เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูสารคดีถ่ายทำในปี 2005 เรื่องเกี่ยวกับเพลง Disco ดูแล้วคิดถึงความหลัง และดีใจที่ตัวเองได้มีประสบการณ์ร่วมในประวัติศาสตร์โลกสาขาหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่า เพลง Disco เข้ามาในเมืองไทย (หมายถึง กรุงเทพฯ) เมื่อไหร่ แต่ตอนที่ผมลงลุยไปกับกระแสของมันอย่างสนุกสนานนั้น เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ผมว่าช่วงเวลาปี 3 เป็นช่วงเวลาพอเหมาะสำหรับการสนุกสนานร่าเริง เพราะเราผ่านการปรับตัวว่าจะไปรอดหรือไม่รอดของปี 1 มาแล้ว ส่วนปี 2 ก็ต้องขวนขวายในการเลือกสาขาวิชาเอก แล้วปี 4 ที่จะตัดสินว่าเราจะเรียนจบหรือไม่นั้นยังมาไม่ถึง
ผมจำได้ว่าสถานที่แรกที่เปลี่ยนจากคลับที่ใช้วงดนตรีแสดงเป็น Discotheque เปิดแผ่นเสียงแทน คือบรรดาโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ แต่เนื่องจากสถานที่เหล่านี้มีคำว่า ‘ชั้นนำ’ ย่อมหมายถึงมีค่าใช้จ่ายแพง Discotheque ของโรงแรมชั้นรองจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับ ‘นักผจญภัย’ ที่มีฐานะการเงินอยู่ในระดับรอง
สรุปแล้วในวันหนึ่งโรงแรมทุกระดับต่างมี Discotheque ของตัวเอง
แต่พวกเรา นักเรียน/นักศึกษา มีฐานะการเงินต๊อกต๋อยเข้าไปอีก เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้ ต้องพึ่งเงินผู้ปกครอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากเป็นนักผจญภัย จึงมีผู้เห็นใจพวกเราก่อกำเนิด Discotheque ระดับประหยัดขึ้นให้พวกเราได้ออกปลดเปลื้องอารมณ์เปลี่ยวของวัยรุ่นผู้มากไปด้วยฮอร์โมน
Discotheque ระดับประหยัดเหล่านี้จะรวมกันเป็นกระจุกอยู่แถวต้นถนนสีลม จำได้ว่า ซอย 2 กับ ซอย 4 Discotheque ประเภทนี้เราเรียกกันสั้น ๆ ว่าบาร์ แบ่งเป็นบาร์แบบปกติกับบาร์เกย์ บาร์ที่ดังและหรูที่สุดเป็นบาร์เกย์ ชื่อ Rome เอาเข้าจริงการแบ่งประเภทของบาร์ก็เป็นไปแค่ทางทฤษฎีเพราะข้างในก็ปนเปเหมือนกันคือมีทั้งหญิง ชาย และ เกย์ (หญิง/ชาย) แต่จริง ๆ แล้วบาร์เกย์ดังกว่าเพราะจะมีโชว์คั่นรายการให้ชมในยามเที่ยงคืน โชว์ที่ต่อมาเป็นจุดกำเนิดของคณะ Alcazar ฯลฯ เพลงโชว์ที่ดังมากเป็นเสียงของ Shirley Bassey ชื่อ This is my life แล้วก็ I (who have nothin')
พวกผมเป็นนักศึกษามีอาชีพเรียนหนังสือ จึงออกไปร่อนกลางคืนบ่อยไม่ได้เดี๋ยวจะโทรม การเรียนตก เผลอ ๆ โดน 'รีไทร์' เป็นผลให้โดนผู้ปกครองด่าแล้วโดนหักค่าขนม สำหรับผมยังมีต่อคือ ทำให้ต้องประหยัดเรื่องการไปดูหนังและซื้อแผ่นเสียง ซวยยาวเป็นหางว่าว ฉะนั้น เราจึงไปเที่ยวกันเดือนละครั้งสองครั้ง วันคือวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์จะได้เป็นวันฟื้นฟูสุขภาพ
เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าผมเป็นเด็กไข่ในหิน อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเลย แค่ไปไหนเองในที่แปลก ๆ ในตอนกลางวันยังไม่ค่อยเป็น ผมค่อยมาปรับตัวในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย เนื่องจากผมเป็นสิงห์นักฟังเพลงจึงรู้จักเพลง Disco ก่อนพวกเพื่อน ๆ เสียอีก แต่ผมไม่รู้จักแหล่งบันเทิงยามกลางคืนเลย เพราะเด็กไข่ในหินมีนิสัยนอนหัวค่ำ
ครั้งแรกเมื่อโดนเพื่อน ๆ ชวนไปลุยแหล่งบันเทิงในตอนกลางคืนกัน ผมจึงตื่นเต้นเสียไม่มี แต่มีปัญหาว่าไปไม่เป็นว่ะ สรุปแล้วเป็นประจำทุกครั้งที่เพื่อนคนหนึ่งจะต้องขึ้นรถเมล์จากบ้านมัน (แถวสนามบินน้ำ) มาลงป้ายสะพานควายแล้วเดินต่อเข้าซอยไปควักผมออกมาจากบ้านแล้วเรียกแท็กซี่เดินทางต่อ
กว่ามันจะโผล่มาก็หลัง 2 ทุ่ม อย่างที่บอกว่าผมนอนหัวค่ำ ปกติหลัง 2 ทุ่มนี่เข้าเขตเวลานอนของผมแล้ว ความอยากออกไปเที่ยวค่อย ๆ จางหายเปลี่ยนเป็นอยากนอนแทน ครั้งแรก ๆ ที่มันมาถึงแล้วขึ้นข้างบนบ้านไปหาผมที่ห้องจะเห็นผมในชุดเที่ยวกลางคืนซึ่งไม่ได้คอยอยู่อย่างตื่นเต้นว่าจะได้ออกไปเที่ยวแต่หลับกลิ้งอยู่บนเตียง
ครั้งหลัง ๆ มันจึงเปลี่ยนเวลามาถึงบ้านผมให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ชวนคุยไม่ให้ผมหลับ เราไปเร็วไม่ได้เพราะบาร์มันยังไม่เปิด เวลาเปิดคือ 2 ทุ่ม แต่ยังไม่มีคน กว่าจะครึกครื้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม จำได้ว่าเคยโดนเพื่อนด่าครั้งหนึ่งเมื่อเห็นสภาพผมหาวอยู่นั่นแล้ว ‘รู้สึกทุกข์ทรมานเหลือเกินนะมึง กว่าจะได้ออกไปเที่ยว’
อย่างไรก็ตามความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเรามาถึงสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของคนกลางคืน (ประเภทเบี้ยน้อยหอยน้อย) เราจะไปรอพรรคพวกอยู่ใน lobby ของโรงแรมแถวนั้น รร. Sheraton เพราะอยู่ใกล้ถนนใหญ่กว่า รร. มณเฑียร
(เพื่อนบอกว่า ชักรูปเก็บไว้ดูตอนแก่ วิสัยทัศน์ช่างกว้างไกลจริง ๆ ตอนนี้แต่ละคนแค่เดินเฉย ๆ พอมีลมแรงพัดมาปะทะยังเซเลย)
เรารอพวกพรรคจนมาถึงครบก็ออกเดินทางต่อ ผมจำครั้งแรกได้ว่า เมื่อมาถึงที่ มันตื่นตาตื่นใจมาก คนพลุกพล่าน แต่งตัวกันเต็มที่ของแบบฉบับวัยรุ่น พูดคุยหัวเราะร่าเริงกัน
แทบทุกคนทุกเพศคีบบุหรี่อยู่ในมือ บุหรี่นอกทั้งนั้น มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ อีกข้างถือกล่อง/ซองบุหรี่ Winston, Marlboro, Dunhill, Cartier, More, Mild Seven, Kent ฯลฯ ยี่ห้อ พระจันทร์ สามิต เกล็ดทอง ทำนองนี้ไม่มี คนเหล่านี้เป็นรุ่นเดียวกับเราทั้งนั้นคือนักเรียน/นักศึกษาเบี้ยกะตอยหอยจุ๋มจิ๋ม บางทีก็มีผู้ใหญ่หรือฝรั่งแฝงมาประปราย
ที่หน้าประตูบาร์ จ่ายเงินค่าเข้า 50 บาทแล้วรับคูปองซึ่งจะเอาไปใช้แลกน้ำส้มได้ 1 แก้ว ถ้าพวกเหล้าก็ต้องจ่ายเพิ่ม น้ำส้มจากขวดแฟนต้าแก้วละ 50 บาทเมื่อกว่า 40 ปีก่อนนี่แพงไม่หยอกนะ นี่ขนาดเป็นสถานที่เล็ก ๆ ไม่ได้มาตรฐานตามแบบฉบับโรงแรม
พื้นที่ภายในบาร์มีขนาดแค่ไหนก็สุดจะเดา ท่ามกลางความมืดที่เห็นเพียงแค่ความสลัวแต่ดังสนั่นไปด้วยเสียงเบสจากเครื่องเสียงที่ขับออกมาจากแผ่นเสียง คนหนาแน่นเต็มพื้นที่ แค่นี้ผมก็ตาโพลง
เรามองหาโต๊ะ ไม่ได้เอาไว้นั่งแต่เอาไว้วางแก้วน้ำส้มแล้วพุ่งเข้าฟลอร์เหมือนวิ่งหนีหมาบ้าไล่งับ
พวกเราดิ้น ๆ (ยุคเราใช้คำนี้ 'ดิ้น') กันในฟลอร์ที่คนแน่นเหมือนรังมด ไม่มีใครเหนื่อยกลับไปพักที่โต๊ะ ทุกคนดิ้นกันสุดฤทธิ์เหมือนต้องสาป จะพักก็ต่อเมื่อถึงเวลาพักซึ่งดีเจจะเปลี่ยนเป็นเพลงช้าสักแป๊บให้พวกเราได้เปลี่ยนบรรยากาศไปเข้าห้องน้ำหรือโซเซไปกินน้ำ แต่บางกลุ่มก็ถือโอกาสเปลี่ยนท่าเป็น ‘สโลซบ’
เราปฏิบัติตนตามกฎอย่างแข็งขันจนถึงตี 2 ทั้งบาร์ก็จะสว่างไสวด้วยแสงไฟอันเป็นสัญญาณว่าเลิกงานแล้ว เชิญหนู ๆ เดินทางกลับไปบ้านโดยสวัสดิภาพกันได้
จากประสบการณ์ของผม เพลง Disco ที่เล่นในบาร์บ้านเราก็เครือ ๆ กับของเมืองนอกเพราะเรารับของเขามานี่ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพลงในอันดับ Billboard จึงไม่คุ้นหู
ปกติเพลงในอันดับ ฯ เป็นเพลงที่ทำขึ้นเพื่อล่อลูกค้าให้ติดใจจะได้ไปหาซื้อแผ่นฯ มาฟัง (เรียกว่า commercial songs) เพลงพวกนี้มีความยาวอย่างมากไม่เกิน 4 นาที นานกว่านี้ใครจะไปฟัง เบื่อตาย
ถ้าทำเพลง Disco สั้นจู๋ขนาดนี้ ดีเจก็ไม่ต้องทำไรกัน เรื่องเข้าห้องน้ำไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีเวลาไป ต้องมาคอยเปลี่ยนเพลงสร้างความต่อเนื่องลูกค้าจะได้สามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะแล้วก็ไม่โดนด่า
ผู้ผลิตเพลงจึงเกิดไอเดียใหม่ โดยทำเพลงเพื่อใช้เล่นใน Discotheque โดยเฉพาะ เอกลักษณ์ของมันคือแต่ละเพลงยาวยืดและเชื่อมกับเพลงต่อไปอย่างแนบเนียนไม่มีรอยต่อระหว่างเพลง (เชื่อมด้วย bass drum หรือ kick drum) ซึ่งส่งผลให้บรรดาสิงห์ตีนไฟสามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่ติดขัด ไม่เสียอารมณ์ เหล่าดีเจก็มีเวลาเผื่อไว้ผ่อนคลาย จะไปฝอยหรือไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องมาพะวงกับการเปลี่ยนเพลงบ่อย ๆ
เพลงยาว ๆ พวกนี้จึงไม่มีโอกาสเข้าไปแหยมในอันดับ Billboard อย่างไรก็ตามนักร้องดังบางคนก็หันมาลองเพลง Disco บ้าง บริษัทแผ่นเสียงจึงต้องทำเพลงเป็น 2 ฉบับ คือฉบับเข้าอันดับ BB เพื่อไว้ขายกับฉบับใช้ใน Discotheque เช่น MacArthur's Park ของ Donna Summer เจ้าแม่ Disco ฉบับเข้าอันดับจะยาวประมาณ 3.58 นาที ถ้าเอาไปใช้ดิ้นก็จะเป็นฉบับยืดยาวออกไปนาน 10.48 นาที
จบโหมโรง พรุ่งนี้ไปชมสารคดีกัน...