเห็นว่า "เต๋า" ใกล้กับคำว่า "มรรค" มากกว่า วิถี นะครับ

เต๋า ตามความหมายที่ คุณเทาชมพู พูดถึง น่าจะอยู่ในบริบท ทางศาสนา ซึ่งต้องหมายถึง ความว่างเปล่า หรือ ความจริงอันสูงสุด และเปรียบได้กับ "พรหม" ในศาสนาพราหมณ์ หรือ เทียบได้กับ "ปรินิพพาน" ในพุทธศาสนา หรือ การได้ไปอยู่ร่วมกับพระเจ้า ในศาสนาคริสต์ และอิสลาม

ส่วนเหตุผลที่ผมคิดว่า "เต๋า" น่าจะใกล้กับคำว่า "มรรค" นั้น ถ้าพิจารณาจากบริบททางภาษาที่นำมาใช้แล้วจะพบว่า คำว่า "มรรค" จะใช้ในวรรณกรรมทางศาสนา มากกว่าคำว่า "วิถี" ครับ ดังนั้น ถ้าเราพูดในแง่ของปรัชญาศาสนา ก็น่าจะตรงกับคำว่า "มรรค" มากกว่า

ถ้าพิจารณาตามเนื้อของความหมาย

วิถี มาจาก บาลีว่า วีถิ แปลว่า ถนน หรือ ทางเดิน
มรรค มาจาก สันสกฤต (มรรค) หรือ บาลี (มคฺโค) แปลว่า ทาง และนอกจากนี้ทางธรรมยังแปลว่า "เหตุ" ได้ด้วยครับ และมักใช้คู่กับ "ผล" เป็น "มรรคผล" ซึ่งจะให้ความหมายในทำนองเดียวกับคำว่า "เต๋า" ในแง่ที่ว่า "เต๋า" เป็นต้นกำเนิดแห่งทุกสิ่ง (นั่นคือ "เหตุ")

โดยทั่วไป วิถี จะหมายถึง ทางเดินในรูปนามธรรม แต่อย่างไรก็ตาม ในภาษาไทยได้นำมาใช้ประกอบกับคำอื่น ที่เป็นนามธรรม เช่น บาทวิถี (ถนนสำหรับเท้า) หรือ ในรูปนามธรรม เช่น วิถีชีวิต (การดำเนินชีวิต)

ส่วนมรรค แปลว่า ทาง แต่ในภาษาไทยไม่ใช้ในภาษาพูดทั่วไป แต่จะใช้ในภาษาทางศาสนา เช่น มรรคผล มรรค ๘ เป็นต้น
บันทึกการเข้า
ภูมิ
แขกเรือน
ชมพูพาน
***
ตอบ: 196


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 04 มิ.ย. 06, 14:21

 อันนี้ผลเขียนตามความรู้สึกของผม

ถ้าพูดถึง มรรค ผมจะนึกถึง ทางที่ควรเดิน หนทางไปสู่ความสำเร็จ

แต่วิถี ผมจะนึกถึง ทางที่เกิดขึ้นเอง สิ่งที่เป็นไปตามถรรมชาติ

จริงๆแล้ว เต๋า ในความเข้าใจของผม แทนที่จะแปลว่าทาง
ถ้าจะแปลว่าธรรมะ บางทีอาจเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ
แต่ถ้าจะแปลให้เข้ากับคำว่าเต๋า ในการใช้ทั่วๆไป (ซึ่งแปลว่าทาง)
ก็อาจจะแปลว่า เป็นวิถีทางของธรรมชาติ เป็นวิถีชีวิตของสรรพสัตว์
นี่คือเหตุผลที่ผมว่า ใกล้กับวิถีมากกว่า
บันทึกการเข้า
ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว
ชมพูพาน
***
ตอบ: 175

ความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 09 มิ.ย. 06, 10:50

 พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก  ได้รับการยกย่องโดยพวกพราหมณ์  ให้มีฐานะเท่าเทียมกับพระวิษณุ (ผู้คุ้มครองโลก) และพระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)  วิวัฒนาการทางความเชื่อทางศาสนา  และศิลปกรรมของอินเดีย มีการ เปลี่ยนแปลง ตามแคว้นต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามประเพณี  ความเชื่อในช่วงสมัยนั้น ๆ  โดยมีการนับถือตามนิกายต่าง ๆ  ของความ เชื่อที่มีอยู่นั้น  เช่น  นิกายไศวะ หรือไศวะนิกาย  และไวษณพนิกาย  หรือไวษณวนิกาย  ทั้ง ๒ นิกาย ให้ความเคารพนับถือ พระศิวะ และ พระวิษณุ  ส่วนพระพรหมให้ความนับถือรองลงมา
ค.ศ. ที่ ๑๐ ชาวฮินดู  ให้ความเคารพนับถือพระพรหม  จากนิกายไศวะ  และไวษณพนิกาย  ซึ่งมีการแข่งขันกันทางด้านความเชื่อ  พระพรหมจึงกลายเป็น  เทพองค์สำคัญขึ้นมา  โดยมีการสร้างเทวาลัย  และรูปปั้นไว้เป็นจำนวนมาก  พระพรหมได้รับการนับถือบูชา  ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้าง  ของทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นบนโลก  พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ที่สำคัญ  และเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์  พระนาม ที่เรียกขาน  นอกเหนือจากพระพรหม  หรือ พระพรหมธาดา  มีดังนี้.
ราชคุณ หมายถึง ความมี กิเลสและความปรารถนา  และมูลเหตุของการสร้างโลกทั้งปวง
             สวายัมภู หมายถึง ผู้เกิดเอง  กมลสาส์น และปัทมสาส์น หมายถึง ผู้นั่งบนดอกบัว ซึ่งเกิดมาจากสะดือของพระวิษณุ  คัมภีร์ฤคเวท ปรากฏพระนาม ปชาบดี คัมภีร์รามายณะ ปรากฏพระนามอื่นๆ คือ  ปรเมศวร วิธิ-เวธาส อทิกวี สนัต ชาตริวิชาตริ ปิตามหะ ทรุหิณ-สราษฎริ โลเกศ ลักษณะทางศิลป์ รูปเคารพของพระพรหม  ซึ่งมีลักษณะทางศิลป ดังนี้
ปางประชาบดี  พระพรหม พระวรกายสีขาว สวมอาภรณ์หนังกวางสีดำพาดบ่า มี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือช้อน แจกัน
ปางประทานพร ด้านขวาของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสรัสวดี ด้านซ้ายของพระพรหม  มีรูปเทพธิดาสาวิตรี ยืนประทับอยู่ พาหนะคือ หงส์
ปางโลกบาล  พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือลูกประคำ หนังสือ ดอกบัว และแจกัน  ด้านข้างมีนางสาวิตรี (๔ พักตร์) ประทับยืน
ปางวิศวกรรม  พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือ ช้อน หนังสือ แจกัน และลูกประคำ
ปางกามลักษณะ ปางปิตมหา พระพรหมมี ๔ พักตร์ พระเกศามุ่นขมวด มี ๔ กร ถือ หนังสือ แจกัน หม้อ และช้อน
บันทึกการเข้า
ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว
ชมพูพาน
***
ตอบ: 175

ความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 09 มิ.ย. 06, 10:51

 พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก  ได้รับการยกย่องโดยพวกพราหมณ์  ให้มีฐานะเท่าเทียมกับพระวิษณุ (ผู้คุ้มครองโลก) และพระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)  วิวัฒนาการทางความเชื่อทางศาสนา  และศิลปกรรมของอินเดีย มีการ เปลี่ยนแปลง ตามแคว้นต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามประเพณี  ความเชื่อในช่วงสมัยนั้น ๆ  โดยมีการนับถือตามนิกายต่าง ๆ  ของความ เชื่อที่มีอยู่นั้น  เช่น  นิกายไศวะ หรือไศวะนิกาย  และไวษณพนิกาย  หรือไวษณวนิกาย  ทั้ง ๒ นิกาย ให้ความเคารพนับถือ พระศิวะ และ พระวิษณุ  ส่วนพระพรหมให้ความนับถือรองลงมา
ค.ศ. ที่ ๑๐ ชาวฮินดู  ให้ความเคารพนับถือพระพรหม  จากนิกายไศวะ  และไวษณพนิกาย  ซึ่งมีการแข่งขันกันทางด้านความเชื่อ  พระพรหมจึงกลายเป็น  เทพองค์สำคัญขึ้นมา  โดยมีการสร้างเทวาลัย  และรูปปั้นไว้เป็นจำนวนมาก  พระพรหมได้รับการนับถือบูชา  ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้าง  ของทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นบนโลก  พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ที่สำคัญ  และเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์  พระนาม ที่เรียกขาน  นอกเหนือจากพระพรหม  หรือ พระพรหมธาดา  มีดังนี้.
ราชคุณ หมายถึง ความมี กิเลสและความปรารถนา  และมูลเหตุของการสร้างโลกทั้งปวง
             สวายัมภู หมายถึง ผู้เกิดเอง  กมลสาส์น และปัทมสาส์น หมายถึง ผู้นั่งบนดอกบัว ซึ่งเกิดมาจากสะดือของพระวิษณุ  คัมภีร์ฤคเวท ปรากฏพระนาม ปชาบดี คัมภีร์รามายณะ ปรากฏพระนามอื่นๆ คือ  ปรเมศวร วิธิ-เวธาส อทิกวี สนัต ชาตริวิชาตริ ปิตามหะ ทรุหิณ-สราษฎริ โลเกศ ลักษณะทางศิลป์ รูปเคารพของพระพรหม  ซึ่งมีลักษณะทางศิลป ดังนี้
ปางประชาบดี  พระพรหม พระวรกายสีขาว สวมอาภรณ์หนังกวางสีดำพาดบ่า มี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือช้อน แจกัน
ปางประทานพร ด้านขวาของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสรัสวดี ด้านซ้ายของพระพรหม  มีรูปเทพธิดาสาวิตรี ยืนประทับอยู่ พาหนะคือ หงส์
ปางโลกบาล  พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือลูกประคำ หนังสือ ดอกบัว และแจกัน  ด้านข้างมีนางสาวิตรี (๔ พักตร์) ประทับยืน
ปางวิศวกรรม  พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือ ช้อน หนังสือ แจกัน และลูกประคำ
ปางกามลักษณะ ปางปิตมหา พระพรหมมี ๔ พักตร์ พระเกศามุ่นขมวด มี ๔ กร ถือ หนังสือ แจกัน หม้อ และช้อน
บันทึกการเข้า
ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว
ชมพูพาน
***
ตอบ: 175

ความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 09 มิ.ย. 06, 10:52

 จากคัมภีร์และตำนาน ถึงการกำเนิดของพระพรหม  อาทิ คัมภีร์วารหปุราณะ  และมหากาพย์มหาภารตะ กล่าวว่า พระพรหมเกิดจากดอกบัวที่พุดขึ้น จากสะดือของพระวิษณุ  ที่บรรทมหลับอยู่บนหลังพระยาอนันตนาคราช  ที่เกษียรสมุทร
คัมภีร์ปัทมปุราณะ กล่าวว่า เมื่อครั้งพระวิษณุต้องการสร้างโลก จึงแบ่งภาคออกเป็น ๓ ภาค โดยพระพรหม เกิดจากสีข้างเบื้องขวา  พระวิษณุ (พระองค์) เกิดจากสีข้างเบื้องซ้าย  พระศิวะ เกิดจากบั้นกลางพระองค์
คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ กล่าวว่า  ในครั้งเมื่อโลกยังไม่ปรากฏสิ่งใด ๆ (ว่างเปล่า)  พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ประสงค์จะสร้างทุกสิ่ง จึงสร้างน้ำขึ้นมาก่อน แล้วนำพืชโปรยลงน้ำ  
เวลาผ่านไปพืชนั้นกลายเป็นไข่ทอง  และกำเนิดพระพรหมปรากฏขึ้น นามว่า หิรัณครรภ์ หลังจากนั้นพระพรหมจึงแบ่งร่างเป็นชาย-หญิง  เพื่อสร้างโลกและมนุษย์ต่อมา  
ตำนานพระเศียรของเทพเจ้า ผู้สร้างโลกนามพระพรหม  กล่าวว่า เมื่อแรกพระพรหมทรงมี ๕ เศียร เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ทรงหลงรักและหวงแหนพระมเหสี (พระมเหสีมีหลายพระนาม อาทิ สรัสวดี สาวิตรี พราหมณี) เพื่อคุ้มครองพระมเหสีองค์นี้   ไม่ว่าจะเสด็จที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงใช้ตาที่เศียรทั้ง ๕ เศียรของ พระองค์เฝ้าติดตามไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นก็ตาม  จะได้ช่วยทันทุกเวลา
ต่อมาเศียร ๑ ใน ๕ เศียร  เกิดพูดจากดูหมิ่นพระแม่ปารพตี  มเหสีของพระศิวะ เมื่อพระองค์ทราบเรื่องจึงบันดาลโทสะ จนเกิดการต่อสู้กันระหว่าง พระพรหมกับพระศิวะ  เมื่อเวลาต่อมาพระพรหม  เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ถูกพระศิวะตัดเศียรไปหนึ่งเศียร  จึงเป็นเหตุให้พระพรหม เหลือเพียง ๔ เศียร  นับแต่นั้นเป็นต้นมา  บางตำนานกล่าวว่า  พระพรหมทรงถูกพระศิวะใช้ฤทธิ์เพ่งตาที่ ๓  ทำให้เกิดไฟเผาผลาญเศียรที่ ๕ ของพระพรหมจนมอด ไหม้ เพราะกล่าวคำหมิ่นพระศิวะนั่นเอง
บันทึกการเข้า
ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว
ชมพูพาน
***
ตอบ: 175

ความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 09 มิ.ย. 06, 11:08

 พระพรหม ในพระพุทธศาสนา สืบเนื่องมาจาก พระพุทธศาสนา นั้น  เมื่อ เกิด แล้วต้อง ดับ หรือตายลงเป็นธรรมดา ฉะนั้น พระพรหมในพระพุทธศาสนา ไม่ได้เกิดขึ้นเองได้ แต่พระพรหมเกิดขึ้นได้ จากการปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบของบุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์และมีความเพียรกล้าศรัทธาปรารถนา ซึ่งการหลุดพ้นจากกิเลส คือ หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธและความหลงให้หมดสิ้นไป ดั่งตอนหนึ่งในบทถวายพระ ว่า  ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ     สุทัฏฐะหัตถัง     พ์รห์มังวิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานังญาณาคะเทนะ     วิธินา     ชิต์วามุนินโท,  ตันเตชะสา     ภะวะตุ    เต    ชะยะมังคะลานิฯ
                  พระจอมมุนีได้ชนะพรหมผู้มีนามว่า     ท้าวพะกา,     ผู้มีฤทธิ์มีอันสำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์,     มีมืออันท้าวภุชงค์,     คือทิฏฐิที่ตนถือผิดรึงรัดไว้แน่นแฟ้นแล้ว.     ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษคือ     เทศนาญาณ,   ขอชัยมงคลทั้งหลาย     จงมีแก่ท่าน     ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นฯ
ฉะนั้น พระพุทธศาสนา ถือว่า แม้เกิดในชั้นพรหมแล้ว ใช่ว่าจะหมดกิเลส เมื่อหมดบุญจากชั้นพรหมแล้ว ก็อาจกลับมาเกิดในชั้นอื่น ๆ ได้จึงขอให้ตั้งใจบำเพ็ญภาวนาวิปัสสนากรรมฐาน อย่างสม่ำเสมอจนสำเร็จฌานในขั้นต่างๆ โดยการปฏิบัติตามหลักและวิธีการของศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์ตามอำนาจแห่งฌานชั้นต่าง ๆ ที่ได้บรรลุนั้น จะนำตนเมื่อตายไปจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดยังเทวโลกและพรหมโลก

ครั้นเมื่อไปเกิดยังพรหมโลกแล้วไม่มีความเดือดร้อนใด ๆ ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับโลกภายนอก ไม่ต้องขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะอันลามกเหม็นร้าย มีแต่ความสุขสบาย เสวยพรหมสมบัติ วิมานทิพย์ ปราสาททิพย์ กายทิพย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อาหารทิพย์ เป็นเวลานานแสนนานตราบจนกว่าจะสิ้นอายุขัยของพระพรหม
ในพรหมโลก สรีระร่างกายของพระพรหม เป็นรูปทิพย์ที่งามสง่า อวัยวะร่างกาย ข้อศอก แขน ขา เข่า ไหล่ ไม่มีรอยต่อ มีลักษณะกลมเกลี้ยงสวยงาม มีรัศมีกายรุ่งโรจน์ประภัสสร เจิดจ้างดงามยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์และแสงพระจันทร์
   พระพรหม แบ่ง ประเภทออกเป็นรูปพรหม  และอรูปพรหม  พรหมที่เรียกว่ารูปพรหม มีถึง 16 ชั้นได้แก่ พรหมปาริชชาภูมิ  พรหมปโรหิตาภูมิ  มหาพรหมาภูมิ  เป็นต้น  ซึ่งพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนี้  กล่าวกันว่า  แต่ละองค์จะทรงประทับนิ่ง  ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด  เรียกว่านั่งเข้าฌาน  ส่วนชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป  อีกเป็นชั้นของอรูปพรหม  เป็นพรหมที่ไม่มีรูป   มีแต่จิต  มีทั้งหมด  8  ชั้น  อาทิ อากาสายัญจายตน   วิญญาณัญจายตน   อากิญตจัญญายตน   และเนวสัญญานายตน  พรหมทั้งสี่ชั้นนี้  จัดเป็นพลังงานชั้นสูง  ที่มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง  อำนาจแห่งองค์พรหม  จัดเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนหลายคนกล่าวว่า  ชีวิตนั้นคือ “พรหมลิขิต”  ดังนี้ทำให้คนหลายคนที่เชื่อว่า  ดวงชะตาความเป็นอยู่ของตัวเรานั้น  มีความเกี่ยวเนื่องอยู่กับองค์พระพรหม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.092 วินาที กับ 19 คำสั่ง